Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
12 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ร้อยรวงใจ ๓๒ (ธัญรัตน์)




สายลมในยามบ่ายพัดโบกโชยไปมาให้ความรู้สึกเบาเย็นสบายไม่น้อย ต้นข้าวที่ยืดตัวสูงขึ้นมากจากเมื่อเดือนที่แล้ว เพราะผ่านการให้ปุ๋ยครั้งที่สองไปเกือบยี่สิบวันมาแล้ว ใบที่กำลังเขียวขจีต่างก็โอนเอนลู่ไปตามแรงลม ที่พัดไปทิศหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนไปอีกทิศหนึ่งอยู่อย่างนั้น ภรัณยาจอดรถเอาไว้ที่เดิมด้วยความเคยชิน เธอยืนสูดอากาศเข้าปอดสองสามครั้ง หลังจากลงจากรถ เธอมองไปยังท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจีของต้นข้าวในเวลานี้ มันช่างสร้างความสดชื่นให้กับเธอไม่น้อยเลยจริง ๆ พลอยทำให้เธอคิดไปถึงคำปลอบใจของเขาในวันนั้นขึ้นมาได้ไม่ยากเลย

“ใช่มันมีแค่นั้น แต่อีกไม่กี่วัน พอคุณกลับมามองมันอีกที มันก็จะเต็มไปด้วยต้นข้าวที่งอกขึ้นมา เมื่อคุณเห็นความเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง คุณก็จะภูมิใจเป็นที่สุด เพราะว่ากว่าที่มันจะได้ไปเป็นต้นข้าวนั้น คุณเป็นคนทำให้มันเกิดด้วยความเหนื่อย แล้วเมื่อไหร่ที่คุณมองมัน คุณก็จะเห็นภาพตัวเองและหลาย ๆ คนที่กำลังยืนตากแดดตากฝน หว่านข้าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

แล้วยิ่งคุณเห็นมันเป็นเม็ดข้าว ออกมาคุณยิ่งจะภูมิใจ มันยิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า ยิ่งเมื่อคุณได้เห็นคนกินข้าวที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของเรา แล้วพวกเขาก็จะบอกลูกสอนหลานว่าเวลากินข้าว อย่าทำให้ข้าวหก เพราะกว่าที่ชาวนาจะปลูกข้าวไปให้พวกเขากินได้นั้นมันลำบากแค่ไหน

แล้วพวกเขาก็จะสอนลูกไปอีกว่า ชาวนาเปรียบเสมือนกระดูสันหลังของชาติ คุณรู้มั้ยทุก ๆ ครั้งที่ผมได้ยินคำพูดเหล่านี้ผมเป็นปลื้มแทบทุกครั้ง แล้วผมก็บอกใคร ๆ ได้อย่างไม่อายเลยว่า ฉันเป็นชาวนา และฉันจะเป็นชาวนาที่จะเรียนให้จบถึงด๊อกเตอร์ด้วย”

สองเท้าที่ก้าวไปตามคันนาด้วยความมั่นใจกว่าครั้งแรก ๆ ที่เธอเคยเหยียบย่าง สะพานไม้ที่แรก ๆ เธอเคยหวั่นไหวแทบทุกครั้งที่จะข้ามมัน แต่ตอนนี้เธอข้ามไปได้คล่องขึ้นมากแล้ว เธอเดินลัดเลาะไปตามคันนาอย่างเชื่องช้าด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม เมื่อมองดูผลงานการปลูกข้าวของตัวเอง ไม่นานร่างบางก็มาหยุดนั่งพักที่เถียงนา แล้วมองดูบรรยากาศรอบ ๆ ท้องทุ่งด้วยความสดชื่น รองเท้าผ้าใบที่ใส่มาก็ถูกถอดออก กางเกงยีนส์ Leevi’s ตัวโปรดถูกพับขาขึ้นไปเกือบถึงเข่า มือถือและกุญแจถูกกองเอาไว้ที่เถียงนา

“กันเหนียวเผื่อตกลงไปในนาจะได้ไม่พังอีก ค่าใช้จ่ายยิ่งเยอะ ๆ อยู่ช่วงนี้”

