Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
ร้อยรวงใจ ๓๘ (ธัญรัตน์)




“นี่คุณเขาห้ามบ่นนะ เดี๋ยวไม่ได้บุญกันพอดี” เขาบอก
“ก็มันจริง ๆ นี่นา ทำมาทั้งวันเหนื่อยแทบแย่”
“คนแถวนี้เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นล่ะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้า เกิดป้าแสงแกทำขนม คุณก็จะได้กินด้วย โดยไม่ต้องเหนื่อยไง เขาเรียกว่าเป็นการลุงทุน ที่หวังผลกำไรในอนาคตอันใกล้ไง ไม่เคยได้ยินเหรอ”
เขาแหย่และยิ้มให้เธอ ส่วนป้าหวางนั้นพอได้จานข้าวเม่าก็รีบเอาไปฝากเพื่อนบ้านทันที ส่วนลุงคำไปอาบน้ำ

“ผมหิวข้าวจังเลย วันนี้ขอกินข้าวบ้านนี้หน่อยได้มั้ย” เขาถามขึ้น
“ได้สิคะคุณน้ำ แต๋นทำกับข้าวเผื่อด้วยค่ะ อีกหน่อยพี่ไข่ก็กลับจากไปอาบน้ำแล้ว” แต๋นตอบมาจากในครัว
“รู้ดีนะคุณแต๋น”
เธอว่าและก็ทำหน้าเชิดใส่เขาก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน แล้วกลับออกมาใหม่พร้อมกับอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว
“หืดดดด ห๊อมหอม” เขาทำท่าดมเข้าเม่าที่จาน แต่สายตามองไปยังร่างที่กลับมาพร้อมกลิ่นหอม ๆ ของน้ำหอม จนทำให้เจ้าของร่างย่นจมูกใส่ ก่อนที่จะนั่งลงไปตรงข้ามเขา

“มือคุณหายหรือยัง” เขาถามแล้วก็ยิ้มให้เธอ ก่อนที่จะตักข้าวเม่าใส่ปากรองท้องไปก่อน
“ยุ่ง” เธอตอบ แต่ก็ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อป้าหวางและลุงคำก็ขึ้นมาสมทบพร้อมกับเตรียมอาหารเย็น แล้วทุกคนก็กินด้วยกัน พร้อมกับคุยกันอย่างออกรสจนเวลาล่วงไปเกือบสามทุ่ม ก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาแต่ไกล ทำให้ทุกคนต้องหยุดและนั่งรอว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่นานโทรศัพท์ของเขมินท์ก็ดังขึ้น

“ลุงเอิบฆ่าตัวตายแล้ว” เขาบอกด้วยสีหน้าที่สลดใจไม่น้อย พร้อมกับรีบลุกจากวงข้าว
“คุณ ๆ ให้ฉันไปด้วยได้มั้ย” เธอรีบร้องถาม เพราะรู้จักลุงเอิบเป็นการส่วนตัวบ้างแล้ว
“ใครจะไปบ้าง” เขาหันมาถามคนอื่น แล้วทุกคนในบ้านก็ตรงไปยังบ้านลุงเอิบที่อยู่คุ้มใต้ทันที

สภาพบ้านของลุงเอิบแตกต่างจากหลาย ๆ บ้านที่ภรัณยาเคยเห็น เพราะเป็นบ้านไม้เก่า ๆ ด้านล่างปล่อยเป็นใต้ถุนโล่งเอาไว้ คุณลุงและแพทย์ประจำตำบลกำลังตรวจศพดูตามธรรมเนียม ไม่นานตำรวจก็มาถึงและจากไปเพราะได้ข้อสรุปแล้ว

“โอ๊ย ข่อยกะเห็นเลาบ่ปากบ่เว้าตั้งแตกับมาจากนาแล่ว กะบ่ได้ถามอีหยังเลา เอิ้นมากิ๋นเข่าเลากะบ่ปาก ข่อยกำลังสิอาบน้ำกะได้ยินเสียงปืนดังขึ่น มากะเห็นเลานั่งก้มหน้าคาปืนยูแบบนี่ล่ะ ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ ข่อยสิเฮ็ดจั๊งได๋ล่ะพอแมเอ้ย ลูกกะปวยยูกุ่งเทพ พุ่น เงินทองกะบ่คอยสิมี....”
ป้าลิ่มนั่งร้องไห้โอดครวญจนแทบจะดิ้นลงไปกองกับพื้นเพราะความเสียใจ ทำให้ภรัณยาถึงกับน้ำตาไหลตามไปด้วยเพราะความสงสารในความโชคร้ายของครอบครัวนี้
(โอ๊ย ฉันก็เห็นแกไม่พูดไม่จามาตั้งแต่กลับจากนาแล้ว ก็ไม่ได้ถามอะไร เรียกมากินข้าวแกก็ไม่ตอบ ฉันกำลังอาบน้ำอยู่ ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น มาดูก็เห็นแกนั่งก้มหน้ากับปืนอยู่แบบนี้ล่ะ ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ ฉันจะทำยังไงล่ะพ่อแม่เอ้ย ลูกก็ป่วยอยู่กรุงเทพฯ โน่น เงินทองก็ไม่ค่อยมี....)

