Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
7 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
ร้อยรวงใจ ๒๗ (ธัญรัตน์)




ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับลุงคำถูกขนขึ้นหลังรถปิ๊กอัพอย่างเชื่องช้า หลาย ๆ คนในบ้านพากันพร้อมใจเก็บปากเก็บคำไม่ยอมปริปากพูดออกมาเลย เพราะข่าวที่ได้รับจากจ่อยทางจดหมาย แทนการโทรศัพท์มาเหมือนทุก ๆ ครั้ง โดยที่เนื้อความในจดหมายนั้นไม่ได้เขียนอะไรมาก นอกจากจะบอกว่าได้งานใหม่ที่ได้เงินเดือนดีกว่าที่เก่ามาก จ่อยจึงไม่อยากจะลางานเพื่อมาช่วยทำนา เพราะไม่อยากเสียโอกาสดี ๆ ไป

ภรัณยาฟังแล้วก็แค่รู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะหวังพึ่งแรงของจ่อยเอาไว้มาก ด้วยบ้านทั้งบ้านมีลุงคำเป็นหัวแรงอยู่แค่คนเดียว แต่เธอก็เข้าใจดีว่าจ่อยก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีเอาไว้ก่อน ครั้นจะให้เธอเสนอเงินเดือนให้มาก ๆ เธอก็ไม่อาจจะทำได้ ถ้าให้จ่ายให้เฉพาะช่วงที่ต้องทำนาเธอก็อาจจะให้ได้ แต่พอหมดหน้านา หรือหมดงานที่นาแล้ว เธอก็คงไม่สามารถที่จะจ่ายเงินเดือนให้ได้ตลอดไป ซึ่งข้อนี้เธอเข้าใจดี

แต่ลุงคำกับป้าหวางนั้น ค่อนข้างจะผิดหวังกับลูกชายไม่น้อย ที่นอกจากจะไม่มาช่วยแล้ว ยังทิ้งเมียเอาไว้ให้เป็นภาระอีก ซึ่งท้องก็แก่ใกล้คลอดเต็มที ลุงคำบอกว่ามีลูกแค่คนเดียวก็ไม่เชื่อฟังคำบอก จะทำอะไรก็ไม่ยอมปรึกษาพ่อแม่ก่อน แล้วแกก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ได้แต่เก็บข้าวของ เพราะต้องปลีกตัวไปนอนที่เถียงนา เพื่อเฝ้าข้าวของที่จะต้องเตรียมไปไว้สำหรับลงนาในอีกสองสามวันที่จะถึงนี้

ป้าหวางเองก็คงจะน้อยใจลูกชายไม่ต่างจากลุงคำนัก เพราะบ่นเป็นกระบุงโกยมาตั้งแต่ได้ข่าว แต่ในที่สุดป้าหวางก็เงียบ เพราะหาประโยชน์ที่จะบ่นไม่ได้ และแกเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดมากสักเท่าไหร่ แกได้แต่ช่วยลุงคำหอบข้าวของลงจากรถ เมื่อภรัณยานำรถเข้าไปจอดไว้

“เราต้องเอาข้าวไปแช่น้ำไว้ใช่มั้ยคะลุงคำ”
เธอถาม เมื่อเห็นไข่ขับรถไถที่มีอุปกรณ์พ่วง ที่บรรทุกพันธุ์ข้าวลงมาในนา ซึ่งเธอก็รู้ดีว่าจะต้องนำพันธุ์ข้าวพวกนั้นมาแช่น้ำไว้ ๒๔ ชั่วโมง แล้วก็เอาขึ้นจากน้ำทิ้งไว้อีก ๒ วัน จึงจะเอามาหว่านได้ เธอและคนอื่น ๆ จะต้องช่วยกันนำพันธุ์ข้าวที่บรรจุในถุงปุ๋ยไปแช่น้ำถึงวันละ ๔๐ ถุง และวันต่อไปก็จะต้อง นำอีก ๔๐ ถุง ไปแช่น้ำ และจะต้องนำ ๔๐ ถุง ที่แช่น้ำเอาไว้ขึ้นให้ก็เก็บไว้ให้เมล็ดข้าวงอกออกมา เธอจะต้องทำแบบนี้จนกว่าจะหว่านจนเต็มที่นา

“แมนคับ”
ลุงคำรับแค่นั้น แล้วก็นั่งหน้าเศร้าอยู่ที่เถียงนาโดยไม่หันไปมองป้าหวางที่กำลังจัดข้าวของให้แกเลย ซึ่งทำให้เธอไม่สบายใจมาก ๆ ที่เห็นลุงคำซึมแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้จะปลอบใจยังไงดี
“คุณแต๋นเราไปช่วยกันขนกระสอบข้าวลงไปแช่น้ำกันดีกว่านะ ปล่อยให้ป้าหวางกับลุงคำคุยกันไปก่อน”
เธอเดินไปหาแต๋นที่มองไข่ขนข้าวลงจากรถพ่วง
“จะไหวเหรอคะคุณข้าว มันหนักนะ แต๋นว่ารอให้พี่ไข่ขนมาเสร็จแล้วค่อยช่วยกันดีกว่าค่ะ” แต๋นห่วงเจ้านาย