เธอว่า แล้วตัวเองก็ค่อย ๆ หย่อนเท้าเรียวและขาวลงไปในที่นาที่มีต้นข้าวว่างเป็นหย่อม ๆ และน้ำมีพอท่วมหลังเท้า มันช่างให้ความรู้สึกที่เย็นสบายเท้าได้ดีทีเดียว หญิงสาวยิ้มให้กับเจ้าปูตัวโต ที่เดินเล่นอย่างสบายใจเฉิบอยู่ใต้น่ำไม่แพ้เธอนัก แต่พอเห็นเธอเข้า เจ้าก้ามโตก็คงจะหมดอารมณ์เดินเล่นแล้วกระมัง แถมมิหนำซ้ำมันคงจะเริ่มกลัวเธอเข้าให้แล้ว สังเกตได้จากการที่มันพยายามจะวิ่งหนีเธอดุ๊ก ๆ แต่หนียังไงก็หนีไม่พ้น เพราะมือน้อย ๆ ค่อย ๆ ช้อนเอาเจ้าปูที่ตอนนี้ทั้งตัวของมันนุ่มนิ่มน่าสัมผัสนัก

“ปูมันกำลังเปลี่ยนกระดอง ตัวมันก็เลยนิ่ม”

เธออดคิดถึงคำบอกเล่าของเขาไม่ได้ ปูมันก็ยังเปลี่ยนกระดองได้ แล้วทำไมคนอย่างเธอจะทำนาปลูกข้าวไม่ได้ หญิงสาวคิดได้เช่นนั้นก็ปล่อยเจ้าปูลงไปไว้ที่เดิม แล้วเธอก็ยืนชื่นชมกับผลงานการปลูกข้าวของตัวเองอยู่อย่างนั้นเป็นนานสองนาน จนรู้สึกว่าที่เท้านั้นมีอะไรลื่น ๆ แล่นผ่านไป

“ว๊าย”
หญิงสาวแทบจะกระโดนขึ้นจากนา เพราะก้มลงไปมองก็เห็นเจ้างูสาตัวเบ่อเร่อเพิ่งจะว่ายน้ำผ่านเท้าตัวเองไป เพียงแค่คิดขนที่แขนของเธอก็สแตนอัพขึ้นมาทันทีเลย แล้วอารมณ์ที่อยากจะเดินชมต้นข้าวในวันนี้ก็หมดไปเพราะเจ้างูสาตัวเดียวแท้ ๆ เธอไม่รอช้ารีบเดินตรงไปยังเถียงนาทันที

“ฮื่อ ๆ เจ้างูบ้า ทำไมต้องมาตอนนี้ด้วยนะ”
เธออดบ่นคนเดียวไม่ได้ ขณะที่เดินมาหารองเท้าผ้าใบคู่เก่งเพื่อหมายจะใส่เข้าไป แต่ก็พบว่าเท้าตัวเองที่เพิ่งขึ้นจากน้ำ แล้วก็เดินย่ำดินมาทำให้เต็มไปด้วยดิน หญิงสาวรีบเดินตรงไปยังตุ่มน้ำเพื่อหวังจะล้างเท้าก่อน พอชะโงกไปก็พบว่ามีน้ำขอดตุ่มอยู่ แต่ดันไม่มีขันให้เธอตัก

“เฮ้อ จะทำยังไงดี”
เธอมองหาอะไรที่พอจะช่วยตักน้ำให้หน่อยก็ไม่มี ครั้นจะหย่อนเท้าลงไปที่นาอีก ก็ขยาดเจ้างูเสียแล้ว จะหย่อนเท้าลงไปล้างในตุ่ม ก็จำได้ว่าลุงคำเคยใช้น้ำในตุ่มนี้ล้างปากล้างหน้าเสมอ ๆ เธอจึงเลือกที่จะเอาเท้าลงไปล้างในคลองบ่อแทนดีกว่า เพราะเถียงนาของเธอนั้น ปลูกไว้ติดกับคลองบ่ออยู่แล้ว ใกล้ ๆ กับเถียงนา ก็มีต้นไม้ซึ่งเธอไม่รู้ว่าต้นอะไร ว่าจะถามใครก็ลืมทุกที