“ทำไมลุงเอิบทำแบบนั้นคะ” เธอถาม พร้อมกับเอามือป้ายน้ำตาออกจากแก้ม เมื่อเขาเดินออกมาจากกลุ่มคนที่ต่างก็พากันมามุงดูกันแทบจะหมดทั้งหมู่บ้าน
“ลุงเอิบคงจะเสียใจที่ข้าวถูกเพลี้ยกินหมด ก็เลยอดได้เงินเอาไปใช้หนี้ธนาคาร เพราะแกกะว่าจะใช้ให้หมดปีนี้”
เขาบอกเธอและคนอื่น ๆ ที่ยืนรอฟังคำตอบพร้อม ๆ กัน
“แกเป็นหนี้เท่าไหร่คะ” เธอถาม
“หกหมื่น แต่ข้าวแกถูกเพลี้ยลงจนเกือบหมดสามสิบไร่เลยนะที่เหลือรอดก็ไม่รู้จะได้ถึงสิบเกวียนหรือเปล่า” เขาบอก

“โธ่ ลุงเอิบหนี้แค่นี้ทำไมต้องหนีปัญหาแบบนี้ด้วย ถ้าฉันรู้ว่าแกเป็นหนี้แค่นี้ แล้วรู้ว่าแกจะมาทำแบบนี้ ฉันจะให้เงินแกไปใช้หนี้ตั้งแต่ตอนที่เราไปพบแกแล้วค่ะ ทำไม ๆ ทำไมเราไม่ได้ถามแกนะ”
เธอร้องไห้เพราะสงสารชีวิตที่ยังคงอยู่ และคร่ำครวญอยู่ตรงหน้าเธอ ป้าลิ่มคงจะเสียใจมาก ๆ ถึงได้มีสภาพแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกของเธอ ที่ได้เห็นคนตายใกล้ ๆ แบบนี้
“ถ้าผมรู้อย่างนี้ผมก็คงจะทำเหมือนกันกับคุณนั่นล่ะ แต่ใครจะไปหยั่งรู้อนาคตได้ ผมว่าคุณกลับบ้านก่อนดีกว่านะ ผมจะไปส่ง” เขาบอกแล้วก็นำทุกคนขึ้นรถและขับออกไป ภรัณยาร้องไห้ไม่ยอมหยุด เพราะเจ็บใจตัวเอง ที่ไม่ยอมถามลุงเอิบ เธอเดินขึ้นบ้านด้วยอาการเหม่อลอย จนเขาต้องเดินตามขึ้นไป

“ข้าวคุณอย่าคิดมากสิ ถ้าจะมีใครผิดก็คงจะเป็นผมมากกว่า ที่ไม่รีบบอกให้คุณพ่อรู้ และไปถามไถ่แกให้เร็วกว่านี้ คุณอย่าโทษตัวเองเลยนะ อย่าทำให้ผมไม่สบายใจเพราะห่วงคุณอีกคนเลย ไปอาบน้ำนอนนะผมจะกลับไปช่วยงานที่โน่นกับคุณพ่อหน่อย แล้วพรุ่งนี้คุณค่อยไปงานศพของแก”
เขาดึงมือเธอไปกุมเอาไว้ และให้แง่คิดกับเธอ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธตัวเองจริง ๆ ที่ไม่ได้เอาใจใส่ลุงเอิบให้มากกว่านี้ เขาโทรบอกพ่อแล้ว แต่พอดีพ่อไปประชุมที่ศาลากลางกว่าจะกลับมาก็ค่ำ พอพ่อจะไปคุยด้วยก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นก่อน

งานศพของลุงเอิบเป็นไปด้วยความเงียบเหงา ศพของแกถูกนำไปบรรจุลงหีบและตั้งไว้ที่ศาลาวัดตั้งแต่เมื่อคืน ภรัณยารู้มาจากเขมินท์ว่า ประเพณีทางภาคอีสานไม่นิยมเอาศพคนตายโหงตั้งไว้ที่บ้าน ผู้คนที่ไปร่วมงานเผาศพในช่วงบ่ายนั้นมีบางตาเหลือเกิน ลูกชายคนเดียวของลุงเอิบกลับจากกรุงเทพฯ ถึงในตอนเช้า ๆ แล้ว พร้อมกับพาเมีย ที่เพิ่งจะคลอดลูกได้แค่สามเดือนกว่า ๆ เอง ลูกชายของลุงเอิบเสียใจกับการจากไปของพ่ออย่างกระทันหันเป็นที่สุด แต่ก็ได้แต่ปลง

