Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
20 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
ร้อยรวงใจ ๑๑ (ธัญรัตน์)




“กำลังคิดอะไรอยู่หนูข้าว” เขมเดินมาทางด้านหลังของหญิงสาวที่เฝ้ายืนมองอาทิตย์ใกล้จะลับหายไปจากท้องทุ่งนาในอีกไม่ช้านี้ “คุณลุง” เธอหันมาหาเขมช้า ๆ แล้วก็หันกลับไปเบื้องหน้าอีกครั้ง
“ข้าวจะทำยังไงดีคะ ทุกอย่างตอนนี้เหมือนข้าวกำลังฝันค่ะ ข้าวไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ที่แท้จริงเลยค่ะ”
เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่เบา ทำให้เขมอดเสียดายแววตาที่สดใสของเธอที่เขาเห็นเมื่อวานไม่ได้

“หนูข้าวก็ทำตามที่เราคิดว่ามันถูกต้องก็แล้วกันนะลูก ถ้าหนูข้าวสบายใจที่จะขายให้กับลุงเก็บเอาไว้ก่อน พอเราเปลี่ยนใจก็ค่อยกลับมาซื้อคืนก็ได้ หรือถ้าอยากจะทำตามที่พ่อกับแม่ขอเอาไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจ หนูข้าวก็ทำตามก็แค่นั้นเองลูก อย่าไปคิดมากเลย ลุงอยากจะให้หนูข้าวคิดว่า การที่เราทำตามสิ่งที่พ่อแม่ขอเอาไว้ก่อนตาย เป็นการทดแทนพระคุณที่ท่านได้ให้กำเนิดเรามาดีกว่า เอากลับไปคิดดี ๆ ก่อนค่อยตัดสินใจ แต่ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาอาหารแล้ว แม่ป้าของหนูข้าวให้ลุงมาตาม”
เขมปลอบใจเธอ ก่อนที่จะเรียกเธอไปกินข้าวเพราะเย็นนี้เขาไม่ยอมพลาดโอกาสการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงสองป้าหลาน ก่อนที่ทั้งสองจะกลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้เช้า

“เดี๋ยวข้าวจะตามไปนะคะ ขอเดินเล่นแถวนี้ก่อน”
เธอบอกก่อนที่จะออกเดินลัดเลาะไปตามคันนาที่เชื่อมต่อกับส่วนหลังบ้านของเขม ด้วยทีท่าที่สงบกว่าที่เคยเป็น สายตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ ท้องทุ่งคล้าย ๆ จะจิตนาการว่าครั้งหนึ่งเคยมีพ่อและแม่กำลังก้มเกี่ยวต้นข้าวที่เหลืองอร่ามอยู่เต็มไปหมดก็ไม่ปาน แล้วเธอก็ประจักษุ์แล้วว่าเธอช่างเป็นลูกที่แทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อและแม่หลงเหลืออยู่ในหัวเลย ก็เธอยังเด็กอายุแค่สามขวบ แล้วจะไปจดจำอะไรได้บ้างล่ะ เธอได้แต่ปลอบใจตัวเองไปแค่นั้น

“คุณควรที่จะเอากล้องมาถ่ายเอาไว้จะดีกว่านะ จะได้เก็บไว้ดูว่าครั้งหนึ่ง พ่อแม่คุณเคยก้ม ๆ เงย ๆ ทำนา โดยเอาหลังสู้ฟ้า เอาหน้าสู้ดิน แล้วก็อาบเหงื่อต่างน้ำแทบทั้งวัน เพื่อหวังที่จะหาเงินมาซื้อผืนนาแห่งนี้ เก็บเอาไว้ให้ลูกที่ท่านมีแค่คนเดียวก็คือคุณ แต่ผมว่าถ้าตอนนี้วิญญาณน้าฑลกับน้านาดียังอยู่ ท่านคงจะผิดหวังไม่น้อยหรอก ที่ทายาทของท่านตอบแทนพระคุณหยาดเหงื่อท่านด้วยการยอมขับรถมาไกลเป็นร้อย ๆ กิโลเพื่อจะมาขายสมบัติชิ้นสุดท้ายของท่าน”
เขมินทร์ที่เดินมายืนอยู่ใกล้ ๆ เธอ อดไม่ได้ที่จะประชดประชันความเป็นคนไม่เอาไหนของเธอ ซึ่งผิดจากพ่อและแม่