“ไม่เป็นไรหรอก ช่วย ๆ กันจะได้เสร็จเร็ว ๆ ไง ไปเถอะฉันสงสารลุงคำกับป้าหวาง ให้แกนั่งพักก่อนดีกว่า”
เธอบอกแล้วก็ตรงไปหาไข่แล้วก็ทำท่าจะไปลากเอาถุงข้าวเปลือก แต่ลากยังไงเจ้าถุงมันก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
“มันหนักเด้อคับคุณเข่า เอาไว่ไห่ผมเฮ็ดไห่กะได้” (มันหนักนะคุณข้าว เอาไว้ให้ผมทำให้ก็ได้)
ไข่บอกแล้วก็ออกรถกลับไปขนกระสอบข้าวจากยุ้งบ้านเขมินท์มาอีก
“คุณเข่าบ่ต้องเฮ็ดดอกคับไห่ลุงเฮ็ดกะพอคับ” (คุณข้าวไม่ต้องทำหรอกครับ ให้ลุงทำก็พอ)
ลุงคำเดินลงมาแล้วก็แบกกระสอบปุ๋ยขึ้นบ่นบ่าแล้วก็นำไปทิ้งลงแอ่งน้ำใกล้ ๆ

“เราก็ต้องช่วยกันนะคะ จะได้เสร็จไว ๆ คุณแต๋นมาช่วยฉันยกคนละฝั่ง ยกคนเดียวไม่ได้ก็ยกสองคนสิ”
เธอบอกแล้วก็ลุกไปหากองกระสอบปุ๋ยอย่างคนไม่ยอมแพ้
“เอางั้นเหรอคะคุณข้าว แต๋นหน่ะสบาย ๆ ค่ะ แต่คุณข้าวนะคะจะไหวเหรอ”
แต๋นเดินมา แล้วทั้งสองก็ช่วยกันยกกระสอบปุ๋ยแล้วก็เดินไปโยนลงแอ่งน้ำได้สำเร็จ

“ฮ่า เป็นไง ในที่สุดเราก็ทำได้แล้ว”
เธอบอกด้วยความดีใจ แต่ก็ยืนหอบแฮ็ก ๆ อยู่หลายที ก่อนที่จะกลับไปยกอีกกระสอบ แล้วก็อีกกระสอบ อีกกระสอบ และเธอก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไม ลุงคำกับป้าหวางถึงได้เสียใจที่จ่อยไม่ยอมออกจากงานมาช่วยก่อน ก็มันหนักอย่างนี้นี่เอง ลุงกับป้าคงจะกลัวทำไม่ไหวเพราะอายุมากแล้ว จะสังเกตเห็นได้จากทั้งสองนั่งหอบแฮ็ก ๆ เมื่อขนกระสอบข้าวไปได้คนละไม่กี่เที่ยว และมันก็ไม่ต่างจากเธอและแต๋นสักเท่าไหร่นัก

“เฮ้อ ทำนามันยุ่งอย่างนี้นี่เอง” เธอได้แต่คิดในใจ ไข่กลับมาอีกรอบแล้ว แต่ทุกคนยังคงนั่งหอบอยู่อย่างนั้น
“ผมบอกแล่ววามันหนักบอกไห่ถ่ากะบ่เอา” ไข่เดินลงมาจากรถ แล้วก็แบกกระสอบไปทิ้งลงน้ำอย่างง่ายดาย แล้วก็หันไปยิ้มให้แต๋นด้วยใบหน้าที่เอียงอาย ก่อนที่จะแบกกระสอบต่อไป ภรัณยาเริ่มมีแรงก็เดินไปช่วยไข่โดยที่แต๋นก็ตามไปด้วย

กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาตีสี่ แต่เจ้าของร่างที่นอนขดอยู่กับผ้าห่มยังคงไม่ใส่ใจกับมัน เพราะเป็นเวลาที่กำลังหลับสบายที่สุด กับไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ช่วยเพิ่มความสบายในการนอนได้มากทีเดียว
กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
หญิงสาวคว้ามือมากดให้มันหยุด
“โฮ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
เจ้าไข่ตุ๋นร่วมปลุกเธออีกแรง แต่เธอก็คว้าเอาผ้าห่มมาคลุมหัวแล้วก็ขดตัวอยู่ในผ้าห่มโดยไม่ได้สนใจอะไร
“คุณข้าวคะ ๆ คุณข้าว ๆ ตีสี่กว่า ๆ แล้วนะคะ เร็วเถอะค่ะ” เสียงแต๋นร้องเรียกอยู่หน้าห้อง
“โฮ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
เจ้าไข่ตุ๋นขานรับแทน