ภรัณยาไปร่วมฟังพระสวดทุกคืน ข้าวปลาอาหารที่เจ้าภาพนำมาเลี้ยงผู้คนนั้นเป็นไปตามมีตามเกิด ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะไปรบกวนให้เจ้าภาพลำบากจัดหาเลย เสร็จจากสวดแล้วก็แทบอยากจะแยกย้ายกับกลับบ้านใครบ้านมันด้วยซ้ำ หรือที่จะต้องกินก็เพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพแค่นั้น

พิธีการต่าง ๆ ที่เธอเคยเห็นจากงานศพลุงชม จัดให้มีทุกอย่างไม่ละเว้นที่งานศพลุงเอิบ แต่ไม่หรูหราโอ่อ่าเท่าแค่นั้น วันที่สามของงานศพไม่มีหนังกลางแปลงมาฉายเหมือนครั้งก่อน แต่ก็ไม่มีใครใคร่อยากจะดูหรอก หากเจ้าภาพไม่มีกำลังจะจัดหามาให้ดู เพราะทุก ๆ คนต่างก็รู้ฐานะทางการเงินของลุงเอิบกับป้าลิ่มดี

หลังจากเสร็จพิธีทั้งสามวันภรัณยาขอให้เขมินท์พาเธอไปหาป้าลิ่มที่บ้านในเวลาค่ำ ๆ ของคืนถัดมา แล้วเธอก็เอาเงินที่ใส่ซองไว้แล้วเป็นเงินถึงหมื่นบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเธอเอาเงินที่เขมินท์เคยให้เธอเป็นค่ารองเท้าที่เธอยังเก็บเอาไว้อยู่ และอีกส่วนหนึ่งเธอออกมาสมทบเอง

“ขอบคุณหลาย ๆ เด้อจ้าคุณเข่า ป้าสิเอาไป่ไว้เฮ็ดบุญหาลุงเด้อ โอ๊ย จังมาน้ำใจงามกับคนทุกคนยาก คือป้าแท่น้อ ขอให้โย ๆ ยิง ๆ เด้อคุณเข่าเด้อ คันพอคุณเข่ายูกะคือสิดีใจหลายน้อ มีลูกดี ๆ จังซี่”
ป้าลิ่มแทบจะก้มลงกราบเธอเพราะซึ้งในน้ำใจ (ขอบคุณมาก ๆ นะคะคุณข้าว ป้าจะเอาไปไว้ทำบุญให้ลุงนะคะ ดูสิ ทำไมจ้ำใจงามกับคนยากจนแบบนี้จริง ๆ เลย ขอให้ร่ำ ๆ รวย ๆ นะคะคุณข้าว ถ้าพ่อคุณข้าวยังอยู่ก็คงจะดีใจมาก ๆ นะคะที่มีลูกดี ๆ แบบนี้)
“ป้าอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ ข้าวอยากจะช่วยป้าลิ่มให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ช่วงนี้ข้าวก็ต้องใช้จ่ายหลายอย่าง ไม่ต้องไหว้ข้าวหรอกค่ะ ข้าวอยากจะช่วยป้าลิ่มนะคะ”
เธอนั่งลงยกมือไหว้ป้าลิ่มตอบ เขมินท์ได้แต่มองภาพที่เขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้ คนที่เขาเฝ้าแต่จะคอยบ่นโน่นนี่ให้เธอไม่มีเว้น ทั้งในใจและออกมาทางวาจาในหลาย ๆ ครั้ง และตอนนี้คะแนนของเธอก็เพิ่มขึ้นมาเป็นหกสิบแล้ว
เขาอยากจะดึงเอามือเธอมากุมไว้เหมือนที่เคยทำมาแล้ว เมื่อเขาขับรถพาเธอกลับบ้าน แต่ก็ทำไม่ได้ แต๋นและป้าหวางนั่งรถมาด้วย เพราะเขาเห็นว่าไม่เหมาะจึงได้ให้ทั้งสองคนมาเป็นเพื่อน เพื่อกันข้อครหา เพราะลำพังในตอนนี้คนในหมู่บ้านก็พากันซุบซิบ ๆ แล้ว ว่าเขาอาจจะอินเลิฟกับเธอ แต่ไม่ยอมจะประกาศตัวแค่นั้น เพราะมีตัวเลือกอีกหลายคน เขาก็ไม่รู้จะแก้ข่าวยังไงกัน ก็ได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนลมพัดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแค่นั้น

