Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
17 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ร้อยรวงใจ ๓๖ (ธัญรัตน์)




“ทำไมถึงมีบั้งไฟพญานาคคะคุณอ่อง” เธออดสงสัยไม่ได้
“นั่นสิคะแล้วมันมีจริง ๆ เหรอคะ” แป้งที่นั่งข้าง ๆ ถามอีกคน เพราะสงสัยไม่แพ้กัน
“เรื่องนี้อันที่จริงหลาย ๆ คน ก็มีหลาย ๆ ความคิด หรือนานาจิตตังครับ ความเชื่อบางส่วนก็เล่าต่อ ๆ กันมาว่า พญานาคแห่งเมืองบาดาลจุดบั้งไฟถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชาในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ตามปฎิทินของประเทศลาว ซึ่งอาจจะตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ในบ้านเรา ซึ่งก็คือวันนี้ครับ”

“แล้วทำไมถึงเชื่อว่าพญานาคจุดบั้งไฟล่ะค่ะ” เธอตามต่อ
“เหตที่มีคนบางกลุ่มเชื่อแบบนี้ ก็เพราะว่าเรื่องของพญานาคและเมืองบาดาลนี้ไปสอดรับกับเรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ซึ่งเล่าว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงเลิกนิสัยดุร้าย และคิดอยากจะมาออกบวช แต่ก็ไม่สามารถบวชได้ เพราะติดที่เป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ ๑ พรรษา หรือ ๓ เดือน และเสด็จกลับโลกมนุษย์ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา เหมือนที่เราทำบุญวันนี้

ครั้นเมื่อพญานาคที่อยู่เมืองบาดาลรู้มาแบบนี้ ก็มีความคิดอยากจะหาอะไรไปถวายพระพุทธเจ้าบ้าง จึงได้จัดทำบั้งไฟ และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน จนกลายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้ครับ ทำให้เราพลอยได้อานิสงส์เห็นบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเฉพาะวันออกพรรษานี้สืบทอดกันมา ” เขาบอกเจนจิราแต่กลับหันหน้าไปหาภรัณยาที่นั่งฟังเขาอย่างตั้งใจแทน

“เหรอคะ แล้วกลุ่มคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ล่ะคะ” เธอถามด้วยความอยากจะรู้
“ก็เพราะมีคนเขาตั้งแง่คิดและทดลองดูพบว่ามีวิธีการทำบั้งไฟพญานาคได้ถึง ๘ วิธีด้วยกัน”
“มีวิธีอะไรบ้างคะ” ยุ้ยกระซิบถาม

“เขายกตัวอย่างให้ฟังเช่น เขาว่าใส่ปืนแก๊ปกับดินปืนในถุง มัดปลายเชือกกับไกปืนกับปากถุง ปลายเชือกที่ผูกสลักไกปืนจะต่อผูกกับทุ่น ทำจากถุงพลาสติกใส่ก้อนหินในถุง ปิดปากถุงด้วยสำลี แล้วใช้สำลีอุดปากถุง เพื่อตั้งเวลาจุดชนวน เวลาปล่อยลูกไฟประดิษฐ์ลงน้ำ สำลีจะซับน้ำจนทุ่นลอยไม่ไหว จมน้ำตามน้ำหนักหินที่ถ่วงไว้ เมื่อถุงทุ่นจมจะฉุดถุงดินปืนจมตาม ดึงสลักไกปืนอัตโนมัติ ปะทุดินปืนลุกไหม้เป็นลูกไฟลอยจากใต้น้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ เทคนิคประดิษฐ์ลูกไฟแบบนี้เชือกที่ผูกสลักไกปืนติดถุงทุ่น ต้องทำให้ปากถุงยืดหยุ่นได้

หรือจะอีกวิธี ก็ใช้ดินปืนเหมือนกันโดยใส่ดินปืนและตัวจุดชนวนในถุงพลาสติก ตัวจุดชนวนทำเหมือนแบบปืนแก๊ป แต่เปลี่ยนเป็นแบบ ที่หนีบเสื้อกับราวตากผ้า ปลายหนีบข้างหนึ่งมีเชื้อปะทุ จะระเบิดด้วยแรงสปริงเมื่อที่หนีบกางออก แต่บีบไว้ด้วยยาง และแช่ยางไว้ในน้ำมันเบนซิน ต้องแช่ยางอีกถุง กันไม่ให้น้ำมันผสมกับดินปืน ยางที่แช่ในน้ำมันเบนซินนานหลายชั่วโมงจะหมดสภาพคลายความเหนียว ทำให้ก้านหนีบแยกตัวออก เกิดการจุดชนวนระเบิดลุกไหม้ เกิดเป็นลูกบั้งไฟพญานาคจากใต้น้ำอีกแบบหนึ่ง

ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกา ก็มีปรากฏการณ์คล้าย ๆ บั้งไฟนี้ ที่มิสซูรี และเท็กซัส ซึ่งฝรั่งจะเรียกว่า Marfa lights แล้วยังมีที่เมืองเจดด้าห์ ริมฝั่งทะเลแดงที่ซาอุฯ อีกด้วยนะครับ เท่าที่ผมจำได้ก็ประมาณนี้ครับ แต้ถ้าจะเอาละเอียดนี่สงสัยต้องคุยกันยาว” เขาบอกและยิ้มให้สาว ๆ ที่ตั้งใจฟัง
“ก็ในเมื่อมันมีวิธีที่ทดลองออกมาแล้วว่ามนุษย์สามารถทำบั้งไฟพญานาคได้ขนาดนี้ ทำไมคนกลุ่มแรกจึงไม่เปลี่ยนความคิดและมาเชื่อสิ่งที่พิสูจน์ได้ล่ะคะคุณอ่อง” เจนจิราสงสัยมาก

“ก็เขาให้แง่คิดว่า คนที่จะดำน้ำลงไปทำบั้งไฟพญานาคได้จะต้องเป็นคนที่แข็งแรงมาก เพราะกระแสน้ำมันแรงมาก ขนาดคนธรรมดา ๆ กอดเสาอยู่ในน้ำยังทรงตัวไม่อยู่เลย และคน ๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่มีอายุยืนมากเพราะว่าปรากฏการณ์นี้ เมื่อเขาเริ่มศึกษาเรื่องนี้เมื่อปี ๒๕๒๒ ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นมาแล้ว ๑๒๐ ปี ซึ่งจริง ๆ แล้ว ต้องเกิดขึ้นนานกว่านี้อีก เนื่องจากคนที่ทำคนนี้ต้องมีอายุมากกว่า ๑๐๔ ปี แล้วต้องทำด้วยตัวเองจึงจึงจะเก็บความลับเอาไว้ได้” เขาเล่า

“อืม น่าคิดเหมือนกันนะคะ” เจนจิราเห็นด้วย

“ครับน่าคิด และคนที่ทำเรื่องนี้จะต้องรวยมาก ๆ ด้วยครับ เพราะบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเกือบ ๕๒ จุด ก็อยู่ที่ ๑,๕๐๐ – ๒,๕๐๐ ลูกต่อปีเห็นจะได้ แสดงว่าคนที่ทำต้องมีเงินจ้างคนไปประดาน้ำทำเรื่องนี้ ถ้าไม่ดำน้ำไปเอง และต้องกล้ามาก ๆ ด้วย ถึงได้ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจพญานาค ซึ่งอาจจะมีจริงหรือไม่ ผมก็ไม่รู้ แต่คนทั่ว ๆ ไปเขาจะถือว่า ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่ หรือถ้าเป็นภาษาที่ฮิตเมื่อหลาย ๆ ปีมาแล้วจากหนังเรื่องหนึ่ง เขาก็จะถือคติ “เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ” เป็นดีที่สุดครับ” เขาสรุป

แล้วสิ่งที่ภรัณยาและทุก ๆ คนรอคอยก็มาถึง บั้งไฟพญานาค หรือ บั้งไฟผี ที่มีลักษณะเป็น ลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง มีตั้งแต่ระดับ ๑-๓๐ เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ ๕๐-๑๕๐ เมตร เป็นเวลาประมาณ ๕-๑๐ วินาที ผู้คนที่นั่งรอชมปรากฏการณ์นี้ ต่างก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ เมื่อทุก ๆ ครั้งที่มีบั้งไฟพวยพุ่งออกมาจากผิวน้ำ เพราะมันช่างเป็นสิ่งที่สวยงามและมหัศจรรย์ยิ่ง

ภรัณยาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้คนอื่นนัก และสำหรับเธอไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะมีความเป็นมายังไง และมีจริงหรือไม่นั้นเธอเองก็เหมือนกับหลาย ๆ คนคือไม่รู้ แต่สิ่งที่เธอรู้แน่ ๆ ก็คือ บั้งไฟพญานาคได้ทำรายได้ให้กับคนที่นี่หลายล้านบาทต่อปีอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่เห็นฝูงชนที่มาชมปรากฏการณ์นี้ ก็คงจะเป็นแสน ๆ คนทีเดียว พ่อค้าแม่ค้าต่างก็มีสีหน้าที่ชื่นมื่นไม่น้อย เพราะขายของจนแทบจะไม่ได้หยุดเลยทีเดียว นี่ยังไม่รวมที่พักต่าง ๆ ซึ่งเธอเข้าใจว่าคงจะถูกจองจนเต็มหมดแล้ว