“คุณข้าวคะ ๆ คุณข้าว ๆ ตีสี่กว่า ๆ แล้วนะคะ ตื่นมาอาบน้ำค่ะ แต๋นต้องไปช่วยป้าหวางจัดข้าวของใส่รถนะคะ”
แต๋นเคาะประตูอีกครั้ง และก็ดังกว่าเดิมอีก จนทำให้เธอต้องกัดฟันโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มด้วยความยากลำบาก
“เฮ้อ ๆ ๆ ๆ ทำไมฉันจะต้องตื่นแต่เช้าขนาดนี้ด้วยนะ ทำไมคุณพ่อถึงให้ฉันมาทำนาด้วยนะ”
เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินโซเซไปเปิดประตูห้อง แล้วก็เห็นแต๋นที่อยู่ในชุดเตรียมพร้อมที่จะออกศึกแล้ว
“ตีสี่กว่า ๆ แล้วค่ะ ไปอาบน้ำแล้วก็ตามแต๋นลงไปข้างล่างเลยนะคะ แต๋นจะไปจัดของก่อน”
แต๋นบอกแล้วก็รีบเผ่นออกไปจากหน้าห้อง เพราะรู้ดีว่าเจ้านายอารมณ์บ่จอย ด้วยถูกขัดจังหวะในการนอน

ภรัณยาเดินเข้าห้องน้ำ และก็รีบอาบน้ำโดยไม่รอช้า เพราะตาเริ่มสว่างแล้ว แต่การที่จะลืมตามาแล้วทำให้มันสว่างตอนแรก ๆ นั้น มันช่างทรมานสำหรับเธอจริง ๆ เลย ทำงานที่กรุงเทพฯ ตื่นหกโมงว่าเช้าแล้ว แต่ที่นี่ยังต้องตื่นเช้ากว่าอีก ครีมกันแดดถูกประโคมไปแทบจะทั่วตัวก็ว่าได้ เพราะเธอกลัวที่สุดก็คือผิวดำนั่นเอง

รถปิ๊กอัพถูกนำเข้ามาจอดในเวลาตีสี่สี่สิบ ไฟฟ้าที่เถียงนาของเขมินท์ถูกเปิดสว่างเอาไว้ รถปิ๊กอัพอีกคันของเขาจอดอยู่ก่อนแล้ว และเสียงรถไถนาก็ดังสนั่นคับทุ่งแล้ว แปลว่าเขามาถึงก่อนเธออีกตามเคย แต๋นและป้าหวางช่วยกันขนข้าวของที่ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องทำอาหารลงจากรถ โดยมีนางเมียของจ่อยที่อุ้มท้องโย้ตามมาช่วยด้วย

“นางไม่ต้องเดี๋ยวฉันจะยกเอง อยู่เฉย ๆ ดีกว่า” เธอบอกเมื่อเห็นนางกำลังจะไปยกกระติกน้ำใบใหญ่
“บ่เป๋นหยังดอกจ้าคุณเข่า ซำนี่นางเฮ็ดได้” นางบอกแล้วก็ยกกระติกลงจากรถอย่างง่ายดาย ทำให้เธอนั้นถึงกับตาค้าง และก็ให้สงสัยนักว่าทำไมนางถึงได้แข็งแรงขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ท้องนั้นโตเต็มที (ไม่เป็นไรค่ะคุณข้าว แค่นี้นางทำได้)
“ไปกันเถอะค่ะคุณข้าว เดี๋ยวแต๋นจะรีบกลับมาเตรียมอาหารเช้า ให้นางดูอยู่ทางนี้ไปพลาง ๆ ก่อน”
แต๋นบอกขณะที่ตัวเองถือกระติกน้ำร้อน และถุงขนมอยู่ในมือ ส่วนป้าหวางพอเอาข้าวของลงเสร็จก็หิ้วกระติกน้ำที่ด้านในนั้นมีน้ำแข็งก้อนโตเดินตรงไปยังสะพาน เพื่อข้ามไปที่เถียงนาอีกฟาก ที่มีลุงคำนอนเฝ้าข้าวของมาสามวันแล้ว

“ดูสิคะเราว่าเรามาเช้าแล้ว ยังมาช้ากว่าคุณน้ำอีก พี่ไข่คงกำลังไถนาอยู่เหมือนกัน ขยันกันจริง ๆ เลยหนุ่มบ้านนี้”
“พี่ไข่เต็มปากเต็มคำเชียวนะคะคุณแต๋น นี่ถามจริง ๆ เหอะปิ๊งเขารึไงกัน เห็นส่งตาหวานใส่กันเรื่อยเลย” เธออดแหย่ไม่ได้ เมื่อพักหลัง ๆ นี้มักจะเห็นแต๋นพูดถึงพี่ไข่บ่อย ๆ มากกว่าพูดถึงพี่น้ำสุดหล่อเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“โธ่คุณข้าวก็” แต๋นทำเสียงออดอ้อน แต่ก็อายเต็มที เมื่อถูกเจ้านายไล่ต้อน
“อ้าว ลุงคำไปไหนแล้วคะป้าหวาง” เธอถามหาเมื่อมาถึงเถียงนาแล้วไม่พบลุงคำแล้ว

