Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ร้อยรวงใจ ๓๓ (ธัญรัตน์)




ภรัณยาเดินเลยไปหาลุงคำที่ตอนนี้หายปวดหลังแล้ว และกำลังวุ่นอยู่กับงานปลูกพืชผักสวนครัว อยู่ด้านหลังบ้านที่มีพื้นที่กว้างขวางไม่น้อย และก็จะมีสวนครัวที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะลุงคำเคยบอกเธอว่าพ่อกับแม่แทบจะไม่ต้องซื้อผักกินเลย จะปลูกกินเองมากกว่า แต่เธอก็ไม่เคยได้เดินลงมาดูว่ามันมีอะไรบ้าง ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็อยู่มาหลายเดือนแล้ว หรือถ้าเธอเคยจะได้เดินมาก็ไม่ได้สังเกตหรือไม่ได้ใส่ใจว่ามันมีอะไรบ้าง

“ลุงกำลังสิปูกผักกาดซอม ผักซี ผักหอมป้อม แล้วกะอีกตั้งหลายผัก หนี่เด้ไนมันหน่ะ”
ลุงคำตอบเมื่อเธอเดินไปถาม แล้วเธอก็เดินดูไปรอบ ๆ สวน ก็พบว่าพ่อช่างเป็นคนรอบคอบจริง ๆ เลย เพราะในสวนหลังบ้านมีทั้งพืชสวนและพืชสมุนไพร ที่ใช้ทำเครื่องพริกแกงได้ไม่ว่าจะเป็น มะกรูดที่ต้นสูงจนจะเท่าหลังคาบ้านแล้ว กานพลู พริกไทยเม็ด ข่า ขิง ตะไคร้ และอีกสารพัด (ลุงกำลังจะปลูกผักกวางตุ้ง ฝักชีลาว ผักชีฝรั่ง แล้วอีกตั้งหลายผักครับ นี่ไงเมล็ดมันหน่ะ)

ส่วนตามแนวรั้วรอบ ๆ บ้าน เธอก็พบว่า พ่อปลูกผลไม้เอาไว้แทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น มะม่วง มะพร้าว ส้มโอ น้อยหน่า พุทรา ลำใย หน่อไม้ก็มีและก็อีกหลาย ๆ อย่างที่เธอเองก็จำไม่หวาดไม่ไหว แล้วลุงคำก็ยังปลูกฟักเขียว ฟักทองอยู่เต็มค้างอีก
“น้าฑลบอกวา ปูกเอาไว้ไห่ลูกสาวกิ๋น ใหยมาสิได้ง๊ามงาม” (น้าฑลบอกว่าปลูกเอาไว้ให้ลูกสาวกินจะได้สวย ๆ)
เธอจำที่ลุงคำเคยบอกเมื่อตอนที่มาอยู่นี่ใหม่ ๆ ได้แต่ก็ไม่ได้จำใส่ใจเอาไว้ เพิ่งจะมาคิดถึงคำพูดของลุงคำก็วันนี้เอง

หญิงสาวยืนอยู่ใต้ต้นมะม่วง แล้วก็หลับตาลง เพื่อวาดภาพพ่อกับแม่ที่เธอมีในความทรงจำน้อยเหลือเกิน เพราะอยากจะขอบคุณท่านสักร้อยครั้งที่ท่านอุตส่าห์หาอะไรต่อมิอะไรเอาไว้ให้เธอมากมาย แต่เธออยากจะบอกท่านว่า ในเวลาที่จิตใจเธอสับสนอยู่แบบนี้ เธอไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า การที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ พ่อกับแม่สักครั้ง ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาที เธอก็ต้องการมันมากเหลือเกิน

“คุณข้าวคะ คุณข้าว คุณลุงโทรมาหาค่ะ” แต๋นตะโกนจากบนบ้านลงมา ทำให้เธอต้องรีบขึ้นไปรับทันที
“เอ่อ ค่ะคุณลุง” เธอรับคำแค่นั้นแล้วก็วางสายไป ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของลูกชายคุณลุงยังคงตามหลอกหลอนเธอไม่ยอมห่าง ไม่นานเธอก็มายืนอยู่หน้าบ้านของคุณลุง แล้วอาการโล่งใจก็มีไม่น้อย เมื่อไม่เห็นรถของเขาจอดอยู่ เธอรีบเดินขึ้นไปบนบ้านทันที และตั้งใจว่าจะรีบกลับ หลังจากที่คุณลุงคุยธุระะเสร็จแล้ว