ต้นไม้ต้นนี้มันมีดอกด้วย แล้วก็มีเถาอะไรต่อมิอะไรมาอาศัยมันอยู่เต็มไปหมด แล้วก็ปล่อยเถาให้เลื้อยลงไปปกคลุมถึงผิวน้ำ ทำให้เกิดเป็นซุ้ม หรือจะเรียกเป็นถ้ำเถาวัลย์ก็ว่าได้ เธออดคิดไม่ได้ ว่าถ้าเกิดคิดอุตริอยากจะเล่นซ่อนแอบกับใคร เธอจะเลือกลงไปซ่อนใต้ซุ้มนี่แล่ะ แต่ก็ได้แค่คิด เพราะตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น

หญิงสาวค่อย ๆ เดินลงไปตามบันไดไม้อันเล็ก ๆ ที่ทำไว้สำหรับให้เดินลงไปตักน้ำขึ้นมาใช้เวลาลงนา แต่หลาย ๆ คนก็จะเดินลงไปล้างเท้าล้างมือให้เธอได้เห็นบ่อยครั้ง หญิงสาวเอื้อมมือไปจับราวไม้ที่ทำเอาไว้แบบไม่แข็งแรง แล้วก็พยายามเอาเท้าหย่อนลงแกว่งไปกับน้ำทีละข้างจนมั่นใจว่าสะอาดดีแล้วก็ให้โล่งอกไม่น้อยที่ตัวเองไม่ตกลงไปในน้ำแทน

“แค่นี้ก็เสร็จแล้ว” เธอพูดกับตัวเอง เมื่อภาระกิจสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“ทำอะไรอยู่ครับคุณเข่า” เสียงของเขมินท์ตะโกนมาใกล้ ๆ หน้าเธอ จนร่างบางถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“ว๊าย ช่วยด้วย ๆ...” เธอทันได้ร้องแค่นั้น แล้วร่างของตัวเองก็หงายเก๋งลงไปอยู่ในน้ำซะแล้ว
“อ้าวคุณลงไปทำไมกัน” เขมินท์ร้องถาม พร้อมกับหัวเราะที่เห็นเธอหงายลงไปในคลองอีกแล้ว แต่ไม่นานเขาก็ต้องตกใจที่เห็นเธอจะจมแหล่ไม่จมแหล่อยู่ในน้ำ จนเขาต้องกระโจนลงไปช่วยหอบเอาร่างเธอให้โผล่ขึ้นเหนือน้ำซะก่อน
“ช่วยด้วย ๆ ๆ ๆ ๆ” เธอร้องและเอามือกอดเขาไว้แน่นเพราะความกลัว

“คุณข้าว ไม่เป็นอะไรแล้ว ผมอยู่นี่” “คุณ นี่แหน่ะ ๆ ทำไมมาเงียบ ๆ ฉันตกใจหมดเลย นี่ ๆ ๆ ”
เธอตั้งสติได้ก็ระดมแรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ทุบไปที่ไหล่เขาทันที เพราะคิดได้ว่าที่เธอตกลงมาในน้ำเมื่อกี้ เพราะตกใจที่จู่ ๆ เขาก็โผล่มาเงียบ ๆ และมีเจตนาที่จะทำให้เธอตกใจ จนต้องตกลงมาในน้ำแบบนี้
“โอ๊ย คุณ ๆ เบา ๆ สิผมเจ็บนะ ผมบอกให้เงียบไง เดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอก”
เขาบอกขณะที่พยายามดึงร่างเธอให้เข้ามาใกล้ ๆ ฝั่ง
“คุณทำให้ฉันตกใจ คอยดูนะฉันจะไปฟ้องคุณลุง” เธอไม่ยอมหยุด

“ผมบอกให้หยุดไง” เขาบอกขณะที่ดึงเธอมาถึงฝั่งแล้ว “ไม่หยุดจะทำไมใครใช้ให้คุณ.....”
ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ เขาก็กอดเอาร่างเธอไว้ แล้วก็ใช้มือปิดปากเธอเพื่อไม่ให้พูด พร้อมกับพาเธอเข้าไปหลบในถ้ำเถาวัลย์ ด้วยความรวดเร็ว เพราะเขารู้สึกเหมือนมีคนเดินมาที่สะพานจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ต้องการให้ใครมาเห็นเธอและเขาอยู่ในสภาพนี้เด็ดขาด สำหรับเขาไม่เป็นอะไร แต่สำหรับเธอนั้นคงจะไม่ดีแน่