“พู้นเลาแบกจกยางเลาะยูนำคันนา เบิงน้ำเบิงในยูทางพู่นจ้า” (โน่นแบกจอบเดินเลาะตามคันนาดูน้ำท่าอยู่โน่นจ้า)
ป้าหวางบอก แล้วเธอก็พยายามมองตามออกไป แต่ก็เห็นแต่เงาตะคุ่ม ๆ อยู่แค่นั้น เพราะยังมืดอยู่มาก
“คุณข้าวคะนี่ค่ะกาแฟ ของคุณข้าวและก็ของคุณน้ำยกไปให้แกด้วยนะคะ แล้วก็นี่ครัวซองท์ค่ะ”
แต๋นส่งถาดให้เธอเหมือนเดิม เธอรับมาแต่โดยดีแล้วก็เดินลงไปตามคันนา
“อือ ของคุณ”
เธอยื่นกาแฟให้เขาที่ยืนเฝ้าดูลูกน้องไถนาอยู่อย่างขมักเขม้น นี่ถ้ารถไถนาไม่เปิดไฟเธอก็คงไม่รู้หรอกว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น

“ขอบคุณครับ...เฮ้อ...วันนี้ได้กินดี ๆ โดยไม่ต้องมีคนบ่นเหมือนครั้งก่อน โอ้โห มีครัวซองท์ด้วย ช่างได้บรรยากาศท้องนาจริง ๆ เลยนะ ถ้าไม่บอกว่าผมอยู่หนองคายนี่ ผมจะเผลอคิดว่าเรากำลังอยู่ในท้องทุ่งที่ฝรั่งเศสเลยนะเนี๊ยะ”
เขารับแก้วกาแฟมา แต่ก็ไม่วายปากดีแหย่เธอจนได้ ไม่รู้เป็นอะไรสิน่า พอเจอเธอทีไรทำให้เขาอดใจไม่อยู่จริง ๆ ที่จะยั่วให้เธอโมโห ประหนึ่งว่าเขาจะชอบดูเวลาที่เห็นจมูกโด่ง ๆ ของเธอย่นใส่เขา
“นี่คุณ เช้า ๆ แบบนี้ หัดพูดอะไรที่มันไม่ยั่วโมโหฉันเป็นมั้ย”
เธอตาขึงใส่เขาจนได้ แต่ตัวเองก็จิบกาแฟของไปด้วย แล้วก็มีครัวซองท์ตัวเขื่องตามลงไปติด ๆ

“ก็คุณเอาแต่กาแฟมาให้ผมทุกครั้ง มันก็ทำให้ผมลืมตัวหน่ะสิ”
เขาบอกขณะที่จิบกาแฟและกัดครัวซองท์เข้าปากอย่างอร่อย
“งั้นพรุ่งนี้ฉันจะปั้นข้าวเหนียวกับน้ำพริกมาให้คุณแทนก็แล้วกัน จะได้เข้ากับบรรยากาศท้องทุ่งของคุณ แล้วนี่ก็เอากลับคืนมา ไม่ต้องกินมันหรอก ยั่วโมโหดีนัก” เธอว่าแล้วก็ทำท่าจะแย่งกาแฟมาจากเขา
“เสียใจด้วยครับมันหมดแล้ว เอ้า เอาแก้วคืนไป” เขาส่งแก้วให้เธอถือเอาไว้ แล้วก็เดินหนีไป
“คุณจะไปไหน” เธอร้องถามตามหลัง โดยที่แก้วกาแฟยังอยู่ในมือทั้งสองข้าง

“ผมก็จะไปเอาข้าวเทใส่ถังหน่ะสิ คุณก็กินเร็ว ๆ เข้าจะลงหว่านแล้วนะ วันนี้เราจะต้องหว่านให้ได้อย่างน้อย ๆ ๖๐ ไร่”
เขาร้องกลับมาบอก ทำให้เธอต้องรีบยกแก้วกาแฟซดพร้อม ๆ กับครัวซองท์อย่างเร็ว เพราะมองเห็นป้าหวางกับแต๋นเดินลงมา สบทบแล้ว ข้าวเปลือกที่แช่น้ำและถูกแยกพักเอาไว้ถูกยกมาเรียงไว้ตามคันนาไม่น้อยกว่าสี่สิบถุง ลุงคำเดินอ้อมตามคันนาเพื่อดูระดับน้ำที่แกระบายออกไว้ตั้งแต่มืด ว่าได้ที่พร้อมที่จะหว่านข้าวได้หรือยัง เมื่อดูว่าทุกอย่างได้ที่แล้ว ทุกคนก็พร้อมลุย แต่ก็มีคนที่ไม่พร้อมอยู่แค่คนเดียว ซึ่งมัวแต่เก้ ๆ กัง ๆ อยู่คันนาอย่างนั้น