“แม่ป้าฝากมาให้หนู” เขมบอกเมื่อยื่นซองขาวให้เธอ และเธอก็พบว่าเป็นเงินจำนวนสามหมื่นบาท
“แม่ป้าบอกว่าช่วยค่าปุ๋ยหนูข้าว”
เขมบอกอีกครั้งเมื่อเธอมองหน้าเขา แล้วเธอก็ได้รู้ว่าคุณลุงไปราชการและได้พบกับแม่ป้าเธอโดยบังเอิญตามคำบอกของเขา แล้วเขมก็ชวนเธอคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนในที่สุดเขมินท์ก็กลับเข้าบ้านจนได้
“เจ้าน้ำมากินข้าวเร็ว ๆ น้องรอตั้งนานแล้ว” เขมบอกทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้รอสักนิด ทำให้เธอรู้สึกเสียหน้าจริง ๆ เลย
“กินข้าวต้มฝีมือเจ้าไข่มันหน่อยนะ เจ้าไข่ตักข้าวต้มได้” เขมไม่ได้ชวน แต่สั่งเธอมากกว่า

“ค่ะ”
เธอได้แต่รับคำแค่นั้น เพราะวันนี้คุณลุงดูจะขรึม ๆ ไม่ขี้เล่นเหมือนหลาย ๆ วันที่เธอเคยเห็น แต่เอ หรือว่าวันนี้เธอไม่ได้ส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนทุก ๆ ครั้งที่มาบ้านคุณลุงกันแน่
“หนูข้าวสบายดีหรือเปล่าลูก วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่า ดูใจลอย ๆ ยังไง ๆ อยู่นะ มีปัญหาอะไรบอกลุงได้นะ ใครมันทำอะไรหนูบอกกำนันได้ เดี๋ยวจะเอาปืนไปเหนี่ยวมันให้”
เขมถามด้วยสีหน้าที่ยิ้มกว่าเมื่อสักครู่ เมื่อลูกชายเดินมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับมองหน้าเธออย่างเต็มตาหลังจากที่เมื่อคืนนี้แอบนอนคิดถึงอยู่แทบจะทั้งคืน แต่เขาก็บอกตัวเองว่า

“เราก็แค่หวั่นไหวไปชั่วคราวเท่านั้น เพราะแม่คุณสวย อยู่ในนั้นสองต่อสองเป็นใคร ก็คงต้องทำเหมือนเรา”

“เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ ข้าวคงเหนื่อยมั้งคะ เพิ่งจะเดินกลับจากวัด” เธอบอก
“ใครจะไปกล้าบอกคุณลุงล่ะคะ ว่าคนที่รังแกข้าวก็คือลูกชายคุณลุงเอง”
“ดี ๆ ไปวัดบ่อย ๆ จิตใจจะได้สงบ ได้บุญได้กุศลด้วย” เขมบอกและก็สนใจกับข้าวต้มอย่างอร่อย
“เอ้อ...หนูข้าว พรุ่งนี้ลุงจะให้เจ้าน้ำไปรับพาไปแจกข้าวสากนะ แต่งตัวรอด้วยไปกันแต่ผู้หญิงมันอันตราย”
เขมบอกเมื่อเธอขอตัวลากลับบ้าน ซึ่งเธอก็ได้แต่รับคำแค่นั้น

“คุณข้าวคะ คุณข้าวตื่นได้แล้วค่ะ คุณน้ำมารับแล้ว” เสียงแต๋นเคาะประตูตั้งแต่เวลาตีสาม ภรัณยาสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความงง เพราะนี่ไม่ใช่หน้านาทำไมมาปลุกเอาตั้งแต่ตีสาม แต่เธอก็เดินไปเปิดประตูให้แต๋นแต่โดยดี
“อะไรกันแต๋น นี่มันแค่ตีสามนะ ใครเป็นอะไรอีก หรือว่าเขมรที่ไหนแตกทัพมากัน”
เธอโวยวายทันที มือก็ขยี้ตาไปมาด้วยความง่วง
“คุณพ่อบอกคุณแล้วว่าจะให้ผมมารับไปวัด คุณไปอาบน้ำได้แล้วทุกคนกำลังรออยู่” เขาบอก
“ฮ้า...ไปวัด...นี่มันอะไรกันคุณ เพิ่งตีสามจะไปทำไมที่วัด” เธอถามด้วยความสงสัย