“ยางเร็ว ๆ แนแมมึง” (เดินเร็ว ๆ หน่อยแม่มึง)
เสียงชายเรียกอีกคนที่กำลังจะเดินข้ามสะพานไม้ไป ซึ่งเขมินท์พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็น ลุงเอิบและป้าลิ่มที่มีที่นาติดกับเธอนั่นเอง สองคนนี้คงจะกำลังไปตรวจตราดูนาข้าวเหมือน ๆ กับเขาเป็นแน่
“โอ๊ย กะถ่าแนเห็นวากะดายพอมึงหน่ะ” (โอ๊ย ก็รอหน่อยสิพ่อมึงหน่ะ)
เสียงป้าลิ่มต่อว่าสามี แล้วทั้งคู่ก็เดินไปอีกฟากหนึ่งหลังจากข้ามสะพานมาแล้ว

มือที่ปิดปากเธออยู่ถูกปล่อยออก แล้วเขาก็มองหน้าอีกฝ่ายที่ตกใจกลัวว่าจะมีคนเห็นไม่แพ้กับเขาเลย บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของทั้งสองนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงน้ำที่ไหลกระทบกับฝั่งไปมา ปลาซิวที่ว่ายมาเป็นฝูงพากันกระโดดขึ้นเหนือน้ำ เมื่อมีศัตรูไล่งับพวกมัน มืออีกข้างของเขาละจากเอวคอดที่รั้งร่างเธอไว้ไม่ให้จมน้ำแต่แรก แล้วก็ยกไปเชยคางมนให้เงยขึ้นไปมองเขา

ใบหน้าขาวนวลเนียนของเธอในเวลานี้ช่างน่ามองเป็นที่สุด ดวงตากลมโตที่ถอดแบบแม่มายังไงยังงั้น ขนตาดกดำที่เปียกน้ำอยู่ตอนนี้ขยับขึ้นลงไม่แพ้จังหวะการเต้นของหัวใจ มือน้อย ๆ ที่ใช้เกาะบ่าเขาไว้ด้วยความกลัวสร้างความอบอุ่นให้เขาอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วเขาก็รั้งร่างบอบบางของเธอเข้ามากอดแนบชิดกับร่างเขาในที่สุด ริมฝีปากที่ตอนนี้เริ่มจะเย็น ถูกริมฝีปากอุ่นของเขาค่อย ๆ ปิดลงไปด้วยความตั้งใจ

หญิงสาวอยากจะร้องห้ามปรามเขาแต่ก็ร้องไม่ออก มืออีกข้างที่เกาะไหล่เขาเอาไว้เพราะกลัวจมน้ำก็ไม่ยอมปล่อยไปไหน ส่วนอีกข้างก็อยากจะทุบไปที่ไหล่ของเขาแต่มันไม่ยอมขยับเลย เพราะรสสัมผัสที่อ่อนหวานที่เขากำลังมอบให้ในตอนนี้ มันเหมือนคอยห้ามเธอเอาไว้ว่าไม่ให้ขัดขืนเขาแต่อย่างใด มิหนำซ้ำจูบที่นุ่มนวล และเนิ่นนานของเขา ทำให้เธอนั้นเผลอยกมือไปโอบกอดที่ต้นคอเขาไว้อย่างลืมตัว
แขนทั้งสองข้างของเขาค่อย ๆ กระชับร่างเธอให้แนบไปกับอกกว้างยิ่งขึ้น น้ำที่อยู่รอบกายอาจจะทำให้เธอเหน็บหนาวขึ้นมาบ้าง แต่แผ่นอกของเขานั้นสร้างความอบอุ่นให้เธอได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เขมินท์เองก็บอกตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้เขารู้สึกเป็นสุขแค่ไหน ที่ได้โอบรัดร่างบาง ๆ ไว้ในอ้อมกอด มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลยจริง ๆ ที่เขาจะฝืนตัวเองไม่ให้ทำแบบนี้กับเธอ ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