เสียงรถมาจอดที่ลานบ้านในเวลาเที่ยงกว่า ๆ ขณะที่ภรัณยากำลังสรุปยอดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ลงแล็ปทอป เธอรีบลุกไปดูก็ยิ้มแป้นด้วยความดีใน ที่คุณลุงนำแม่ป้ามาส่งให้ถึงบ้านอีกแล้ว

“แม่ป้า ข้าวคิดถึงแม่ป้าจังเลย ไม่เห็นบอกข้าวเลยคะว่าจะมา ให้คุณลุงไปรับตั้งสองครั้งแล้วข้าวงอนแล้วนะคะ”
เธอต่อว่าแม่ป้า แต่ใบหน้านั้นยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที แล้วเขมก็ปล่อยให้สองป้าหลานอยู่ด้วยกัน แต่ก็กำชับว่าเย็นนี้จะมารับทั้งสองไปกินข้าวที่บ้าน และให้ไปแค่สองคนเท่านั้น ยกเว้นแต๋นที่จะต้องไปช่วยทำอาหารก่อนเธอด้วยซ้ำ โดยจะให้ไข่มารับไปก่อน
อาหารเย็นวันนี้เป็นไปอย่างฝืด ๆ แม่ป้าไม่ค่อยจะคุยสักเท่าไหร่ คุณลุงก็เช่นกัน ส่วนเขมินท์นั้น ยิ่งไม่พูดถ้าคุณลุงไม่ถามอะไร ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“หนูข้าว ลุงมีเรื่องจะบอก เจ้าน้ำด้วย” เขมเริ่มพูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงานกว่าหลาย ๆครั้งที่เธอเคยเห็นมา
“มีอะไรคะคุณลุง” เธอถาม ส่วนเขมินท์ไม่ถามได้แต่หันไปมองพ่อด้วยท่าทีที่ตั้งใจฟัง
“คือว่าลุง กับแม่ป้าของหนู มีข่าวดีจะมาบอก”
“ข่าวดีอะไรคะ จะยกที่นาให้ข้าวเลยโดยไม่ต้องทำปีที่สองเหรอคะ” เธอยังพูดเล่นบ้างตามนิสัย

“ไม่ใช่หรอกลูก คือว่าลุงกับแม่ป้าของหนู เราจะแต่งงานกัน ลุงก็เลยอยากจะบอกให้หนูและเจ้าน้ำรู้ก่อน ไม่รู้ทั้งสองคนจะเห็นเป็นยังไง จะขัดข้องอะไรมั้ย ถ้าใครไม่สะดวกใจหรือว่ามีคำถามอะไรก็ให้ถามออกมาตรง ๆ เราจะได้ไม่มีปัญหากันทีหลัง ลุงกับแม่ป้าเองก็ไม่อยากจะสร้างความไม่สบายใจให้กับลูกหลาน”
เขมบอกตามตรง และก็มองไปยังทั้งสองคนว่ามีปฏิกิริยิยังไงกับข่าวที่เขาบอกออกไป เขมินท์ไม่แสดงอะไรออกมาทางสีหน้า แต่ส่วนอีกคนนั้นอึ้งไปกับข่าวจนรู้สึกอิ่มและตื้อไปดื้อ ๆ

รถแล่นมาส่งสองป้าหลานที่บ้านแล้ว แต่ภรัณยาก็เหมือนไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เธอเดินขึ้นบ้านไปอย่างคนไม่รู้อะไรเลย จนมณฑาที่มองตามร่างหลานถึงกับถอนหายใจก่อนที่จะหันไปสบตากับเขม และส่งสัญญาณให้เขากลับบ้านไปก่อน ส่วนตัวเองก็เดินตามหลานเข้าไปในห้องนอนด้วยอาการเงียบสงบ และก็พบว่าหลานสาวเข้าไปอาบน้ำแล้ว

เวลาเกือบจะชั่วโมงภรัณยาถึงออกมาจากห้องน้ำได้ เธอก็ใช้เวลาอยู่กับกระจกนานกว่าที่เคยเป็นมา ปล่อยให้แม่ป้าเข้าไปอาบน้ำได้อย่างสบายใจ เพราะเธอเองก็รู้สึกโล่งไม่น้อยที่ได้อยู่ในห้องคนเดียวอย่างนี้ แต่พอแม่ป้ากลับออกมาเธอก็เอาที่นอนไปปูนอนข้าง ๆ เตียงแทน ไม่นอนบนเตียงกับแม่ป้าเหมือนเคย