“เอ๋า ป้ากะยั๊งบอกแล่วว่าสิพาไป่แจกเข่าสากฮั่นเด้คุณเข่า” ป้าหวางที่เดินขึ้นมาบนเรือนบอกอีกคน
(อ้าว ป้าก็ยังบอกแล้วไงว่าจะพาไปแจกข้าวสากหน่ะคุณข้าว)
“ไปตอนนี้เลยเหรอคะป้าหวาง” “จ้า” ป้าหวางรับ
“เฮ้อ ทำไมมันยุ่งยากจังเล้ย งั้นรอแป๊บนะข้าวไปอาบน้ำก่อน”
เธอบอกแล้วก็หายเข้าไปในห้อง สิบนาทีผ่านไปประตูห้องของเธอก็เปิดออกมา
“แล้วแต่งตัวยังไงล่ะ”
ยังก่อนยังไม่เสร็จหรอก เธอแค่โผล่หน้ามาถามแค่นั้น แล้วก็หายไปใหม่เมื่อได้คำตอบจากเขาแล้ว

แล้วอีกสิบนาทีต่อมาเธอก็ออกมาพร้อมกับชุดแซกแขนกุดสีฟ้าลายขวางคาดด้วยขาว ตรงเอวมีเข็มขัดเส้นเล็ก ๆ คาดเอาไว้ ซึ่งเผยให้เห็นเอวที่คอดกิ่วได้อย่างดี เขมินท์หันไปมองดูแค่ครู่เดียว และชมในใจว่า “สวย” ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับข้าวของที่ป้าหวางยังเตรียมไม่เสร็จ เพราะเขาไม่ได้โทรบอกว่าจะมาเร็ว

ภรัณยาเดินมาใกล้ ๆ เขาและทุกคนที่ช่วยกันนั่งรุมทำอะไรเธอก็ไม่รู้ ป้าหวางเอาหมาก พลู บุหรี่ที่เอาใบตองแห้งพันแทนกระดาษ ข้าวต้มมัด ขนมเปียกปูน ข้าวเหนียว ข้าวสวย พริก ปลาร้า หน่อไม้ดอง ปลาย่าง เนื้อย่าง ส้มโอ และอีกตั้งหลายอย่าง ทั้งหมดถูกทำเป็นชิ้นไม่ใหญ่มาก แล้วเอามากองรวมกันไปบนใบตองกล้วย เอาไม้กลัดหัวกลัดท้าย คล้าย ๆ กลีบข้าวต้มมัดวันที่เธอไปช่วยห่อที่งานศพ แต่ว่าป้าหวางไม่พับสันตองแล้วก็เย็บติดเอาไว้ ป้าหวางทำแบบนี้ให้เธอสิบห่อ ของแกก็ทำจำนวนเท่ากัน

ส่วนเขมินท์นั้นก็มีข้าวของที่ไม่ต่างจากของบ้านเธอมากนัก แต่เขายังไม่ได้ห่อ ตั้งใจจะเอามาให้ป้าหวางช่วยห่อให้ เพราะบ้านไม่มีผู้หญิงสักคน และที่สำคัญงานพวกนี้ป้าหวางก็จะเป็นคนจัดทำให้เขาและพ่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เวลาตีสี่ทุกคนถึงได้เสร็จและเดินลงบ้านตรงไปยังวัด

แล้วภรัณยาก็พบว่าชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือน ต่างก็ออกจากบ้านและตรงไปวัดเหมือน ๆ กับเธอ เมื่อทุกคนเดินมาถึงวัด เขมินท์พาเธอเดินเอาข้าวปลาอาหารที่ห่อใบตองมานั้น ไปเปิดออกและวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ในบริเวณรั้ววัด และใต้ต้นไม้ใหญ่ ๆ แล้วเธอก็พบว่าหลาย ๆ คนก็ต่างเอาห่ออาหารมาวางไว้แทบทั้งนั้น