แต่ที่แน่ ๆ ทุก ๆ ครั้งที่เขาได้อยู่ใกล้ ๆ เธอ มันทำให้เขาต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ ที่จะไม่ให้ใจมันคิดแบบนี้กับเธอ และทุก ๆ ครั้งเขาก็ทนให้มันผ่านพ้นไปได้ เพราะด้วยขนบธรรมเนียม ประเพณีของท้องถิ่น และด้วยสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมทั้งคนรอบข้างที่เฝ้ามองอยู่นั่นเอง แต่ครั้งนี้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว จะด้วยที่หัวใจถวิลหาเธอมานานนับเดือนเขาก็บอกไม่ได้ หรือจะด้วยเพราะขณะนี้เขาและเธอได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง ได้แนบชิดกันมากขนาดนี้ เขาเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน

เขาอยากจะขอบคุณเธอที่ตกใจจนตกลงมาในน้ำ อยากจะขอบคุณลุงเอิบกับป้าลิ่มที่ทำให้เขาดึงเธอมาตรงนี้ และอยากจะขอบคุณเจ้าเถาวัลย์ที่มันอุตส่าห์เลื้อยลงมาเป็นซุ้มให้เขาได้มีโอกาสดึงร่างเธอมาแนบชิดแบบนี้ เขายังคงหาความสุขอยู่กับริมฝีปากบางนุ่มนิ่มจนยากที่จะปล่อยให้เธอเป็นอิสระได้ และเมื่อมีมือน้อย ๆ ทั้งสองข้างของเธอคอยโอบที่ต้นคอเอาไว้ ประหนึ่งจะให้เขารู้ว่า เธอเองก็สุขไปกับเขาในตอนนี้ไม่แพ้กัน

“ปล่อยข้าวนะ”
เสียงเธอร้องบอกทันทีที่เขาละจากเรียวปากงาม และใช้จมูกไล้ไปตามพวงแก้ม เพื่อสูดดมหาความหอม ซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนจากขาวจนซีดมาเป็นแดงกร่ำด้วยความอายแทน กับคำห้ามปรามของเธอมันก็ทำให้เขาเรียกสติตัวเองกลับมาอยู่กับตัวได้ไม่น้อย แววตาที่หวานฉ่ำที่มองไปยังเธอขณะนี้ เธอคงไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะมัวแต่ก้มหน้าซบไปที่อกเขา เมื่อเขาปล่อยพวงแก้มและเรียวปากให้เป็นอิสระเขาใช้มืออีกข้างเชยปลายคางของเธอให้เงยขึ้นมามองหน้าเขา

“ผมขอโทษ เรากลับบ้านกันเถอะนะ”
เขากระซิบบอก ก่อนที่จะพาเธอว่ายน้ำไปยังสะพานเล็ก ๆ แล้วก็ส่งให้เธอขึ้นไปก่อน ส่วนตัวเองก็ตามไปติด ๆ และทันทีที่ร่างเธอไปยืนอยู่บนฝั่งได้ เธอก็รีบวิ่งไปหอบเอาข้าวของที่วางอยู่เถียงนา พร้อมกับออกวิ่งข้ามสะพานหนีเขาไปด้วยความอาย ที่ไปเผลอปล่อยให้เขาทำแบบนี้กับตัวเอง

เขมินท์ได้แต่มองตามร่างเธอไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายในเวลานี้ เขาถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเถียงนา และมองตามรถที่เธอขับออกไปแล้ว เขาค่อย ๆ ยกมือไปแตะที่ริมฝีปากอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอนตัวลงนอนไปกับเถียงนาด้วยหัวใจที่เหม่อลอย แล้วเขาก็ยิ้มให้กับตัวเอง เมื่อคิดไปถึงรสสัมผัสเมื่อสักครู่นี้