“ยายข้าวมาคุยกับแม่ป้าก่อนสิลูก เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ” มณฑาเอ่ยปากคุยกับหลานก่อน
“ข้าวง่วงค่ะ เอาไว้คุยกันวันหลังนะคะ”
เธอบอกแค่นั้นแล้วก็เอาผ้าห่มคลุมโปงเอาไว้ จนผู้เป็นป้าต้องส่ายหน้าก่อนจะปิดไฟนอนตามหลานสาวไป

เขมเดินขึ้นบ้านมาก็พบกับลูกชายที่ยังคงนั่งอยู่ที่ระเบียง เขาเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ลูกชายอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี อันที่จริงเขาน่าจะปรึกษาลูกก่อน อาจจะได้คำแนะนำอะไรดี ๆ ก่อนจะทำอะไรลงไป แต่มันก็ผ่านมาแล้วเขาเองก็จนใจที่จะย้อนกลับไปแก้ไขมัน

“พ่อรักกับน้ามณฑามานานหรือยังครับ พ่อก็เพิ่งจะรู้จัก และสนิทกันแค่ไม่กี่เดือนนี่เอง หรือว่าพ่อกับน้ามณฑาจะ....”
เขาตัดสินใจเอ่ยปากถามพ่อก่อนในที่สุด เพราะรู้ว่าพ่อกำลังรอเขาอยู่
“ใช่พ่อยอมรับว่าตั้งแต่ที่แม่ของลูกตาย แล้วพ่อพาลูกย้ายมาอยู่ที่นี่ พ่อกับคุณมณก็ได้พบกันและแอบประทับใจกันและกันอยู่เงียบโดยไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย จะมีก็แค่น้าฑลกับน้านาดีเท่านั้น ความรักของพ่อและน้ามณฑาก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลาเกือบสามปีที่เราได้รู้จักกัน จนพ่อตัดสินขอเธอแต่งงานหลังจากที่น้าฑลตายไปได้ไม่นาน”
เขาเริ่มเล่าความจริงให้ลูกชายฟัง

“แล้วทำไมคุณพ่อไม่...เอ่อ...”
“ไม่ได้แต่งงานอย่างที่ตั้งใจเอาไว้” เขาต่อให้
“ครับ ทำไม”
“พ่อก็ไม่รู้หรอก อาจจะเป็นเพราะพ่อเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ดูซื่อ ๆ เซ่อ ๆ บ้านนอก ๆ ฐานะก็ยังไม่มั่นคงมาก หรืออาจจะเป็นเพราะพ่อมัวแต่คิดถึงความต้องการของตัวเองฝ่ายเดียว โดยที่ไม่ได้สนใจว่าคุณมณจะต้องการด้วยหรือเปล่า หรือไม่ก็ไม่มีความโรแมนติกมากพอมั้ง จะขอแต่งงานกับเขาก็อาจจะไม่ดูเวล่ำเวลา คุณมณเขาก็เลยปฏิเสธเอาง่าย ๆ พอพ่อกลับมาบ้านพ่อก็ตั้งใจเอาไว้เลยว่า พ่อจะไม่ยอมให้ลูกของพ่อต้องพบกับเหตุการณ์แบบนั้นอีกเด็ดขาด” เขาบอก

“คุณพ่อก็เลยส่งเสียให้ผมเรียนสูง ๆ สร้างฐานะการเงินทางบ้านให้มั่นคง ไว้ให้ผมใช่มั้ยครับ”
เขาเหมือนเข้าใจพ่อมากขึ้นกว่าเมื่อตอนที่อยู่โต๊ะอาหาร
“ใช่ พ่ออยากเห็นลูกเรียนจบด๊อกเตอร์ จบมาทำการทำงานเป็นผู้นำคนได้ดี บวกกับฐานะที่มั่นคงที่พ่อทำไว้ให้ ไม่ว่าลูกจะไปที่ไหน พ่ออยากจะเห็นผู้หญิงทุก ๆ คนอ้าแขนรับลูกของพ่ออย่างไม่ลังเล ลูกจะต้องเป็นที่หมายปองของผู้หญิงตั้งแต่ระดับชาวบ้านไปจนถึง ลูกคนมีอันจะกิน แต่ในขณะเดียวกัน พ่อก็ไม่ได้อยากจะให้ลูกของพ่อเจ้าชู้คบผู้หญิงไม่เลือกหน้าเหมือนกับ...”
“เหมือนกับนายอ่องใช่มั้ยครับ” เขาต่อให้พ่อ