“นี่เดินดี ๆ นะ อย่าให้ใครเห็นร่องรอยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่จ่ายเงินพวกแกแน่ ๆ”
จ่อยต้องดุเพื่อน ๆ ที่กำลังพากันแบกเอาถุงปุ๋ยจากหลังรถปิ๊กอัพ ที่ขับเข้ามาจอดไว้ใต้ต้นจามจุรีที่เถียงนาเขมินท์
“รู้แล้วน่าย้ำจริงไอ้จ่อย” ชายคนหนึ่งโต้
“ตามกูมาเร็ว ๆ เข้า”
เขาบอกแล้วก็แบกถุงปุ๋ยนำชายนับสิบคน เดินไปยังทุ่งนามุ่งหน้าไปยังสะพานไม้ด้วยความเคยชิน ไฟฉายไม่จำเป็นสำหรับเขาและเพื่อน ๆ สำหรับค่ำคืนนี้ เพราะเป็นคืน ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ซึ่งเป็นคืนที่เดือนหงายจนการเดินตามคันนาไม่มีความมืดเป็นอุปสรรคเลย

“พวกแกเอาหว่านไปตามแนวนี้ ส่วนแกอีกห้าคนไปแบกถุงที่เหลือมาเร็ว ๆ นอกนั้นตามฉันมาทางนี้”
จ่อยสั่งการด้วยความรวดเร็ว แล้วเขาก็เดินพาเพื่อนสามคนเดินไปตามคันนาอีกฟากหนึ่ง ถุงถูกเปิดออกแล้วเจ้าหอยเชอร์รี่ที่อยู่ในถุงก็ถูกจ่อยและเพื่อน ๆ ช่วยกันหว่านลงไปในนาข้าวของภรัณยา ที่หัวมุมคันนาที่เป็นแอ่งน้ำเขาก็เทเจ้าหอยนั้นลงไปทั้งถุง
“นี่อย่าเอาไปเทฝั่งนั้นนะ ไม่ใช่เป้าหมายเอากลับมา”
จ่อยรีบบอกเพื่อนที่กำลังจะเทถุงหอยลงไปในนาข้าวของลุงเอิบและป้าลิ่มที่ติดกับนาเธอ โดยมีแค่คันนากั้นกลางเอาไว้แค่นั้น
จ่อยทำแบบนี้จนหอยที่อยู่ในถุงไม่น้อยกว่าสี่สิบถุงหมด เวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้วเขาจึงเสร็จงาน แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะระวังไม่ให้เพื่อนทิ้งร่องรอยเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะมีคนคิดว่าหอยมันไม่ได้มาเอง แต่จ่อยก็ไม่อยากจะให้ใครรู้ว่าเขาเป็นคนนำมันมา รถปิ๊กอัพขับหายไปจากเถียงนาในเวลาไม่นานนัก

“คุณข้าวคะ คุณข้าว ๆ ๆ”
เสียงแต๋นเคาะประตูดังแทบจะลั่นบ้าน ทำให้ภรัณยาถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เธอหันไปมองเจนจิราที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ข้าง ๆ เธอ ส่วนแม่ป้านั้นเธอยกเตียงให้นอนตามเคย เพราะว่าทุกคนต้องมานอนกองรวมกันอีกแล้ว ด้วยข้อจำกัดของเครื่องปรับอากาศมีตัวเดียว ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ เขมินท์เชิญให้ไปนอนที่บ้านเขาแทน เพราะมีห้องรับแขกเอาไว้แล้ว และมีเครื่องปรับอากาศพร้อม หญิงสาวจำสีหน้าของเชอร์รี่ได้ดีว่าดีใจแค่ไหนที่เขาชวนไป เธอเหลือบไปดูนาฬิกาก็พบว่าใกล้จะเที่ยงเต็มทีแล้ว

“อะไรคุณแต๋น เขมรที่ไหนแตกทัพมาอีก” เธองัวเงีย ๆ ไปเปิดประตู
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ คุณน้ำให้พี่ไข่มาตามคุณข้าวลงไปดูนาด่วน เร็ว ๆ นะคะ คุณลุงก็รออยู่ที่โน่นแล้วค่ะ”
แต๋นบอกแล้วก็เดินหายเข้าครัวไป เพราะทำอาหารค้างอยู่

หญิงสาวพาร่างที่มีกางเกงยีนส์ตัวเก่ง กับแจ็คเก็ตที่มีหมวกห่อหุ้มร่างเดินลงไปที่นาด้วยความรีบร้อน จนเธอลืมไปว่ามีแม่ป้าและเจนจิราที่ยังเดินคันนาไม่คล่องนักตามไปด้วย แต่ก็ยังดีที่มีแต๋น ไข่ และป้าหวางคอยช่วยอยู่

“เกิดอะไรขึ้นคุณ” เธอถามเขาด้วยความสงสัย เพราะเห็น เขากับลูกน้อง และคุณลุงพร้อมด้วยลุงคำยืนดูอยู่คันนา
“นั่นสิคะคุณเขม ทำเอาตกอกตกใจหมดเลย มันเรื่องอะไรกัน” มณฑาถามเมื่อเดินมาถึง
“ไม่มีอะไรมากหรอกแค่จู่ ๆ เจ้าพวกนี้มันก็มาอยู่เต็มที่นาของหนูข้าวก็แค่นั้นเอง”
เขมบอกและก็ชี้ให้ทุกคนก้มลงไปดูเจ้าหอยที่จับอยู่ตามดินเป็นพรืด จนจะหาที่ว่างไม่มีเลย