“นี่คุณพับขากางเกงขึ้นสิ เดี๋ยวโดนโคลนแล้วยกขาไม่ขึ้นผมไม่ช่วยขุดนะ”
เขาบอกเมื่อเห็นเธอจะพากางเกงยีนส์ลงไปย่ำในโคลนอย่างนั้น
“ก็ฉันกลัวขาดำนี่ แล้วฉันใส่รองเท้าบูทไม่ได้เหรอ เดี๋ยวเล็บดำหมดพอดี ดูสิโคลนเต็มไปหมดเลย” เธอหันมาว่าเขา
“เฮ้อ คุณหนูเข่า นี่รีบ ๆ พับขากางเกงเร็ว ๆ เข้า พับไปให้ถึงเข่าแบบผมนี่ แล้วก็รีบ ๆ ลงได้แล้ว เห็นมั้ยคนอื่น ๆ เขาหว่านรุดหน้าไปถึงไหน ๆ แล้ว และนี่ก็เอ้าใส่เข้าไปเดี๋ยวโดนข้าวเปลือกบาดมือเป็นแผลหมดพอดี”
เขาบอกและก็ยื่นถุงมือยางมาให้เธอข้างหนึ่ง ส่วนตัวเองนั้นไม่ต้อง

“อี๊ โคลนเต็มไปหมดเลย เฮ้อ ทำไมฉันจะต้องมาทำนาด้วยนะ คุณพ่อนะคุณพ่อ จะให้ที่นาลูกทั้งทีให้เฉย ๆ ก็ไม่ได้ คุณพ่อจะรู้มั้ยว่าลูกเหนื่อย ฮื่อ ๆ ๆ” เธอบ่นยุกยิก ๆ เมื่อเท้าย่ำลงไปในโคลน ทำให้เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ กับคำพูดของเธอ
“แล้วก็สะพายถังไปด้วย” เขายกถังข้าวแล้วก็คล้องไปที่บ่าของเธอ
“โอ๊ย เบา ๆ สิมันหนักนะ” เธอโอดครวญ
“อย่าบนนะจะเอามั้ยที่นาสามร้อยไร่ ถ้าเอาก็หว่านตามผมมาเร็วเข้า” เขาบอกแล้วก็หว่านนำหน้าเธอไป

“ฮื่อ ๆ ทำไมมันแฉะ ๆ เหนอะหนะ ๆ แบบนี้นะ เดินก็ลำบากด้วย”
เธอบ่นแต่ก็หว่านข้าวไปตามหน้างานของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก้าวแต่ละก้าวนั้นยากลำบากกว่าตอนที่หว่านถั่วเขียวเป็นไหน ๆ แต่เธอก็ต้องพยายามหว่านให้ทันคนอื่น ๆ ที่นำหน้าไปไกลแล้ว เสียงรถไถก็ยังคงดังสนั่นลั่นทุ่งอยู่อย่างนั้น วันนี้รถไถนาเล็กถูกนำมาใช้งานสองคัน และรถไถใหญ่อีกคันหนึ่ง เธอสังเกตเห็นว่าทำไมรถไถนาถึงไถได้ไวกว่าตอนที่ปลูกถั่วเขียวมากนัก เพราะหว่านแปลงที่เธออยู่ยังไม่เสร็จเลย แต่แปลงต่อไปก็พร้อมหว่านแล้ว

“เราใช้จอบหมุนหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า โรตารี่ มันถึงได้เร็วไง เห็นมั้ยว่าทำนาไม่ได้ยากอย่างที่คุณคิดเลย เครื่องทุ่นแรงมีมากมายให้เลือกใช้” เขาให้ความกระจ่างโดยที่เธอไม่ต้องถาม เพราะเขาเห็นเธอยืนมองอยู่นานแล้ว
“ใครถามกัน” เธอย่นจมูกใส่เขา แล้วก็หว่านต่อไป “เฮ้อ...” เขาถอนหายใจ
“เดี๋ยวแต๋นจะไปช่วยนางเตรียมอาหารก่อนนะคะคุณข้าว”
แต๋นบอกเมื่อเวลาเจ็ดโมงแล้ว เพราะหน้าที่หลักของแต๋นที่ป้าหวางมอบหมายให้ก็คือแม่ครัว แต่ดีหน่อยที่มีนางคอยเตรียมไว้ให้ก่อน

“ทำอร่อย ๆ นะคุณแต๋น และห้ามลืมกับข้าวฉันด้วย ถ้าลืมทำให้ ฉันก็จะลืมจ่ายเงินเดือนด้วยเหมือนกัน”
เธอร้องบอกแล้วก็ยิ้มให้แต๋นอย่างเริงรื่น
“เจ้าค่ะคุณหนูเข่า” แต๋นหันมาย่อเข่ารับแล้วก็วิ่งหายไปตามชายคลอง
เวลาผ่านไปอีกชั่วโมงครึ่งภรัณยายืนหันซ้ายแลขวาเพื่อหาที่นั่งพัก เพราะขาเริ่มอ่อนแรงจากการเดินย่ำโคลนมาตั้งแต่ตีห้าแล้ว แต่คันนานั้นก็อยู่ห่างไกลเหลือเกิน ขาก็ยกจะไม่ขึ้นอยู่แล้วถังข้าวที่สะพายเอาไว้ก็หนักไม่น้อย