“ใช่ และพ่อก็โชคดีที่ลูกของพ่อทำตามที่พ่อตั้งใจเอาไว้ โดยที่ลูกเองก็ไม่ขัดต่อความรู้สึกมากเกินไป แต่จริง ๆ แล้วเรื่องที่คุณมณปฏิเสธพ่อครั้งนั้นก็ไม่ใช่เพราะเหตุนี้หรอก แต่ด้วยความที่เธอห่วงหนูข้าวมาก จึงยอมตัดใจไปแต่งงานกับคนอื่นที่คุณมณมั่นใจว่าเขาจะดูแลหนูข้าวได้โดยไม่มีปัญหาอะไร เพราะถ้าขืนแต่งงานกับพ่อคราวนั้น เราสองคนอาจจะเลิกกันไปแล้วก็เป็นได้ เพราะเราสองคนต่างก็ยังไม่พร้อม และก็เรียกได้ว่ามีเรือพ่วงกันทั้งคู่

เธอจึงยอมตัดใจและไม่ติดต่อมาหาพ่ออีกเลยจนกระทั่งมีเรื่องที่นาของน้าฑลเข้ามาเกี่ยวข้องนี่ล่ะ ที่ทำให้เธอตัดสินใจกลับมาที่นี่อีกครั้ง ทีนี้น้ำเข้าใจพ่อแล้วใช่มั้ยลูก ว่าการที่เรารักใครสักคน และรอเขามานานมาก ๆ มันเป็นยังไง เมื่อเราสองคนพร้อมแล้ว พ่อก็อยากจะใช้ชีวิตกับเธอในบั้นปลายให้มีความสุข น้ำให้พ่อได้มั้ย” เขาถามลูกในที่สุด

“ผมหนะไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่คุณหนูข้าวของคุณพ่อสิไม่รู้จะว่ายังไง หน้างอกลับไปแบบนั้น ป่านนี้คงจะน้อยใจร้องไห้จนขี้มูกโป่งไปแล้วมั้ง” เขาอดห่วงความรู้สึกของเธอไม่ได้
“เฮ้อ พ่อก็รอฟังข่าวจากคุณมณอยู่นี่ล่ะ แต่เงียบไปแล้วคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
เขาบอกและตบบ่าลูกชายก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไป

มณฑาตื่นมาก็ไม่เห็นหลานสาวอยู่ในห้องแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอจึงออกมาจากห้องก็ไม่พบหลานรักเลย เห็นแต่แต๋นที่กำลังจัดข้าวของสำหรับไปตักบาตรอยู่
“แต๋นคุณข้าวไปไหนล่ะ”
“ไม่รู้ค่ะ เห็นออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า ๆ แล้วนะคะ บอกว่าไม่ต้องให้แต๋นตามไปเดี๋ยวจะกลับมาเอง” แต๋นตอบตามตรง
“ยายข้าว ไปไหนล่ะนี่ ว๊ายจะคิดสั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตาย ๆ ๆ”
มณฑารีบกดโทรศัพท์มือถือไปหาหลานก็พบว่ามือถือยังอยู่ที่บ้าน แล้วมณฑาก็กดโทรศัพท์ไปที่บ้านเขม เพราะไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครดี ไม่นานทั้งสองบ้านก็ต้องวุ่นเพราะมณฑาคิดไปถึงเรื่องร้าย ๆ ที่จะเกิดกับหลานรักจนเขมต้องนั่งปลอบใจอยู่อย่างนั้น

เขมินท์ถึงกับยิ้มออกเมื่อเห็นรถของเธอจอดอยู่ใต้ต้นจามจุรี แต่เขาก็อดคิดไปถึงเรื่องน้ำในคลองไม่ได้ เธออาจจะไม่คิดสั้นหรอก แต่ด้วยความไม่ระวังอาจจะตกลงไปแล้วก็ขึ้นมาไม่ได้ ทำให้เท้าของเขาต้องรีบออกวิ่งไปยังสะพานเร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาพยายามหาร่องรอยต่าง ๆ แต่ก็ไม่มี เขามองไปรอบ ๆ นาก็มีแต่ข้าวที่เหลืองอร่ามเต็มไปหมด แต่ไม่มีแม้แต่เงาของเธอเลย

เขาวิ่งไปดูตามคันนา ตามมุมต่าง ๆ แต่ก็ว่างเปล่า เขาก็กลับมานั่งที่เถียงนาด้วยความเหนื่อยและกลัว ๆ ว่าจะไม่ได้เห็นเธออีก แล้วเขาก็เหมือนได้ยินเสียงคนสืบน้ำมูกอยู่ใกล้ ๆ ใกล้เขามาก ๆ เขาเริ่มเดินสำรวจดูใต้เถียงนา ก็ไม่มี แล้วเขาก็เดินเข้าไปดูในห้องที่มีฝากั้นเอาไว้สำหรับลุงคำเวลานอน