“นี่คุณจะมาบ่นอะไรไม่ทราบ แล้วคุณมาเกี่ยวอะไรด้วย ที่ก็ที่ของฉัน ฉะนั้นฉันจะทำอะไรมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน คุณไม่เกี่ยว วันนี้ฉันอุตส่าห์ดีใจแล้วเชียวนะที่จะไม่ต้องเห็นหน้าคุณ” เธอตอบโต้ทันควัน

“ขอโทษนะคุณไม่อยากจะเห็นหน้าผม แต่คุณมาบ้านผม และมาที่นาผมทำไม มันช่วยไม่ได้หรอก อ้อ...ขอบอกนะว่าไม่ใช่เพราะคุณคนเดียวหรอกที่ไม่อยากเห็นหน้าผม ตัวผมเองก็ไม่อยากจะเห็นหน้าคุณเหมือนกันนั่นล่ะ คุณรู้มั้ยอะไรที่มันแย่ ๆ ที่มีในตัวคุณก็ยังทำให้ผมพอจะทนได้หรอกนะ

แต่การที่คุณซึ่งได้ชื่อว่าได้ไปร่ำเรียนต่างบ้านต่างเมืองมา แต่กลับเอาตัวเองไม่รอดจนต้องกลับมาผลานสมบัติพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว มันทำให้ผมรับไม่ได้จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่คุณท่านก็ไม่ได้ขออะไรมากมายเลย กับอีแค่ให้คุณมาทำนาแค่สองปี เพื่อแลกกับที่ตั้งสามร้อยไร่ แค่นี้คนอย่างคุณยังทำให้ท่านไม่ได้เลย ผมล่ะเสียดายเงินที่คุณน้าส่งคุณไปเรียนซะจริง ๆ เลย”
เขาด่าใส่หน้าเธอด้วยแววตาที่จริงจังกว่าทุก ๆ ครั้งที่เธอเคยเห็นมา ก่อนที่เขาจะเดินจ้ำอ้าวตรงไปยังบ้าน

“แล้วฉันบอกคุณแล้วรึไงว่าฉันจะขายที่ หรือว่าฉันจะไม่มาทำนา หรือว่าฉันจะสละสิทธิ์ไม่รับที่ดินผืนนี้ คุณอย่ามาดูถูกฉันนะ กลับมาก่อนมาคุยกันให้รู้เรื่องนะนายน้ำ ห้ามเดินหนีฉันแบบนี้ ฉันเกลียดนายได้ยินมั้ย นายไม่มีสิทธิ์ที่จะมาว่าฉันแบบนี้นะ กลับมานี่” เธอตะโกนไล่หลังเขาด้วยความโมโห ขณะที่ขาก็รีบก้าวเพื่อไปให้ทันเขาให้ได้ เพราะในชีวิตของเธอไม่เคยมีใครมายืนด่าฉอด ๆ แล้วหนีไปหน้าตาเฉยแบบนายคนนี้สักคนเดียว

“โอ๊ย”
เธอต้องร้องออกมาเพราะความเจ็บ เมื่อเดินมาดี ๆ เท้าก็ตกลงไปในหลุมที่มีคนมาขุดเอาไว้ แล้วเจ้าหญ้ามันก็ขึ้นมาปลกคุมเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็น จนเธอล้มลงไปในนาที่เต็มไปด้วยซังข้าว ความเจ็บทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมาเต็มสองแก้ม แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเจ็บกายหรือว่าเจ็บใจที่ถูกเขาด่าแล้วเดินหนีกันแน่

“คุณข้าว” เขารีบหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงร้องของเธอ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนบ้าง” เขาวิ่งมาช่วยพยุงร่างเธอ
“อย่ามายุ่งกับฉัน ไปให้พ้น ๆ เลย ฉันเกลียดคุณ ตั้งแต่ฉันเกิดมาก็ไม่เคยมีใครมาตะโกนด่าฉันแล้วเดินหนีแบบนี้เลย แม่ป้าเลี้ยงฉันมาแท้ ๆ ท่านก็ไม่เคยว่าฉันเลยสักคำ แล้วคุณเป็นใคร ฉันเจอคุณทีไรก็มีแต่เรื่องร้าย ๆ ทุกที อย่ามายุ่ง”
เธอด่าเขา แล้วก็ผลักเขาให้ออกไปไกล ๆ ส่วนตัวเองก็พยายามใช้มือดึงซังข้าวเพื่อพยุงให้ร่างลุกขึ้นเองได้