“นี่อะไรคะหอยอะไร” เธอพับขากางเกงขึ้นไปที่เข่าแล้วก็ลงไปหยิบเจ้าหอยขึ้นมาดู แต่ก็ไม่รู้ว่าหอยอะไร
“หอยเชอร์รี่ โชคดีนะที่มันมาตอนที่ข้าวของคุณโตแล้ว ถ้ามาตอนที่ข้าวได้สัก ๒ อาทิตย์นะ รับรองว่าไม่เหลือแม้แต่ต้นไว้ให้คุณหรอก” เขาบอก
“แปลว่าตอนนี้มันทำอะไรข้าวฉันไม่ได้ใช่มั้ย” เธอถาม แล้วก็ได้รับคำตอบจากเขาด้วยการพยักหน้า
“เฮ้อ โล่งอกไปที” มณฑายกมือไปทาบไว้ที่อกด้วยความโล่งใจแทนหลาน
“แต่เราจะต้องรีบกำจัดมันก่อนที่มันจะมาแพร่พันธุ์ไว้ที่นี่” เขาบอก
“แล้วจะทำยังไงล่ะ” เธอถาม

“เราก็ต้องช่วยเก็บมันเอาไปวางไว้ที่แห้ง ๆ ไกล ๆ น้ำ แค่นี้มันก็ไม่รอดแล้วล่ะ หรือไม่ก็ต้องใช้ยาฉีด แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากจะใช้ยาสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องรีบเอามันออกไปให้ไกล ๆ นาไว้ก่อนถ้าขืนปล่อยไว้นะ รับรองว่ามันจะมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่แน่ ๆ ไข่ไปตามคนที่พอจะว่าง ๆ มาช่วยกันด้วย” เขาบอกเธอและก็หันไปสั่งไข่โดยเร็ว
“โอ๊ยเป๋นอีหยังกันน้อ คือมาตุ้มมาโฮมกันดี๋แท่พอกำนัน”
ป้าลิ่มและลุงเอิบเดินข้ามสะพานมา และก็มาทักทายก่อนที่จะไปดูข้าวที่นาตัวเอง
“โอ๊ย กะเบิ่งแนล่ะพู้นหน่ะเต็มไฮนายู” เขมชี้ให้ทั้งสองดู
“ป๊าดหอยเซอร์รี่ตัวนี่ มันมาได้จั๋งได๋ล่ะพอกำนัน” ลุงเอิบถาม
“บ่ฮู่คือกั๋น แตวากำลังสิพากันเก็บออก คันปอยเอาไว้มันสิออกแมแพลูกเต็มนาพวกเฮา” เขมบอก

แล้วทั้งหมดก็ต้องมาช่วยกันเก็บเจ้าหอยเชอร์รี่ออกจากนาข้าวของเธอให้หมดไป เพื่อน ๆ เธอที่เพิ่งจะตื่นนอนก็มาช่วยด้วย แต่กับอาการที่กลัวดำ ที่ไม่ได้ต่างจากภรัณยาเมื่อครั้งมาใหม่ ๆ ทำให้เขมินท์อดขำไม่ได้ ลุงเอิบกับป้าลิ่มก็ช่วยเก็บด้วย เพราะเจ้าหอยมันก็ลามไปที่นาของทั้งสองเหมือนกัน

ข้าวเที่ยงยามบ่าย ๆ ถูกหอบมาที่เถียงนาไว้แล้วโดยแต๋นและไข่เป็นคนได้รับมอบหมายให้ไปเตรียมการ ทุกคนร่วมกันกินอาหารอย่างอร่อยเหมือนตอนที่หว่านข้าว เสร็จแล้วก็พากันไปจัดการกับเจ้าหอยเชอร์รี่จนค่ำมืดจึงเสร็จ แล้วรุ่งเช้าสี่สาวแท้ และหนึ่งสาวเทียมก็บึ่งมินิเข้ากรุงเทพฯ ส่วนมณฑานั้นจะอยู่กับหลานสาวต่อสักระยะ

“นี่ยายข้าว คุณน้ำออกจะหล่อปานนั้น ถ้าหล่อนปล่อยเขาให้หลุดมือไป หล่อนก็โง่สุดฤทธิ์แล้วนะยะ ถ้าหล่อนต้านแรงเสน่ห์คุณน้องโอ๊ะไม่ไหวนะ โทรไปหาฉันที่อังกฤษด้วย แล้วฉันจะมาสอยให้ คนอะไรไม่รู้ อู๊ย หล่อโคตร ๆ เลย”
“ใช่แล้ว จำไว้นะยายข้าว หล่อ ๆ รวย ๆ อายุยี่สิบเก้า พร้อมตำแหน่งว่าที่ด๊อกเตอร์ และที่สำคัญยังโสดสนิทแบบนี้ หาได้แต่ในนิยายนะยะ ถ้าเธอปล่อยเขาให้หลุดมือไปละก้อ ฉันจะซื้อควายเอาไว้ให้ไถนาแทน”
“เฮ้อ อย่าไปใส่ใจกับสองตัวนี่เลยข้าว คู่กันแล้วมันก็ไม่แคล้วคลาดกันหรอก เชื่อฉันสิ แต่ถ้าเธอปล่อยให้หลุดไปจริง ๆ ก็ เฮ้อ เสียดายแทนจริง ๆ ด้วยล่ะ”นั่นคือคำสั่งเสียของเพื่อนสาวของเธอ ก่อนจะออกรถไป