“เฮ้อ ไอ้น้ำนะไอ้น้ำ แกเป็นอะไรไปนี่”
เขาได้แต่ตำหนิตัวเองในใจอยู่อย่างนั้น แถมในใจก็ยังต้องต่อสู้กันเองอีก เพราะคะแนนสเปคของเขาพุ่งขึ้นมาเป็นห้าสิบแล้วด้วย ทั้ง ๆ ที่เขาเองอยากจะหยุดมันเอาไว้แค่สี่สิบด้วยซ้ำ
“เฮ้อ”
เขาถอนหายใจออกมาดัง ๆ แล้วก็เดินออกมาจากเถียงนา เพื่อกลับไปทางบ่อปลา เพราะวันนี้เขาไม่ได้เอารถมา เพียงแต่เดินดูอะไรเรื่อย ๆ จนมาพบเธอเข้าโดยบังเอิญแค่นั้น

โทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ แต่เจ้าของก็ไม่ได้สนใจ พอ ๆ กับที่เธอไม่ยอมออกไปรับโทรศัพท์บ้าน ที่แต๋นเดินมาบอกว่าเขาโทรมาหา เธอเลือกที่จะไม่รับสายจากเขาเลยตั้งแต่กลับเข้ามาในบ้าน หลังจากอาบน้ำแล้วเธอก็ไม่ยอมออกไปจากห้องอีกเลย มือเผลอยกขึ้นไปแตะริมฝีปากอย่างลืมตัว แล้วภาพที่เขาบรรจงจูบไปที่เรียวปากนั้น มันก็ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาในความทรงจำเธออีกครั้ง

เธอไม่ได้โกรธที่เขาทำแบบนี้ แต่เธอเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงหวั่นไหวกับสัมผัสของเขามากมายขนาดนี้ต่างหาก สัมผัสแบบนี้ไม่ใช่เธอไม่เคยพานพบเมื่อครั้งที่เรียนอยู่เมืองนอก กับคนที่รู้ใจที่ออกเดทด้วยกันบ้าง แต่เธอไม่เคยที่จะรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนเลย หญิงสาวคิดถึงแผ่นอกที่อบอุ่นของเขา วงแขนแข็งแรงที่โอบกอดร่างเธอเอาไว้ มันช่างสร้างความอบอุ่นให้กับจิตใจได้มากมายเหลือเกิน

“เธอเป็นอะไรไปนะภรัณยา อย่าบอกนะว่าเธอ....เขาเข้าแล้ว โอยไม่นะ ๆ ต้องไม่ใช่เขา เธอมีเรื่องที่จะต้องให้ทำอีกมากมายในวันข้างหน้า เธอจะมาจมอยู่ที่ท้องนานี่ไม่ได้นะ เธอจะต้องกลับไปเอาคืนนายเจตน์ เธอจะต้องเจอผู้ชายอีกมากมายที่กรุงเทพฯ ที่มารอให้เธอเลือกไม่ซ้ำหน้า แล้วเขาเองก็มีผู้หญิงไม่รู้สักกี่คนที่ยืนคอยทอดสะพานให้ ไม่นะ ๆ เธอจะรู้สึกแบบนี้กับเขาไม่ได้” เธอพร่ำห้ามตัวเอง

“คุณข้าวคะ แต๋นเอาอาหารมาให้ค่ะ กินข้าวก่อนนะคะ วันนี้แต๋นทำของโปรดคุณข้าวตั้งหลายอย่าง”
เสียงแต๋นร้องเข้ามา แล้วกลิ่นอาหารก็ทำให้เธอใจอ่อนยอมเปิดประตูห้องออก
“แต๋นเอาข้าวมาให้ค่ะ” แต๋นยืนถือพาข้าวอยู่หน้าห้อง “ฉันไม่หิว” เธอยังไว้เชิง
“ไม่หิวแต๋นก็จะทิ้งไว้นี่ล่ะค่ะ หิวเมื่อไหร่คุณข้าวค่อยมากินก็แล้วกันนะคะ” แต๋นบอกแล้วก็ออกไปจากห้อง
หญิงสาวรีบตามไปปิดประตู ก่อนที่จะจัดการกับอาหารโปรดที่แต๋นบอกว่าตั้งใจทำมาให้เธอจริง ๆ แต่กินไปได้แค่คำเดียว ก็เกิดอาการกลืนไม่ลงเอาดื้อ ๆ ก็จะอะไรอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะมีใบหน้าเขามันคอยมาลอยเด่นให้เธอเห็นอยู่นี่ไง