ร่างเล็ก ๆ นั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้อง โดยไม่ได้สนใจการมาของเขาเลย น้ำตาแห่งความเสียใจ ความกลัว และอะไรต่อมิอะไรมันไหลออกมาแทบไม่หยุด เขากดโทรศัพท์ไปหาพ่อก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เธอ เพราะเข้าใจความรู้สึกของเธอในเวลานี้ดีทีเดียว
“คุณมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม ผมกับคนที่บ้านตามหาแทบแย่แล้วรู้มั้ย ไหนหันหน้ามานี่ซิร้องไห้ขี้แยอีกแล้ว”
เขาค่อย ๆ เอามือไปเชยคางเธอขึ้นมา แล้วก็ใช้มือเช็ดน้ำตาออกจากพวงแก้มด้วยความแผ่วเบา

“ฮื่อ ๆ ๆ ฉันกลัว คุณเข้าใจมั้ยว่าฉันกลัว อีกหน่อยแม่ป้าก็จะหนีฉันไปเหมือนคุณพ่อหนีคุณปู่กับคุณย่ามาอยู่ที่นี่ ถ้าฉันกลับไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว แม่ป้าก็จะต้องอยู่ที่นี่กับคุณลุง แล้วเราก็จะห่างกันออกไปเรื่อย ๆ ฉันก็จะไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิตของฉัน คุณเข้าใจมั้ย ฉันไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่เคยแม้แต่จะเห็นท่านสักครั้งเดียว ตั้งแต่เกิดมาและจำความได้ก็พบแต่แม่ป้าคนเดียว แม่ป้าเป็นยิ่งกว่าพ่อกับแม่ของฉันอีก

ฉันจะทำยังไงดี ฉันไม่น่าอยากจะมาที่นี่เลย ไม่น่าอยากจะเอาชนะนายเจตน์ ฉันน่าจะยอมทำงานที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็แต่งงานกับคนรวย ๆ ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย จะได้ไม่ต้องมาที่นี่ และให้แม่ป้าพบกับคุณลุง ฉันไม่ยอมคุณได้ยินมั้ยว่าฉันไม่ยอมให้แม่ป้าจากฉันไปอีก ฮื่อ ๆ ๆ”
เธอบอกและร้องไห้ฮือออกมาแล้วก็ซบลงไปที่อกของเขา วงแขนแข็งแรงโอบเอาร่างเธอไว้ มือหนานุ่มลูบไปที่ศีรษะเธอเบา ๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ

“เฮ้อ แม่คุณ ไอ้เหตุผลที่ว่ามาทั้งหมดนี่ ก็พอจะเข้าใจและเห็นด้วยกับบางข้อหรอกนะ ยกเว้นเรื่องที่แม่คุณจะไปแต่งงานกับคนรวย ๆ นี่ล่ะ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เอ๊ะ แต่ถ้าคน ๆ นั้นเป็นเราล่ะ อืม ไอ้น้ำสละโสดเหรอ ว๊า ยัง ๆ ๆ” เขาคิดเล่น ๆ

“ข้าวคุณฟังผมนะ คนเราจะต้องมีวิถีชีวิตของใครของมัน ถ้าวันนี้แม่ป้าของคุณไม่แต่งงานกับคุณพ่อ แต่ตั้งใจจะอยู่กับคุณไปจนแก่เฒ่า แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งคุณเกิดพบใครสักคน และอยากจะไปใช้ชีวิตอยู่กับเขา แล้วแม่ป้าเกิดทำแบบเดียวกับคุณตอนนี้ แล้วคุณจะทำยังไง คุณจะเลือกใครดีระหว่างแม่ป้ากับคนที่คุณรัก

ผมเองก็เพิ่งรู้จากคุณพ่อเมื่อคืนนี้เอง ว่าท่านทั้งสองรักกันมาตั้งแต่เรายังเด็ก ๆ แต่แม่ป้าคุณก็เคยปฏิเสธที่จะแต่งงานกับคุณพ่อมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะต้องการจะเลี้ยงคุณให้โตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี ๆ ไม่มีปมด้อย ท่านยอมเสียสละให้คุณมากนะรู้มั้ย คุณเคยรักใครสักคนมั้ย การที่เรารักใครสักคนแล้วต้องจากเขาไปเป็นเวลายี่สิบกว่าปีนี่ คุณคิดว่ามันจะทรมานแค่ไหน