“อะไรนะไม่สำเร็จอีกแล้วเหรอ แล้วนายไปทำยังไงมันถึงได้พลาด รู้มั้ยว่าฉันต้องเสียเงินให้นายกับเพื่อนไปตั้งเท่าไหร่ เฮ้อ กับอีแค่ทำให้ข้าวตายนี่ ทำไมมันถึงได้ทำยากทำเย็นจริง ๆ เลย” เจตน์หัวเสียเมื่อจ่อยเข้ามารายงานผล
“ผมก็ไม่รู้ครับ คิดว่าเจ้าหอยเชอร์รี่มันจะกินข้าวต้นแก่ ๆ ได้ เหมือนที่กินข้าวต้นอ่อน ๆ ผมขอโทษครับ แต่ผมก็พยายามทำดีที่สุดตามที่คุณเจตน์สั่งแล้วนะครับ” จ่อยบอกด้วยน้ำเสียงที่เบาและทำหน้าเศร้าให้เขาเห็น
“เอาล่ะ ๆ ไม่ได้ผลก็ไม่ได้ผล นี่เงินค่าเหนื่อย กลับไปทำงานได้แล้วไป” เขาไม่อยากจะว่าจ่อยอีกต่อไปแล้ว
“ขอบคุณครับ แล้วคุณเจตน์จะให้ผมทำยังไงต่อไปดีครับ” จ่อยยังอุตส่าห์ถามทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่อยากทำแล้ว
“มันจะทำอะไรได้อีกล่ะ พอแค่นี้ก่อน เอาไว้ให้ฉันไปคิดอะไรดี ๆ ได้ก่อนก็แล้วกัน”
เขาบอกก่อนจะเอนตัวไปกับพนักเก้าอี้ แล้วก็เอาขาพาดโต๊ะไว้เหมือนทุก ๆ ครั้ง ไม่นานเขาก็ลุกเดินออกจากห้องไป โดยไม่ได้สนใจอุบลที่อยากจะร้องถามว่าเขาจะไปไหน

เครื่องปรับอากาศในห้องชุดถูกเปิดทำงานทุกตัว เขาโยนเสื้อนอกไปกองไว้ที่เตียงอย่างไม่แยแส แล้วก็หายเข้าไปในห้องน้ำนานเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วก็กลับออกมาพร้อมกับความสดชื่นกว่าตอนแรก เสื้อผ้าชุดสบาย ๆ ถูกเขาเลือกเอามาสวมใส่ เหล้าที่บาร์ถูกรินลงไปในแก้วอย่างช้า ๆ

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง แก้วเหล้ายังคงมีในมือ พร้อมกับคิดอะไรไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ เรื่อง แล้วเขาก็หันไปมองที่ประตูห้อง พร้อมกับมองเห็นภาพคืนนั้นได้ชัดเจนไม่น้อย
“แหม...ไม่คิดที่จะรอให้มันผ่านคืนนี้ไม่เลยนะยัยข้าว”
“นายทำอย่างนี้ทำไมนายเจตน์”
“นี่มันอะไรกันยัยข้าวจู่ ๆ พรวดพราดเขามาในห้องฉันยามวิกาล ฉันแจ้งตำรวจข้อหาบุกลุกและทำร้ายร่างการเธอได้นะ”

“ก็เอาสิ ฉันจะได้แจ้งกับตำรวจว่านายวางแผนโกงแม่ป้าฉัน และก็แอบอ้างอำนาจตำรวจไปขู่แม่ป้าฉันด้วย และยังไม่รวมที่นายแอบสร้างข่าวเท็จที่เปิดให้แม่ป้าดูด้วยนะ สถานีที่นายอ้างชื่อเขาในข่าวคงจะได้อยากข่าวนี้ไม่น้อย เอาเอกสารที่นายให้แม่ป้าเซ็นต์กลับคืนมาซะ แล้วฉันจะไม่เอาเรื่องนายฉันสัญญา”

“อะไรกันข้าว อยู่ดี ๆ ก็มากล่าวหาฉันได้ยังไง ฉันไปวางแผนอะไร ไปแอบอ้างอำนาจตำรวจอะไร แล้วไอ้ข่าวเท็จที่ว่ามาหน่ะ ไหนล่ะหลักฐานอยู่ที่ไหน จะพูดจะกล่าวหาใครก็ให้มันมีมูลเหตุหน่อยนะ เดี๋ยวจะโดนข้อหาแจ้งความเท็จเข้าหรอก กลับออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”
“นายนี่มันเลวจริง ๆ เลยนะ เสียแรงที่แม่ป้ารักและเลี้ยงดูนายมา ถ้าคุณลุงยังมีชีวิตอยู่ท่านจะต้องผิดหวังในตัวนายแน่ ๆ”