พาข้าวถูกยกมาวางไว้หน้าห้องในเวลาไม่นานนัก แล้วเธอก็หายเข้าไปเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องตามเดิม
“นอนก็นอนไม่หลับ จะโทรไปคุยกับแม่ป้าก็ไม่รู้จะคุยยังไง จะโทรไปหาเจนก็ไม่รู้ว่าจะคุยยังไงเหมือนกัน ยายเชอร์รี่ยิ่งแล้วใหญ่ถ้ารู้ว่าเราถูกพระเอกหล่อนจูบให้ มีหวังอาละวาดกรุงเทพฯ แตกแน่ ๆ เลย เฮ้อ ยายข้าวนะยายข้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไม ๆ ๆ ๆ ๆ”
เธอได้แต่นอนเอามือขึ้นไปก่ายหน้าผาก ไม่นานก็เอาลง ๆ แล้วก็เอาขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่อย่างนั้น ร่างก็พลิกคว่ำ ๆ หงาย ๆ ตะแคง ๆ แล้วก็อีกร้อยแปดท่า แต่ทำยังไงมันก็นอนไม่หลับ จนต้องหาหนังสือมาอ่าน เพราะมันเคยทำให้เธอหลับได้ และก็จริง ๆ ด้วย ไม่นานเธอก็พุบอยู่กับหนังสืออย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ไฟห้องก็ไม่ได้ปิดเลยด้วยซ้ำ

กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
โฮ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
โฮ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“คุณข้าวคะ คุณข้าวได้เวลามาเตรียมอาหารไปวัดแล้วนะคะ” เสียงแต๋นเคาะที่ประตู
“ตืนแล้ว และก็แต่งตัวเสร็จแล้วด้วย”
ไม่ทันที่แต๋นจะเคาะประตูซ้ำอีก เจ้านายสาวก็เดินออกมาจากห้องพร้อมชุดแซกสีขาวยาวเลยเข่าไปหน่อยหนึ่ง เพราะเธอรู้ว่าหลวงตาไม่ชอบให้เธอใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดกุมเข้าวัด

ตะกร้าหวายที่ด้านในมีหม้อสแตนเลสใบเขื่องใส่เอาไว้ ถูกแต๋นหิ้วไป ส่วนเธอก็ถือขันเงินใบเขื่องที่มีข้าวสวยใส่ถุงไว้เป็นถุง ๆ เพื่อเอาไว้ไปตักบาตร เพราะเธอกลัวว่าข้าวตัวเองจะไปปนกับข้าวของคนอื่น ซึ่งเป็นข้าวเหนียวทั้งนั้น เธอเลยตัดสินใจเอาข้าวสวยใส่ถุงเอาไว้แทน

ป้าแสง ป้าติ่งเดินออกมาจากบ้านและมีตะกร้าหวายเหมือน ๆ กับเธอ ทุกคนเดินตรงไปยังวัดที่เริ่มจะใกล้ขึ้นมาหน่อยกว่าตอนที่เธอได้ลองเดินไปในช่วงแรก ๆ ที่มาอยู่ที่นี่ วันนี้มีคนมาทำบุญน้อยหน่อย เพราะส่วนมากชาวบ้านจะรอตักบาตรที่หน้าบ้านมากกว่า เพราะหลวงตาจะบิณฑบาตรผ่านอยู่แล้ว ชาวบ้านจะมาวัดเยอะหน่อยก็เฉพาะวันพระแค่นั้น เพราะหลวงตาไม่ออกบิณฑบาตร

อาหารที่เธอนำมาทำบุญวันนี้คือปลาช่อนอบเกลือ เพราะเธออยากจะให้หลวงตาฉันปลาบ้าง ส่วนขนมวันนี้เป็นเอแคลไส้ครีม และมีแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ ส่วนดอกไม้ก็เป็นดอกบัวหลวง ที่ป้าหวางจับกลีบไว้สวยอย่าบอกใครเชียว หลวงตานั่งรอรับสำรับจากญาติโยมยิ้มให้หลานรัก เพราะวันนี้แต่งตัวรัดกุมกว่าหลาย ๆ วันที่ท่านได้เห็น