“อุ้ย...”
เธอรู้สึกเจ็บที่ปลายนิ้วชี้ จนต้องยกมาดูใกล้ ๆ ก็รู้ว่ามีเลือดไหลออกมาที่ปลายนิ้ว หญิงสาวตกใจไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่ามือไปโดนอะไรถึงได้คมขนาดนี้
“แผลลึกด้วย แล้วคุณไปกำมันไว้ทำไม คุณไม่รู้เหรอว่าไอ้ซังข้าวนี้ เวลามันแตกออกมาแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากคมมีดดี ๆ นี่เอง” เขาดุเธอ เมื่อพบว่าเจ้าซังข้าวที่เธอพยายามจะดึงเพื่อพยุงร่างให้ลุกขึ้นเป็นต้นเหตุทำให้ถึงกับได้เลือด

“อย่ามายุ่งกับฉันนะ ไปให้พ้น ๆ ฉันเกลียดคุณ” เธอยังคงโมโหอยู่
“ถ้าทุ่งนานี้เปลี่ยนเป็นป่าคอนกรีตที่คุณคุ้นเคย ผมคงจะทิ้งคุณไว้ตรงนี้แล่ะ แต่ตอนนี้ไม่ว่าคุณจะโกรธหรือเกลียดผมยังไงก็ตาม แต่คุณจะต้องกลับบ้านพร้อมกับผม ลุกขึ้นมาได้แล้ว และไอ้รองเท้าส้นสูงของคุณนี่ ขอทีเถอะนะทีหลังอย่าใส่มาอีก มันไม่ได้ทำให้คุณน่ามองมากไปกว่านี้หรอก เอ้า...ลุกขึ้น ถึงบ้านแล้วผมจะทำแผลให้”
เขาบอกและหอบเอาร่างของเธอให้ลุกขึ้นยืน แต่เธอไม่ยอมยังคงปัดมือเขาออกอยู่อย่างนั้น

“คุณต้องขอโทษฉันก่อน ฉันถึงจะยอมกลับไปกับคุณ” เธอยื่นขอเสนอ
“ผมทำอะไรผิดไม่ทราบ ถึงต้องขอโทษคุณ” เขาไม่ยอม “ก็ผิดที่คุณว่าฉันไง” เธอตอบ
“แล้วที่คุณร้องบอกว่าเกลียดผมล่ะ ไม่เห็นคุณจะขอโทษผมเลย เป็นอันว่าเราหายกัน จะกลับไม่กลับ ถ้าไม่กลับผมจะทิ้งคุณไว้ตรงนี้ล่ะ อีกหน่อยก็จะมีงูสาออกมาหากินไม่น้อยกว่าสามสี่ตัว แล้วยังมีพวกแมลงป่อง ตะขาบอีก”
เขาไม่ยอมขอโทษเธอ และก็พยายามหาเรื่องสัตว์มาขู่

“จ้างให้ฉันก็ไม่กลัว ไม่ต้องมาขู่ให้ยากเลย” เธอเองก็ไม่ยอมเช่นกัน
“ก็ตามใจสิ ฟ้ามืดลงแล้ว งั้นคุณก็นั่งรอเจ้าพวกนั้นก็แล้วกัน” เขาบอกและก็ลุกเดินหนีเธอไปดื้อ ๆ ภรัณยาทั้งกลัวและรู้สึกวังเวงไม่น้อย กับบรรยากาศที่เงียบเชียบของท้องทุ่ง ที่มีลมหนาวพัดโชยไปมา ทำให้ต้นไม้ที่อยู่รอบ ๆ ตัวโอนเอนไปมาตามแรงลม หญิงสาวอยากจะอ้าปากร้องเรียกเขา แต่ก็มองไม่เห็นร่างที่หายไปกับความมืดแล้ว

“อีตาบ้า นาย ๆ ๆ นายน้ำเน่า ฉันเกลียดนาย คอยดูนะฉันจะฟ้องคุณลุง” เธอบ่นอยู่คนเดียว แล้วก็พยายามลุกขึ้นด้วยตัวเองให้ได้ เพราะเธอตั้งมั่นว่าจะไม่ยอมร้องให้เขากลับมาอีกเด็ดขาด แต่จู่ ๆ มือก็ไปคว้าเอาอะไรไม่รู้ มันนุ่ม ๆ เหนียว ๆ เหนอะ ๆ หนะ ๆ ไปหมด