“รักเหรอ...ฉันแทบจะไม่รู้สึกว่าแม่ป้าเธอรักฉันเลยสักนิดเดียว นอกจากจะไม่รักแล้ว แม่ป้าเธอยังมาแย่งความรักของพ่อฉันไปอีก แล้วก็มาผลานเงินฉันไปไม่รู้เท่าไหร่ ไหนจะส่งเธอไปเรียนเมืองนอกอีก ซึ่งฉันเป็นลูกแท้ ๆ ของคุณพ่อ ฉันยังไม่มีโอกาสแบบนั้นเลย แถมยังจะต้องมาช่วยคุณพ่อทำงานหาเงินงก ๆ ๆ ให้เธอกับแม่ป้าเธอใช้อย่างสบายใจซะอีก

เธอลองคิดดูสิว่าเธอเป็นฉันเธอจะรู้สึกยังไง ที่จะต้องมาอยู่ใต้อำนาจของผู้หญิงแก่ ๆ ที่แทบจะไม่มีสมองคิดอะไรเองเลย วัน ๆ เอาแต่เซ็นต์เช็คแค่นั้น แถมบางครั้งยังลืมอีก จนสร้างความเสียหายให้บริษัทไม่รู้เท่าไหร่ ฉันว่าคุณพ่อคงจะเสียใจกับแม่ป้าเธอ มากกว่าที่จะมาเสียใจกับฉันซะอีกนะ”

“ฉันจะไม่ยอมแพ้นายแน่ พรุ่งนี้ฉันจะส่งทนายมาจัดการกับนาย อย่าคิดนะว่าจะได้อะไรไปง่าย ๆ ให้มันรู้ไปว่าฉันจะทำอะไรนายไม่ได้ ไม่มีใครยืนอยู่เหนือกฏหมายหรอกนายเจตน์”

เขาถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ เมื่อเสียงของคู่อริยังคงก้องอยู่ในหูไม่เคยลืมเลือน ถึงแม้เธอจะออกจากชีวิตของเขาไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ายังมีสองป้าหลานคอยมาก่อกวนจิตใจเขาอยู่ใกล้ ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

“ข้าว ฉันจะขัดขวางเธอไม่ได้จริง ๆ เหรอ คนอย่างฉันตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลย แล้วเธอเป็นใครกัน ที่จะมาเอาชนะฉันได้ จะให้ฉันทำยังไงเธอถึงจะยอมถอยนะ”
เขาพูดกับตัวเอง แล้วก็ครุ่นคิดอะไร ๆ ไปเรื่อยเปื่อย โดยที่ไม่ได้สนใจกับมือถือที่มันดังอยู่ในห้องนอนเลยแม้แต่นิด

เรือที่ตกแต่งแบบเรือนไทยที่ทอดสมออยู่ที่ท่า หนุ่มใหญ่ที่อยู่ในชุดทักซิโดสีดำ ยืนมองผืนน้ำที่กระเพื่อมตัวไปมาอย่างช้า ๆ อาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าลงไปทุกขณะ ๆ เพื่อตอกย้ำให้เขาต้องรีบทำอะไรสักอย่าง เพราะวันเวลาที่ผ่านไปนั้น ไม่คิดที่รอเขาเลย นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ และมายืนดูแม่น้ำเจ้าพระยาแบบนี้

“คุณมณครับ แต่งงานกับผมเถอะนะครับ แล้วเราจะไปช่วยกันสร้างครอบครัวด้วยกัน ผมสัญญาว่าต่อไปผมจะซื้อที่นาให้ได้มาก ๆ คุณมณจะได้สบาย ไม่ต้องลำบาก” ภาพของผู้ใหญ่บ้านแห่งบ้านน้ำงาม ที่ตอนนั้นอายุยี่สิบหกปี กำลังนั่งคุกเข่าอ้อนวอนผู้หญิงที่เขาหลงรักมาสามปีกว่า ๆ

“คุณเขม ลุกขึ้นเถอะค่ะ คุณอย่าทำให้ฉันลำบากใจเลยนะคะ”
มณฑาสาวที่อยู่ในวัยยี่สิบห้าปีในตอนนั้นถึงกับตกใจที่เห็นเขาคุกเข่าลงตรงหน้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“คุณมณตอบผมมาก่อนสิครับ แล้วผมจะลุกขึ้น ผมจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอคุณให้ถูกต้องตามประเพณีทุกอย่าง แล้วเราจะไปอยู่ที่หนองคายด้วยกัน หนูข้าวก็จะได้มีผมคอยเป็นพ่อให้ ส่วนคุณก็จะได้เป็นแม่แทน เจ้าน้ำมันก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร”