จนแทบจะไม่มีที่ว่างเอาไว้เลย คนส่วนใหญ่ก็จะพูดกันเบา ๆ หรือจะเป็นการกระซิบมากกว่า ซึ่งเธอไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะยังเช้าอยู่มากนั่นเอง ป้าหวางลุงคำแยกไปอีกทาง แต๋นกับไข่วางห่ออาหาอยู่ไม่หางเธอและเขานัก ไฟฉายหลาย ๆ ดวงสาดส่องไปมาเพื่อให้ผู้คนได้เห็นทางเดิน เพราะกลัวจะไปเหยียบเอาห่อข้าวของใครเข้า

“คุณนั่งลงตรงนี้ แล้วก็ยกมืออธิฐานให้พ่อแม่คุณและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วมารับข้าวสากที่เรามาแจกสิ”
เขาบอกและนั่งลงใกล้ ๆ เธอพร้อมกับพนมมือขึ้น
“นี่คุณจะให้ฉันอธิฐานว่ายังไงล่ะ” เธอกระซิบไปถามเขา
“ก็อะไรก็ได้ที่ให้พ่อแม่พี่น้องรู้ว่าคุณเอาของมาให้”
“ฉันไม่เคยทำ” “ก็เคยซะสินี่ไงผมพาทำอยู่นี่ไง”
เขาบอกแล้วก็หันกลับไปพนมมือขึ้นไหว้ใหม่ และเธอก็ทำตามที่เขาบอก พร้อมกับอธิฐานไปสารพัดที่เธอคิดขึ้นได้ เสร็จแล้วทุกคนก็ออกจากวัดด้วยอาการสงบ

“เมื่อกี้เขาเรียกว่า “แจกข้าวสาก” คำว่า “สาก” ในที่นี้ถ้าเป็นภาษาไทย คือคำว่า “ฉลาก” บุญแจกข้าวสากหรือฉลากภัตรหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าบุญเดือนสิบนี้ แต่ละท้องถิ่นทำไม่เหมือนกัน เช่นในบางท้องถิ่นอาจจะจัดของ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ยาตำราหลวง มาทำเป็นห่อๆ นำไปถวายพระ ก่อนจะทำพิธีถวายก็จะมีการจับฉลากก่อน

ทีนี้พอตนเองจับฉลากได้เป็นชื่อของพระเณรรูปไหน ก็จะนำไปถวายตามนั้น แบบนี้ถือว่าเป็นการเสี่ยงสมภาร หรือบารมี ว่าในปีนี้ดวงชะตาหรือชีวิตของตนจะเป็นยังไง มีการทำนายไปตามลักษณะของพระหรือเณร ที่ตนเองจับฉลากได้ เช่น บางคนอาจจะจับได้พระที่เป็นผู้ที่อายุพรรษามากถือว่าเป็นผู้มีชีวิตมั่นคง หรือจับฉลากถูกพระเปรียญหรือเณรมหาก็ถือว่าเป็นผู้ที่สติปัญญามาก” เขาอธิบายให้เธอรู้ขณะที่เดินกลับบ้านพร้อมกัน

“เหรอ ทำไมฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยล่ะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“แล้วคุณรู้อะไรกับใครเขาบ้างล่ะ” “นี่...” เธอหยุดและเท้าสะเอวใส่เขาทันที
“โอเค ๆ เอาใหม่ ที่คุณไม่รู้ก็เพราะคุณไม่เคยอยู่อีสานนี่ แต่ว่าบ้านเราคุณพ่อท่านพาทำแบบที่พวกเราทำอยู่เมื่อกี้แทน” เขาบอก “อื่อ ค่อยน่าฟังหน่อย ว่าแต่ทำไมคุณลุงถึงพาทำไม่เหมือนที่อื่นล่ะ”
“ก็คือในการทำบุญข้าวสากนี้ เป็นเรื่องที่คุณพ่อและคนในหมู่บ้านนี้ใส่ใจมาก”
“ทำไมล่ะ”

“ก็คือว่าคนที่นี่ ซึ่งอยู่มาก่อนคุณพ่ออีก มีความความเชื่อที่ว่า ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ซึ่งก็คือวันนี้ และเป็นเวลาประมาณนี้ เป็นวันที่พระยายมภิบาล เปิดขุมนรกให้สัตว์นรกได้มารับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ คือเมื่อคืนวาน มาจนถึงเที่ยงคืนวันนี้