“ว้าย....ช่วยด้วย ๆ ๆ” เสียงร้องของเธอทำให้เขายอมใจอ่อนออกมาจากพุ่มไม้จนได้
“คุณข้าว คุณเป็นอะไร ไหนให้ผมดูซิ” เขาวิ่งมาหาเธอ และก็แกะมือที่เธอกำเจ้าสิ่งนั้นไว้จนแน่น แล้วเขาก็หัวเราะออกมาด้วยความขำ เมื่อมันคือเจ้าเขียดที่เกือบจะตายแหล่ไม่ตายแหล่เพราะแรงของเธอ

“นี่ ๆ คุณข้าว ไม่มีอะไรแล้วมันก็แค่เขียดเท่านั้นเอง ถ้าผมมาไม่ทันนี่ มันคงจะตายไปแล้วมั้ง” เขาบอกและยิ้มให้
“ฮื่อ ๆ ๆ ๆ ๆ ทำไมมันลื่น ๆ น่าขยะแขยงจังเลย นี่ ๆ ๆ” เธอบอกและก็เอามือไปเช็ดที่เสื้อเขาไปมา
“เอ้า ดูทำเข้า จะกลับบ้านได้หรือยัง” เขายังคงถาม

“ขอโทษมาก่อนสิ”
เธอยังคงยืนกรานไม่ยอม และคราวนี้ถ้าเขาไม่ขอโทษ เธอก็จะวิ่งให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ถึงบ้านเร็ว ๆ เธอตั้งใจเอาไว้อย่างนั้น “มือคุณเลือดออกมาใหญ่แล้ว” เขาจับมือเธอมาดู

“ขอโทษก่อนสิ” เธอคาดคั้น “ก็ได้ ๆ ผมขอโทษ ทั้ง ๆ ที่ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด” เขาไม่วายไว้เชิง
“แค่นี้ล่ะ นำทางไปสิ” เธอบอก ทำให้เขาถึงกับจ้องมองหน้าเธอด้วยความฉงน
“อะไรบทจะง่ายนี่ก็ง่ายจริง ๆ เลยนะแม่คุณ”
ในใจของเขาคิด แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ปริปากได้แต่เดินนำเธอไปแต่โดยดี



“คุณลุงจะส่งให้ข้าวไปเรียนเมืองนอกจริง ๆ เหรอคะ” ภรัณยาในวัยสิบหกปีถามสุรเดชด้วยความดีใจ
“จริงสิยายข้าว ยังไม่รีบไปกราบขอบคุณ คุณลุงอีกนะเรา” มณฑาบอกหลานสาว แล้วเธอก็ทำตามด้วยความน้อบน้อม ก่อนที่จะหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้กับเจตน์คู่อริที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกด้วย

“แล้วคุณจะให้ตาเจตน์ไปด้วยหรือเปล่าคะ” มณฑาถาม “คงไม่หรอก ตาเจตน์เรียนที่เมืองไทยก็พอแล้ว จะได้คอยเรียนรู้งานที่บริษัทด้วย แล้วเวลาปิดเทอมค่อยไปเรียนเป็นช่วง ๆ ก็แล้วกัน จะได้ภาษาเอามาใช้ในงาน และอีกอย่างไปเมืองนอกแล้ว จะหาที่เรียนภาษาจีน กับภาษาญี่ปุ่นยากกว่าเมืองไทย” สุรเดชสรุป โดยที่ไม่ได้ถามว่าลูกชายต้องการอะไร

“ก็ดีนะคะ ตาเจตน์จะได้คอยช่วยคุณด้วย ส่วนยายข้าวนี่มณล่ะไม่อยากจะหวังเลยค่ะ วัน ๆ เอาแต่ห่วงสวยจนไม่เป็นอันเรียนหนังสือเลย” มณฑาบ่นหลานรัก แต่แววตานั้นส่อแววที่ปลาบปลื้มมากกว่าตำหนิ จนเจตน์สังเกตเห็นได้ชัดเจน
“ก็หนูข้าวเป็นผู้หญิงนี่ ผู้หญิงก็ต้องคู่กับความสวย เหมือนคุณไง กี่ปี ๆ ก็สวยไม่สร่างเลย คุณไม่เคยได้ยินเหรอ ว่า นารีมีรูปเป็นทรัพย์หน่ะ” สุรเดชพูดแล้วก็ยิ้มให้ภรรยาด้วยความสุข