เสียงหลวงตาและพระรูปอื่น ๆ สวดดังกึกก้องศาลาเหมือนเคย ภรัณยาตั้งใจรับศีลรับพรจากท่านกว่าหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะเมื่อคืนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอตั้งใจอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ทำในวันนี้ไปให้พ่อ แม่ ปู่ ย่า และยายที่ล่วงลับไปแล้วอย่างตั้งใจ เมื่อเธอเดินออกมาจากศาลาโดยมีน้ำที่กรวดแล้วติดมือมาเพื่อที่จะนำไปรดกับโคนต้นไม้ เธอก็พบว่าวันนี้จิตใจเธอเบาหวิวโล่ง โป่ง สบายอย่างไม่เคยมีมาเลย

หญิงสาวเดินยิ้มกลับบ้านด้วยความสะบายใจกว่าหลาย ๆ วัน เสียงของป้าแสง ป้าติ่ง และแต๋นพูดคุยกันนั้น เธอแทบจะไม่ได้สนใจ แต่ก็ได้ยินทุกคำพูดที่ทั้งสามคุยกัน พอมาถึงบ้านก็พบว่าป้าหวางกำลังวุ่นอยู่กับอะไรสักอย่างจนเธอต้องเข้าไปถาม

“ป้ากำลังสิเฮ็ดขนมเปียกปูนจ้าคุณเข่า มื่ออืนบ้านเฮาเฮ็ดบุญเข่าสาก คุณเข่าต้องไป่แจกเข่าสากเด้อ”
เธอได้คำตอบมาแล้ว และก็ได้รู้มาด้วยว่า พรุ่งนี้ที่หมู่บ้านมีงานบุญข้าวสากหรือบุญเดือนสิบ ซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นเดือนของไทย เพราะปัจจุบันเป็นเดือนกันยายน ซึ่งเป็นเดือนเก้าสากล ป้าหวางบอกว่าเป็นงานบุญสำคัญที่ลุงกำนันพาลูกบ้านยึดถือปฏิบัติมาตั้งแต่กำนันคนก่อน ๆ แล้ว (ป้ากำลังจะทำขนมเปียกปูนค่ะคุณข้าว พรุ่งนี้บ้านเราจะมีงานบุญข้าวสาก คุณข้าวจะต้องไปแจกข้าวสากด้วยนะคะ)

และป้าหวางก็บอกอีกว่า ปีนี้เธออยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับจะร่วมทำบุญข้าวสากนี้ เธอเองก็ยังไม่รู้ว่ามันสำคัญยังไง แต่เธอก็รับปากป้าหวางว่าจะช่วยทำขนม และออกเงินทุกบาทให้เองป้าหวางบอกว่าดีแล้ว เพราะยี่สิบปีที่ผ่านมานั้น ป้าหวางกับลุงคำจะเป็นคนทำให้มาโดยตลอด ซึ่งมันก็ไม่เหมือนลูกหลานของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทำให้เลย







 

Create Date : 12 ตุลาคม 2551
2 comments
Last Update : 12 ตุลาคม 2551 8:53:18 น.
Counter : 416 Pageviews.

 

อยากให้ข้าวเเทนตัวเองว่าข้าวและเรียกน้ำว่าพี่น้ำน่ารักดีออก มาอัพอีกน่ะจะเป็นกำลังใจให้ สู้ ๆๆ

 

โดย: ชะเอม IP: 125.24.122.225 13 ตุลาคม 2551 13:13:25 น.  

 

คนเขียนก็อยากจะให้เป็นแบบนั้นค่ะ

แต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลาอันสมควรนักนะคะ
รอสักระยะก่อนค่ะ ก็คนเขาเป็นคู่กัดกันมา
จู่ ๆ จะมาเปลี่ยนนี่ มันขัด ๆ ยังไงไม่รู้ค่ะ

 

โดย: ธัญญะ 13 ตุลาคม 2551 17:56:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.