ทีนี้ในเมื่อพวกเปรต หรือสัตว์นรกเหล่านั้นมารับส่วนบุญจากญาติพี่น้องที่อยู่ในโลกมนุษย์ พวกที่ได้รับบุญกุศล ที่เกิดจากการทำบุญข้าวสากนี้ ก็จะอวยพรให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข มีความอุดมสมบูรณ์ ได้สิ่งที่ต้องการและปรารถนา

ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าพวกเปรต หรือสัตว์นรกมาแล้วเกิดไม่ได้ส่วนบุญอะไรจากญาติพี่น้องที่อยู่ในโลกมนุษย์เลย ก็จะน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าลูกหลานไม่ใส่ใจ ถึงแม้ว่าผู้อื่นที่ไม่ใช่ญาติสายโลหิตจะอุทิศแผ่ส่วนบุญไปให้แทน เหมือนที่ป้าหวางบอกว่าทำแทนคุณทุกปีนั้น พวกเปรต หรือสัตว์นรกก็ได้บุญกุศลไม่เต็มที่ ได้แต่เลียใบตองห่อข้าวสากเท่านั้น ซึ่งไม่ถึงกับอี่มท้องอะไรเลย ความน้อยเนื้อต่ำใจก็เลยทำให้ต้องสาปลูก แช่งหลานที่ไม่เอาใจใส่ในตน

มัวแต่ไปแย่งทรัพย์สมบัติพัสถาน ที่พวกเปรต หรือสัตว์นรกหาเอาไว้ให้ตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ จนพวกลูกหลานลืมผู้มีพระคุณ เรื่องนี้ออกจะทำให้น่ากลัวเกรงโทษ ในการทอดทิ้งผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะพ่อแม่ ญาติสายโลหิต ควรได้รับการเอาใจใส่จากลูกหลาน ทั้งในขณะยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ตายไปแล้ว คุณพ่อก็เลยเน้นเรื่องนี้มาก” เขาเล่าไปและก็เดินไป

“เหรอ งั้นวันนี้คุณพ่อคุณแม่ของฉันท่านก็จะได้รับข้าวสากจากฉัน ซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ ของท่านไปหน่ะสิ...อ้าว...แล้วปีที่ผ่าน ๆ มา ที่ฉันไม่ได้มาทำบุญ ท่านก็แช่งฉันแย่แล้วหน่ะสิ แล้วฉันจะเป็นอะไรหรือเปล่านี่”
เธออดกลัวไม่ได้ จนทำให้เขาหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กับทุกคนที่เดินมาด้วย
“บ่แซงดอกจ้าคุณเข่า” ป้าหวางบอกและยิ้มให้เธอ (ไม่แช่งหรอกค่ะคุณข้าว)
“เป๋นอีหยังสิบ่แช่งล่ะ ก็ข้าวบ่เคยมาทำแบบนี้เลย”
“ท่านไม่แช่งคุณหรอก เพราะว่าป้าหวางเอาเงินจากผม ซึ่งเป็นเงินค่าเช่านา ซึ่งมันเป็นเงินของคุณ ไปซื้อข้าวของมาทำบุญแทนให้ แต่ท่านอาจจะบ่นคิดถึงลูกท่านบ้างในบางปี ที่ท่านลงมาแล้วแต่ไม่เห็น”
“จริงเหรอ คุณไม่ได้ปลอบใจฉันใช่มั้ย” เธอหันไปถามเขาด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ผมเคยโกหกคุณด้วยเหรอ แล้วอีกอย่างนะ ในประเพณีบุญข้าวสากนี้ หลังจากกลับไปบ้านแล้วพวกเราก็จะต้องไปถวายทานที่วัดด้วย ส่วนคนที่เคร่งมาก ๆ ก็จะต้องไปรักษาศีล เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล ไปให้ปวงญาติที่ตายไปแล้ว วันนี้หลวงตาก็จะเทศน์ให้ญาติโยมได้ฟังเกือบตลอดทั้งวันอีกด้วย ถ้าคุณฟังรู้เรื่องก็ไปฟัง เพราะเรื่องที่จะเทศน์คือพระเจ้าสิบชาติ ซึ่งเรื่องนี้มันจะมีอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวบ้าน

เพื่อจะได้เป็นเครื่องช่วยขัดเกลาจิตใจ และเราเร่งเร้าให้ทำคุณงามความดีขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ บุญแจกข้าวสากหรือบุญเดือนสิบถือได้ว่าเป็นประเพณีอันดีงามของพวกเราชาวอีสาน ที่ลูกหลานควรเอาใจใส่ประพฤติปฏิบัติกันสืบทอดไป”
เขาเล่าให้เธอฟังต่อ