“แต่ข้าวก็ได้คะแนนเฉลี่ย 3.5 นะคะแม่ป้า” เธออวดด้วยความภาคภูมิใจ
“แต่ตาเจตน์ได้ 4 นะยายข้าว” “ช่างนายเจตน์สิคะแม่ป้า ก็คนนี้เขาเด็กเรียนนี่คะ งั้นข้าวขอไปโทรบอกยายเจนกับยายเชอร์รี่ก่อนนะคะ ว่าข้าวได้ไปเรียนพร้อมพวกนั้นแล้วค่ะ” เธอบอกและรีบวิ่งขึ้นห้องหายไปเลย
“ดูสิคะยายข้าวไม่ยอมโตเลยจริง ๆ” มณฑาบ่นตามหลัง

“ก็ลูกสาวคนเดียวของผมนี่ ปล่อย ๆ ยายข้าวไปเถอะคุณ กลับมาจากทำงานมียายข้าวคอยถามโน่นถามนี่ ผมก็มีความสุขไปอีกแบบนะ เพิ่งจะรู้นี่เอง ว่าบ้านที่มีเด็กผู้หญิงมันสดชื่นแบบนี้” สุรเดชบอกภรรยา แต่เขาไม่ได้คิดเลยว่ากับคำพูดที่ไม่คิดอะไรเหล่านี้ ทำให้เจตน์ที่นั่งฟังอยู่นิ่ง ๆ จะเจ็บปวดไม่น้อย

“มานั่งคิดอะไรคนเดียวค่ะคุณเจตน์ ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีกคะ” ปิยนุชเดินออกมาหาเขาที่หน้าระเบียง
“ฉันไม่ง่วง ตกลงว่านุชรู้หรือยังว่ายายข้าวกับคุณน้ากลับมาหรือยัง แล้วสองคนนี้หายไปไหนมา” เขาถามในสิ่งที่สั่งการไว้ ตั้งแต่สองวันที่แล้ว เพราะปิยนุชบอกว่าไม่เห็นสองป้าหลานอยู่บ้านสองวันแล้ว
“ได้เรื่องแล้วค่ะ ป้าเดือนที่อยู่ข้าง ๆ บ้านที่นุชจ้างเอาไว้ โทรมาบอกว่าคุณมณฑากับคุณข้าวเพิ่งจะกลับเข้าบ้านตอนเย็น ๆ นี่เองค่ะ แล้วคุณจะทำอะไรอีกคะ นุชว่าคุณเจตน์ก็ได้สิ่งที่ต้องการมาหมดแล้ว น่าจะพอได้แล้วนะคะ” ปิยนุชให้แง่คิด
“ยังหรอก ฉันขอสั่งสอนสองคนนั้นไปสักพักก่อน ไปนอนกันเถอะฉันเริ่มจะง่วงแล้ว” เขาบอกดื้อ ก่อนที่จะรั้งแขนของปิยนุชให้ตามไปด้วย







Create Date : 20 กันยายน 2551
Last Update : 20 กันยายน 2551 7:16:40 น. 3 comments
Counter : 5709 Pageviews.

 
ชอบการเขียนนิยายของคุณมากคะ ถ้าไม่เป็นการบกวนอยากรู้จักพูดคุยด้วยคะ อีเมลล์ tawan50ster@gmail.com ขอบคุณคะ


โดย: ตะวัน IP: 81.214.85.173 วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:0:06:57 น.  

 
หนูเปนไงบ้างจ๊ะ
วันหยุดฝนตกไหม
หลับสบายเลยซิท่า อิ อิ


โดย: แพรวา (peacepair ) วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:8:44:01 น.  

 
ขอบคุณ คุณตะวันค่ะที่ชื่นชอบผลงาน
เราคงจะได้มีโอกาสพูดคุยกันนะคะ

คุณแพรจ๋า วันนี้ที่บ้านอากาศดีค่ะ
แต่วันนี้ไม่ได้ตื่นสายหรอก เพราะต้องรีบมาเขียนนิยาย เลยตื่นตั้งแต่ตีสี่แหนะ


โดย: ธัญญะ วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:9:07:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.