ผมเองก็ตกใจไม่แพ้คุณหรอกตอนที่รู้ แต่พอผมมาคิดดูอีกที อีกหน่อยผมก็จะต้องไปมีใครสักคน แล้วก็ปล่อยให้คุณพ่อนั่งเหงาอยู่คนเดียว มันดูจะไม่ยุติธรรมสำหรับท่านเลย คุณอย่าคิดมากเลยนะ กลับไปบอกแม่ป้า และไปยินดีกับท่านทั้งสองดีกว่า แม่ป้าห่วงคุณมาก ร้องไห้มาตั้งแต่เช้าแล้วนะ คุณจะทำให้คนที่ทำอะไรเพื่อคุณมาตั้งนานต้องเสียใจเหรอ”
เขาให้แง่คิดขณะที่ยังคงโอบร่างเธอเอาไว้ จนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งที่นั่งคิดไปตามเขาพลอยได้คิดไปด้วย

“แล้วคุณคิดว่าแม่ป้าจะรักฉันน้อยลงไปมั้ย ถ้าไปแต่งงานกับคุณลุงแล้ว” เธออดกลัวไม่ได้
“มันยิ่งจะทำให้ท่านรักคุณเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้หน่ะสิ ท่านไม่มีลูกที่ไหนนะ ท่านก็มีแต่คุณคนเดียว เชื่อผมเถอะอย่าทำแบบนี้เลย เราจะได้บาปนะที่ทำให้ผู้มีพระคุณต้องน้ำตาตก คนอีสานเขาถือ ใครทำให้พ่อแม่เสียน้ำตาคนนั้นถือว่าเป็นคนบาป ตายไปจะต้องเป็นเปรตตัวยาว ๆ แขนยาว ๆ ขายาว ๆ หาเสื้อผ้าใส่ก็ไม่ได้ เพราะยังไม่มีแบรนด์ไหน ดีไซด์เอาไว้เพื่อรองรับความต้องการของเปรตเลย” กับคำปลอบใจของเขาทำให้เธอต้องหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาจนได้

“คนบ้า ใครจะไปตัดเสื้อผ้าไว้ให้เปรตใส่กันล่ะ”
เธอดึงร่างตัวเองออกไปจากอ้อมแขนของเขา แล้วก็เอากำปั้นทุบไปที่ไหล่ของเขาแทน เพราะโมโหที่ตัวเองกำลังโศกเศร้าอยู่แท้ ๆ แต่เขากลับมาทำให้เสียเรื่อง
“กลับบ้านกันเถอะนะอย่ามานั่งอยู่ตรงนี้เลย มันไม่ดีหรอกและคุณจะไม่ปลอดภัยด้วย” เขาทำหน้าอ้อนวอนเธอ
“ทำไมล่ะนี่มันที่นาของฉันใครจะมาทำอะไร” เธอบอกด้วยความมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง

“คุณจำวันที่เราอยู่ในน้ำด้วยกันได้มั้ย” เขาถามด้วยแววตาที่หวานฉ่ำ
“ทำไม” แต่แววตาของเธอนั้งแข็งกร้าวและจ้องเขาเขม็งเลยทีเดียว
“ก็ผมกลัวว่าผมจะ...เอ่อ...”
“บ้า” ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ เธอก็รีบวิ่งหนีเขาออกไปจากเถียงนาและตรงไปยังรถทันที
“เฮ้อ วิธีนี้ได้ผลดีแฮะ” เขาลุกขึ้นแล้วก็ยิ้มตามหลังเธอไป

“ข้าวกราบขอโทษแม่ป้าค่ะ ที่ทำให้แม่ป้าร้องไห้ ยกโทษให้ข้าวด้วยนะคะ ข้าวรักแม่ป้าค่ะ ข้าวจะไม่ทำให้แม่ป้าเสียใจอีกต่อไปแล้ว แม่ป้าอยากจะทำอะไร อยากจะได้อะไรข้าวจะทำให้แม่ป้าทุกอย่างค่ะ”
เธอก้มลงกราบที่ตักแม่ป้าด้วยความรู้สึกสำนึกผิดจนทำให้มณฑาน้ำตาไหลออกมาด้วยความเอ็นดูหลานรักเป็นที่สุด
“ยายข้าวหลานรักของแม่ป้า”
มณฑากอดเธอไว้ด้วยความรัก จนทำให้เขม และเขมินท์ถึงกับซาบซึ้งไปตาม ๆ กัน ส่วนแต๋นและป้าหวางนั้นน้ำตาร่วงไปนานแล้ว







Create Date : 27 ตุลาคม 2551
Last Update : 27 ตุลาคม 2551 15:56:51 น. 0 comments
Counter : 334 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.