“คุณไม่ใช่คนอีสานซักหน่อย” เธอแย้ง
“ใครว่าล่ะ ผมมาอยู่นี่ยี่สิบกว่าปีแล้ว ถือว่าได้กรีนการ์ดแล้ว และก็เป็นคนอีสานเต็มตัวแล้วด้วย คุณล่ะได้หรือยังกรีนการ์ด” เขาบอกด้วยความมีอารมณ์ขัน จนเธอนั้นยิ้มออกมาจนได้ แต่ไม่นานรอยยิ้มนั้นก็หุบลงไปอีก พร้อมกับพวงแก้เปลี่ยนเป็นสีแดงแทนเมื่อคิดไปถึงเรื่องเมื่อวาน เธอได้แต่เดินจ้ำอ้าวนำหน้าเขาตรงไปบ้านทันที ซึ่งเขาเองก็สังเกตได้ว่าเธอรู้สึกยังไง เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะลืมมันง่าย ๆ

“ป้าหวางทำไมบ้านข้าวมีขนมเยอะจังคะ เมื่อวานเราทำแค่ขนมเปียกปูนนี่นา”
เธอสงสัยเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วกำลังเตรียมตัวจะไปทำบุญที่วัด แต่ก็เห็นจานขนมอีกตั้งหลายจานวางอยู่
“โอ๋ กะป้าแสง ป้าติงเอามาไห่หั่นเด้คุณเข่า ป้ากะเลยเอาเข่าหนมไป่ไห่เพิ่นนำ” ป้าหวางตอบ
(อ๋อ ก็ป้าแสง ป้าติ่งเอามาให้ไงคะคุณข้าว ป้าก็เลยเอาขนมไปให้ด้วย)
“คนอีสานจะเป็นแบบนี้ล่ะคุณ บ้านนี้ทำขนมนี้บ้านโน้นทำอีกอย่าง แล้วก็จะเอามาให้กันและกัน เรียกว่าจะได้กินของกันและกันไปถ้วนหน้าทีเดียว” เขาบอกเมื่อนั่งกินขนมอยู่ “เหรอ ดีจังเลยน้อ”
“มันมีอีกตั้งหลาย ๆ งานบุญที่คุณยังไม่ได้เห็นน้ำใจของคนอีสาน ถ้าคุณอยู่นาน ๆ รับรองจะได้เห็น แล้วคุณจะรู้ว่ามันสนุกแค่ไหน ไปก่อนนะเอาไว้เจอกันที่วัด” เขาบอก ก่อนจะลุกเพื่อกลับบ้านตัวเอง

แล้ววันนี้ก็สร้างความแปลกใจให้กับภรัณยาอีกวันหนึ่ง เมื่อมาถึงวัดก็พบว่ามีชาวบ้านที่ต่างก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดี ๆ สวย ๆ กว่าหลาย ๆ ครั้งที่เธอเห็น ชาวบ้านพากันนั่งเรียงแถวกันเต็มศาลาวัดจนแทบจะไม่มีทางเดินด้วยซ้ำ แต่ละคนก็จะมีขันเงิน หรือขันอลูมิเนียมวางไว้ตรงหน้า ที่ด้านในนั้นมีขนมที่ชาวบ้านพากันทำเมื่อวานนี้ เพื่อเตรียมเอามาตักบาตร

ชาวบ้านบางคนที่เธอไม่รู้จัก ต่างก็หันหน้าไปซุบซิบ ๆ กันแล้วก็มองไปยังเธอ ที่วันนี้มาในชุดผ้าซิ่นซึ่งเป็นผ้าไหมสีเข้มที่เป็นของแม่เธอ ป้าหวางเป็นคนหาให้เธอใส่ ส่วนเสื้อเป็นเสื้อยืดแบบพอดีตัวสีขาว ตรงเอวนั้นมีเข็มขัดเงินซึ่งเป็นของแม่อีกคาดผ้าซิ่นเอาไว้เผยให้เห็นเอวที่คอดกิ่วและสะโพกที่ผายตึงได้เป็นอย่างดี ส่วนผมยาวสลวยที่เคยปล่อยนั้น วันนี้เธอรวบขึ้นไปมัดเอาไว้