“มะตามผมมา” เหมือนเขาจะรู้ว่าเธอเหนื่อย เขายื่นมือไปให้เธอเกาะแล้วก็รับเอาถังไปถือไว้เอง ก่อนจะพาเธอไปนั่งที่คันนาที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร
“นั่งรอตรงนี้ก่อน แล้วเราค่อยขึ้นไปกินข้าวพร้อมกัน”
เขาบอกแล้วก็เดินกลับไปหว่านข้าวเหมือนเดิม รถไถที่ดังสนั่นเงียบเสียงลงแล้ว ไข่ ไก่ และแมวลงจากรถ แต่ไม่ได้เดินมาช่วยหว่านข้าว ทั้งหมดเดินไปทางเถียงนาแทน ภรัณยาไม่รู้ว่าจะพากันไปไหน เธอรีบรวบรวมพละกำลังที่มีอยู่เดินลงไปในนาอีกที พร้อม ๆ กับรีบหว่านข้าวช่วยเขมินท์ที่รับเอาหน้านาของเธอไปด้วย

“หายเหนื่อยแล้วเหรอ” เขาหันมาถาม
“ไม่หายแต่ฉันไม่ควรจะเอาเปรียบคนอื่น ๆ เหนื่อยก็ต้องเหนื่อยด้วยกัน พักก็ต้องพักด้วยกัน”
เธอตอบแล้วก็หว่านข้าวเดินหน้าไป ทำให้เขาอดยิ้มให้ไม่ได้ ยังไง ๆ ก็ยังดีหน่อยที่เธอมีความคิดแบบนี้อยู่
แล้วเขมินท์ก็พาทุกคนพักในเวลาเก้าโมงเช้า ภรัณยาเดินกลับเถียงนาอย่างคนอ่อนแรง แล้วก็สวนกับ ไข่ ไก่ และแมวที่เดินลงมาแล้ว และก็ติดเครื่องดังสนั่นทุ่งอีกครั้ง

“อ้าว แล้วลูกน้องคุณไม่กินข้าวด้วยกันเหรอ” เธอถาม
“เขาเรียบร้อยแล้วล่ะ เวลาทำนาจะกินพร้อมกันไม่ได้หรอก เขาต้องรีบลงมาไถรอพวกเรา จะได้ไม่ต้องรอกัน คุณเองก็ต้องรีบ ๆ นะ จะเล่น ๆ ไม่ได้ ผมมีอีกเจ็ดร้อยไร่รออยู่” เขาบอกเมื่อพาเธอข้ามสะพานไม้ไป
“รู้แล้วน่า ย้ำจริง” เธอย่นจมูกตามหลังเขาไป

อาหารเช้ายามสาย ๆ ช่างทำให้ทุกคนกินกันแทบไม่มีใครปริปากพูดออกมา ไม่บอกก็คงจะรู้ว่าทุก ๆ คนหิวกันมาก แม้แต่ภรัณยาเอง ที่นั่งกินอย่างอร่อยไม่แพ้คนอื่น ๆ เลย ถึงแม้ว่า ลาบ และต้มแซบ กับข้าวสวยร้อน ๆ มันดูจะขัดกันยังไง ๆ อยู่สำหรับความคิดของเขมินท์ แต่สำหรับเธอแล้ว บอกได้เลยว่าอร่อยอย่าบอกใครเชียว

ลุงคำไม่รอใครเหมือนเคย พอกินข้าวเสร็จ แกก็ได้แตงโมติดมือไปสองชิ้น แล้วก็เดินดุ่ม ๆ ลงไปนาแต่โดยดี ส่วนเขมินท์นั้น ก็มีโทรศัพท์จากเด็กที่ร้านโทรเข้ามาถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เขาก็คุยไปด้วย เดินไปด้วย ภรัณยา ป้าหวางและแต๋นก็ไม่รอช้ารีบตามลุงคำลงไปที่นาทันที เพราะคนที่ไถ ได้ไถไว้รอแล้วไม่น้อยกว่าสองแปลง

“เฮ้อ เหนื่อยจังเลย เมื่อไหร่จะเสร็จเนี๊ยะ”
ภรัณยานั่งลงกับคันนาอย่างนั้น เพราะได้พักแค่ช่วงกินข้าวนิดเดียวเอง ก็ต้องลงมาอีกแล้ว
“ผ้าคลุมหัวค่ะคุณข้าว แล้วเติมครีมกันแดดหรือยังคะ” แต๋นถามด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ว่าเจ้านายห่วงสวย
“ยังเลยนี่ไงถือมาด้วยนี่ ไม่รู้จะพากันรีบไปถึงไหน พาพักนาน ๆ หน่อยก็ไม่ได้ กลัวไม่เสร็จจังเลยไอ้เจ็ดร้อยไร่ที่เหลือนี่” เธอบ่นแล้วก็หันไปหาเจ้าของที่นาที่กำลังช่วยลุงคำเทข้าวเปลือกลงในถังให้ทุก ๆ คนอยู่
“ไม่ต้องบ่นเลยคุณ รีบ ๆ ทาแล้วก็รีบ ๆ ลงมาเลย วันนี้คุณต้องท่องเอาไว้ให้ดี ๆ ว่า ๖๐ ไร่ขึ้น”
เขาหันมาบอกและก็ยิ้มออกมาเพราะความขำที่ได้มีโอกาสเป็นคนออกคำสั่งเธอ โดยที่เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งหรือแข็งข้อ เขาชอบจริง ๆ เลย