“ลุกขึ้นมานั่งตรงนี้ก่อนค่ะคุณเขม ฟังฉันให้ดี ๆ นะคะ เวลานี้ กับสถานะการณ์แบบนี้ฉันคงจะทำตามที่ตัวเองต้องการไม่ได้หรอกค่ะ ฉันไม่อยากให้วิญญาณคุณพ่อกับคุณแม่ต้องเสียใจอีกที่จู่ ๆ ฉันจะต้องทิ้งบ้านและทุกอย่างที่ท่านสร้างไว้ไปอีกคน และฉันก็มีหน้าที่การงานอยู่ที่นี่ ซึ่งจะย้ายไปมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แล้วอีกอย่างที่สำคัญที่สุดนะคะ ฉันไม่อยากจะให้หลานของฉันเติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนั้นอีกต่อไปแล้วค่ะ ฉันทนเห็นหลานที่จะต้องมีชีวิตอยู่กับดินกินกับทรายไม่ได้ ยายข้าวจะต้องได้พบอะไรใหม่ ๆ อีกมากมายที่กรุงเทพฯ นี้ ฉันจะส่งให้ยายข้าวเรียนสูง ๆ และจะไม่ยอมให้ยายข้าวกลับไปที่นั่นอีกเป็นอันขาด

คุณเขมเข้าใจฉันใช่มั้ยคะ คุณยังมีเวลาที่จะพบใครอีกมากมาย ส่วนฉันก็เหมือนกันค่ะ เราอย่าติดต่อกันอีกเลยนะคะ ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายจริง ๆ โชคดีและลาก่อนค่ะ” มณฑาปิดประตูความหวังของเขาลงในตอนนั้น แล้วก็วิ่งหนีเขาไป ปล่อยให้เขานั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น เขาได้แต่ปล่อยให้เธอจากไปโดยไม่คิดที่จะทำอะไรเลย

สายฝนที่โปรยปรายลงมากระทบร่างของเขา ทำให้เขาต้องตัดใจลุกขึ้น และเดินจากที่นั่นโดยไม่คิดที่จะหันหลังกลับมามองมันอีกเลย และเขาก็บอกกับตัวเองเอาไว้ว่า เขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกตลอดชีวิตของเขา

แต่วันนี้เขาตัดสินใจที่จะกลับมาอีกครั้ง และมาในรูปแบบที่ไม่เหมือนผู้ใหญ่เขมเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ที่ต้องพกพาความผิดหวังกลับไป โดยที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามันจะออกมาในรูปนั้น เขาก้มมองตัวเองชุดแต่งกายหรู มองไปยังบริกรที่แต่งกายแบบไทย ๆ มองดูโต๊ะอาหารที่ถูกเตรียมเอาไว้อย่างหรูหรา เขามั่นใจว่าทุกอย่างที่เขาเตรียมเอาไว้ไม่มีข้อบกพร่องแล้ว

“คุณเขม” มณฑาที่เดินลงมาที่เรือในชุดราตรีสีเงิน ผมยาวถูกเธอเกล้าไปเก็บไปด้านหลัง
“คุณมณเชิญครับ ผมคิดว่าคุณจะไม่มาถูกซะแล้ว” เขาบอกและเดินไปหาเธอ เพื่อช่วยพยุงให้เธอเดินได้สะดวกขึ้น
“มีอะไรคะ ทำไมถึงนัดฉันที่นี่”
มณฑาถามขณะที่นั่งลงที่เก้าอี้ โดยมีบริกรเรือคอยเลื่อนให้ เธอออกจะแปลกใจไม่น้อยที่ได้รับข้อความส่งไปที่มือถือให้มาเจอเขาที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เมื่อเช้าเขาก็เพิ่งจะมาส่งเธอที่สนามบินกับหลานรักแท้ ๆ แต่จู่ ๆ เขาก็มาโผล่ที่นี่ และในสภาพที่หล่อเหลาจนเธอจำแทบไม่ได้

“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่อยากจะชวนคุณมณมากินข้าวสองคนก็แค่นั้น”
เขาบอก เมื่อเรือเริ่มแล่นออกจากท่า ล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาในยามอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแบบนี้
“จะกินข้าวแค่นี้ถึงกับต้องเหมาเรือไทยเลยเหรอคะคุณเขม”
มณฑาถาม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากเขา นอกจากยิ้มหวาน ๆ มาให้เธอแทน แล้วเธอก็หยุดถามเขาเมื่อบริกรเดินมาเสริฟอาหาร ซึ่งแน่นอนต้องเป็นอาหารไทย เสียงขิมบรรเลงเพลงลาวเสียงเทียนขึ้นเบา ๆ มันช่างเข้ากับบรรยากาศยามนี้ไม่น้อยเลย

เรือล่องไปไกลพอสมควรก็ทอดสมอเอาไว้ตรงชายน้ำ ปล่อยให้ทั้งสองคนชื่นชมกับบรรยากาศสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังค่อย ๆ ลาลับไป เขมแทบจะไม่รู้รสชาติอาหารด้วยซ้ำ แต่เขาก็นั่งตักเข้าปากและเคี้ยวไปได้เรื่อย ๆ ส่วนอีกฝ่ายนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอคิดอะไร

“คุณชอบบรรยากาศแบบนี้มั้ยครับ”
เขาถามเมื่อทั้งเขาและเธออิ่มจากอาหารแล้ว และก็พากันเดินไปนั่งที่ระเบียงเรือแทน
“ชอบค่ะ มันสบายใจดีนะคะ นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้มาล่องเรือแบบนี้”
มณฑาตอบตามตรง และภาพวันนั้นก็ผุดขึ้นมาเตือนความทรงจำของเธอได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และมันก็ทำให้เธอรู้สึกผิดต่อเขามาจนถึงทุกวันนี้

“คุณมณครับ คงไม่ต้องบอกคุณก็พอจะรู้จุดหมายของผมว่าคืออะไร ตลอดชีวิตของผม นอกจากแม่เจ้าน้ำแล้ว ผมไม่เคยรักใครมากไปกว่าคุณเลย ผมรักคุณ รักมาตลอดยี่สิบกว่าปี ถึงแม้ผมจะรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้พบคุณอีก แต่ผมก็ยังเฝ้ารักคุณ และก็แอบหวังว่าถ้าหากเรายังพอได้เคยทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขับมาด้วยกันแล้ว ก็ขอให้เราได้กลับมาพบกันอีก

และมันก็เป็นไปตามที่ผมหวังเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าผมจะผิดหวังเหมือนเมื่อครั้งที่แล้วอีกมั้ย แรก ๆ ผมก็กลัว แต่คิด ๆ ไปอีกทีผมควรจะลอง ถึงแม้ว่าคำตอบจะออกมาแบบเดิมผมก็จะรับมันให้ได้ และเราสองคนก็ยังจะคงความเป็นเพื่อนไว้อย่างนี้ตลอดไป” เขาอารัมบทแล้วก็ล้วงเอากล่องกำมะหยี่เล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วก็เปิดฝาออก

“คุณมณครับ คุณจะรังเกียจมั้ยครับ ถ้ากำนันบ้านนอก ๆ คนหนึ่งจะ....เอ่อ....แต่งงานกับผมนะครับ”
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ และตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด ทั้ง ๆ ที่กลัวกับคำตอบจากเธอไม่น้อย
“ฉันตกลงค่ะ” มณฑารีบบอกออกไป เพราะคาดการณ์เอาไว้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาจะต้องทำแบบนี้
“อะไรนะครับ คุณจะแต่งงานกับผมเหรอ ทำไมมันง่ายจังเลย นี่ผมฝันไปหรือเปล่านี่คุณมณ” เขางงกับคำตอบจากเธอ
“ฉันรอให้คุณขอมาตั้งแต่ที่คุณนัดไปกินข้าวที่ร้านอิตาเลียนแล้วนะคะ แต่คุณก็ไม่ขอสักที จนฉันคิดว่าคุณคงลืมไปแล้วมั้งคะ คุณเขมคะ ฉันเองก็ไม่เคยรักใครไปมากกว่าคุณเหมือนกันค่ะ ตอนนั้นฉันอาจจะมีภาระหน้าที่ ที่จะต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง แล้วก็หลานอีก แต่ตอนนี้ฉันหมดห่วงแล้วค่ะ ยายข้าวโตแล้ว”

“คุณมณ ผมรักคุณ”
เขาบอกแล้วก็กอดร่างของคนที่เขาเฝ้ารักมานานแสนนานเอาไว้ด้วยความดีใจ แล้วก็บรรจงสวมแหวนไปที่นิ้วนางของเธอ พร้อมกับยกขึ้นมาจุมพิตอย่างนุ่มนวล
“แล้วเราจะแต่งกันตอนไหนดีคะ” เธอถามขึ้น
“เร็วที่สุด ทันทีที่เจ้าน้ำกับหนูข้าวเกี่ยวข้าวเสร็จ”
“แล้วเราจะบอกสองคนนั้นยังไงดีคะ”
มณฑาอดคิดไม่ได้ เพราะกลัวเขมินท์จะรับไม่ได้ และที่กลัวอีกคนก็หลานสาวตัวดีของตัวเองนั่นล่ะ ไม่รู้จะทำหน้ายังไงถ้าได้รู้เรื่อง
“เราจะค่อย ๆ บอกเขาทั้งสองคน แล้วคุณว่างเมื่อไหร่ก็ไปที่โน่นอีกครั้ง แล้วผมจะจัดเตรียมอะไรรอเงียบ ๆ ก่อน”
เขาบอกตามแผนการที่เขาคิดเอาไว้แต่แรก แล้วทั้งเขาและเธอก็สวมกอดกันเอาไว้ด้วยหัวใจที่เป็นสุข









 

Create Date : 17 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 17 ตุลาคม 2551 9:34:15 น.
Counter : 395 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.