เขมินท์และเขมกับผู้ชายอื่น ๆ ในหมู่บ้านต่างก็แยกไปนั่งอีกฟากหนึ่งของศาลา ซึ่งเรียกได้ว่าชาวบ้านจะพากันนั่งแยกหญิงชายคนละฟาก ไม่ใช่เพราะอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเพราะที่ชาวบ้านต่างก็ไม่ได้พบเจอกันมานานเนื่องจากต่างก็ไปทำนาของใครของมัน พอได้มาเจอกันก็อยากจะคุยกันตามประสา หญิงคุยเรื่องหญิง ชายก็จะคุยเรื่องของชาย จึงแยกกันนั่งด้วยความบังเอิญ

ภรัณยาและทุกคนในบ้านได้นั่งที่นอกสุดเพราะมาทีหลังคนอื่น ๆ เขมินท์เดินไปช่วยยกโน่นยกนี่ตามเคย ซึ่งเธอเริ่มจะคุ้นตาแล้ว ว่าเวลามีงานบุญที่ไหน มักจะเห็นเขาคอยช่วยแบบนี้ แต่เธอก็ไม่กล้ามองเขานาน ๆ เพราะรู้สึกว่ามีแต่คนคอยจ้องตัวเองยังไงยังงั้น ส่วนเขาเองก็ไม่แม้แต่จะมองมายังเธอ เพราะเขาเองก็มีความรู้สึกว่าถูกชาวบ้านจ้องมองไม่น้อย

“หั่นบ้อลูกสาวน้าฑลกับน้านาดีหน่ะ ป๊าดมาคือพูจบพูงามแท่ เบิงดู๊ล่ะสู ข๊าวขาว หุ่นกะงาม โอ๊ย อยากมีลูกซายเด้เนาะสิได้ไปขอมาเป๋นลูกไพ่” เสียงป้าคนหนึ่งที่นั่งอยู่อีกฟากของศาลาหันไปกระซิบกับเพื่อนบ้านที่นั่งข้าง ๆ
(นั่นเหรอลูกสาวน้าฑลกับน้านาดีหน่ะ โอ้โหทำไมสวยจังเลย ดูสิข๊าวขาว หุ่นก็ดี โอ๊ย อยากมีลูกชายจังเลย จะได้ไปขอมาเป็นสะใภ้)
“โอ๊ย เจ้าเซาคึดโลด คนเขาพากันเว้าวาน้าน้ำคือสิมักเลาตัว ยายติงกับยายแสงวา น้าน้ำเทียวไป่หาเลาดู๊ดู๋ตัว เฮ็ดนาเพิ่นกะเฮ็ดนำกั๋น” (โอ๊ย เลิกคิดเลยแก คนเขาลือกันว่าน้าน้ำสงสัยจะชอบแก ยายติ่งกับสายแสงบอกว่า น้ำน้ำเทียวไปหาแกบ่อยจะตาย ทำนาก็ทำด้วยกัน)
“เขาวาเลาเรียนจบเมืองนอกมาพ่อมลิ น้าน้ำเลาก็เรียนจบเมืองนอกคือกัน”
(เขาว่าแกเรียนจบจากเมืองนอกมาด้วยนะ น้าน้ำก็เรียนจบเมืองนอกเหมือนกัน)
“เอ๋า แมนซั่มบ้อ กะคนงามกับคนงาม คนรวยกับคนรวยน้อ สมกั๋นยูดอกเนาะ”
(เหรอ จริงเหรอ ก็คนสวยกับคนหล่อ คนรวยกับคนรวยนี่ สมกันจริง ๆ น้อ)

เพลินพิศที่นั่งอยู่ด้านหลังได้ยินแทบจะทุกคำพูด และมันก็ทำให้เธอนั้นอดหมั่นไส้แม่สาวชาวกรุงคนนั้นไม่ได้เลย เพราะตัวเองอุตส่าห์ครองตัวเป็นโสด ไม่ยอมมองหนุ่มไหนเลย นอกจาก “พี่น้ำ” ของเธอ แล้วจู่ ๆ ก็จะมีใครที่ไหนไม่รู้มาชุปมือเปิบไปง่าย ๆ เพลินพิศไม่ยอมเด็ดขาด แต่ก็ได้แค่คิด เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงได้









 

Create Date : 14 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 14 ตุลาคม 2551 20:43:50 น.
Counter : 345 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.