“ย้ำอีกแล้ว”
เธอบ่นขณะที่ใช้ผ้าคลุมหัวให้เหลือแค่ตาเหมือนที่เคยทำ พร้อมกับหมวกปีกกว้างก็สวมทับลงไปอีก แต๋นกับป้าหวางก็พลอยทำตามไปด้วย เพราะพากันเริ่มกลัวหน้าดำขึ้นมาไม่แพ้เธอเลย จนเขมินท์กับลุงคำถึงกับส่ายหน้าเมื่อเห็นการกระทำของสามสาว

“อุ๊ยตายแล้ว คุณแต๋นฉันลืมไปว่าเราจะต้องไปเพลแหน่ะ”
เธออุทานออกมาดัง ๆ เพราะได้ยินเสียงกลองเพลที่วัดดังแว่ว ๆ มากระทบหูเข้า เพราะมัวแต่ยุ่งจนลืมไปเลยว่าจะต้องเอาอาหารไปถวายหลวงตา เพราะเธอรู้มาว่าหน้านาเป็นหน้าที่ญาติพี่น้องของคนที่บวชอยู่ จะต้องมีหน้าทีนำอาหารไปถวายก่อนใครเพื่อน เพราะแต่ละครอบครัวต่างก็ยุ่ง ๆ กับการทำนากันทั้งนั้น

“ป้าไห่อีนางมันไป๋ตั้งแตโดน ๆ แล่วจ้าคุณเข่า” ป้าหวางหันมาบอก (ป้าให้นางไปตั้งนานแล้วหล่ะค่ะคุณข้าว)
“อ้าวเหรอ ทำไมข้าวไม่รู้ล่ะคะ ป้าหวางนี่รอบคอบจริง ๆ เลยนะ นึกว่าหลวงตาจะอดฉันเพลซะแล้ว”
เธอบอกและยิ้มให้ป้าหวางอย่างโล่งอก
“ก็ยังดีที่ยังคิดได้ ไม่งั้นหลวงตาคงจะอดไปแล้วล่ะ”
เขมินท์ที่หว่านอยู่ถัดจากเธอพูดขึ้นลอย ๆ แล้วก็หว่านข้าวหน้าตาเฉย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดของตัวเอง
“นี่คุณไม่พูดสักครั้งนี่จะได้มั้ย อะไรคอยแต่จะมาว่าฉันอยู่เรื่อยเลย แต่เอ๊ะ แล้วนางไปยังไงคะป้าหวางใครขับรถไปให้” เธอเหมือนคิดขึ้นได้ “โอ๋ อีนางมันเอารถเคืองน้าน้ำไป่จ้า” ป้าหวางตอบหน้าตาเฉย

“อะไรนะป้าหวาง นางขี่มอเตอร์ไซด์ไป ทั้ง ๆ ที่ท้องโตขนาดนั้นนะ ตายแล้ว ทำไมป้าหวางปล่อยให้นางไปล่ะคะน่าห่วงออก” เธออุทานด้วยความตกใจ
“โอยคุณข้าวคะ ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนี้เลย คนแถวนี้เขาเก่ง ๆ กันทั้งนั้นล่ะค่ะ ดูสะใภ้บ้านโน้นสิคะ ท้องก็โตเหมือนกัน แต่ยังดำนาได้เฉยเลยค่ะ”
แต๋นบอกและก็ชี้ไปที่นาข้าง ๆ ที่ห่างออกไปไกลมาก แต่ก็มองพอเห็นว่ามีคนท้องกำลังดำนาอยู่จริง ๆ ทำให้ภรัณยาให้สลดใจไม่น้อย ที่เห็นผู้หญิงต้องอุ้มท้องมาทำนา มันคงจะลำบากมากแน่ ๆ ในความคิดของเธอ

“แล้วเขาทำ ทำไมล่ะ ทำไมไม่จ้างคนมาทำ เกิดเป็นอะไรไปใครจะช่วยทัน” เธอซักถามไปแล้วก็หว่านไป
“ถ้าเขามีทางเลือกเขาก็คงไม่มาทำหรอกคุณ จะบอกให้นะว่าหน้านาแบบนี้ ต่อให้คุณมีเงินเยอะ ๆ ก็จ้างใครไม่ได้หรอก เพราะแต่ละคนต้องทำของตัวเองให้เสร็จก่อน นี่คุณโชคดีมาก ๆ นะรู้มั้ยที่มีลุงคำ ป้าหวาง คอยแสตนบายอยู่ แล้วก็โชคดียกกำลังสอง ที่มีผมและลูกน้องมาช่วยไถและช่วยหว่านให้แบบนี้ ถ้าคุณต้องทำเองคิดเองทุกอย่างล่ะก็ จ้างให้ก็ไม่มีทางเสร็จ” เขาบอก


“นี่คุณฉันคุยเรื่องผู้หญิงท้องอยู่ดี ๆ ไหงคุณวกกลับมาทวงบุญคุณฉันอีกแล้ว ที่คุณมาช่วย ฉันก็จะไปช่วยคุณกลับอยู่ดีทำไมต้องมาทวงกันบ่อย ๆ ด้วย”
“โอยคุณ ผมว่าคุณนั่งอยู่เฉย ๆ ดีกว่า ให้ป้าหวางกับลุงคำไปก็พอ อ้อ ให้แต๋นไปช่วยทำกับข้าวด้วยก็ดี แต่คุณหน่ะอย่าเลย แทนที่จะเสร็จเร็ว ๆ พอคุณไปรับรองเสร็จช้ากว่าเก่าอีก” เขาว่า
“เอ๊ะ คุณกำลังว่าฉันเป็นตัวถ่วงรึไง”
“ก็รึไม่จริงล่ะ ดูซะก่อนซิ ชาวบ้านเขาหว่านไปถึงไหน ๆ แล้วตัวเองยังรั้งท้ายคนอื่นอยู่ คุณนี่ไม่สมกับเป็นเจ้าของนาเลยนะ เขามีแต่เจ้าของจะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง แต่ดูคุณซิ อาศัยแต่แรงคนอื่น อายหน่ะสะกดเป็นมั้ย ถ้าไม่เป็นจะให้น้องโอ๊ะมาช่วยสอน” เขาว่าและก็ยิ้มเยาะเย้ยเธอด้วยความสะใจ

“อีตาบ้า มาว่าฉันโง่เหรอ นี่แหนะ คอยดูนะถ้านาฉันเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะไปนั่งกินลมชมวิว จะไม่ไปช่วยคุณเด็ดขาด”
เธอโมโหเขาสุดฤทธิ์จึงก้มลงไปควักเอาโคลนปาไปใส่เขา สองสามแปะ
“โอ๊ยนี่คุณ เล่นแบบนี้เหรอ ได้เลยแบบนี้ต้องเจอ”
ว่าแล้วเขาก็สวนกลับด้วยวิธีเดียวกัน แต่ด้วยมือที่ใหญ่กว่าจึงควักได้โคลนเยอะกว่าและทำให้เธอเลอะกว่า
“ว้าย อีตาบ้า เรื่องอะไรมารังแกฉัน ดูสิเสื้อผ้าสวย ๆ ฉันเปื้อนหมดเลย” เธอร้องใส่เขา

“ก็ใครใช้ให้ใส่สวย ๆ มาทำนาล่ะ ไม่เห็นเหรอว่าคนอื่น ๆ เขาใส่เก่า ๆ มากันทั้งนั้น ทีหลังหัดดูตาม้าตาเรือกับเขาบ้างนะ รีบ ๆ หว่านเร็ว ๆ เข้า ถ้าคุณหว่านหน้าของตัวเองไม่เสร็จนะ ผมจะไม่ช่วยและไม่ให้คุณกินข้าวเที่ยงด้วย”
เขาบอกแล้วก็กลับไปสนใจกับการหว่านข้าวเหมือนเดิม
“ข้าวเที่ยง พูดออกมาได้ว่าเที่ยง เห็นคราวที่แล้วพากินซะตั้งบ่ายสอง เรียกมาได้ยังไงว่าข้าวเที่ยง”
เธออดบ่นไม่ได้ แต่ก็แค่บ่นเบา ๆ เพราะไม่อยากให้เขาได้ยิน
“แล้วใจจริงคุณจะกินตอนเที่ยงเลยรึไง เพิ่งจะกินข้าวเช้าไปเอง ยังไม่ทันได้ย่อยด้วยซ้ำ”
จนแล้วจนรอดเขายังอุตส่าห์ได้ยิน

เวลาผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว หญิงสาวเริ่มอ่อนแรงลง ๆ เพราะรู้สึกว่าอากาศวันนี้ร้อนกว่าวันที่เธอเคยมาหว่านถั่วเขียวคราวที่แล้วมาก สังเกตได้จากเปลวแดดที่มองเห็นไหว ๆ อยู่กลางท้องทุ่ง โคลนที่เธอย่ำลงไป เธอรู้สึกว่ามันมีแรงดึงดูดมากกว่าเมื่อเช้าเยอะเลย







Create Date : 07 ตุลาคม 2551
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 9:49:49 น. 3 comments
Counter : 334 Pageviews.

 
อย่าบอกน่ะว่านายเจตน์ชอบหนูข้าวเมื่อไหร่พี่น้ำกับน้องข้าวจะสวีทกันบ้าง


โดย: ชะเอม IP: 125.24.177.240 วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:10:44:53 น.  

 
แล้วเมื่อไหร่หนูข้าวกะคุณน้ำจะสวีทกันมั่ง คุณน้ำนี่ก็ ตาเจตน์น่ะเค้ามองหนูน้ำคนเดียวนะ หนูน้ำน่ะได้ไปมองตานั่นที่ไหน เป็นผู้ชายภาษาอะไร ช่างไม่รู้เรื่องเลย


โดย: น้องค่ะ (หนึ่งมณี ) วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:12:03:12 น.  

 
หึ หึ หึ มีคนกำลังลุ้นอยู่นะนายน้ำ

รีบ ๆ หน่อยนะ


โดย: ธัญญะ วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:17:34:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.