เปิดบันทึกการเดินทางกับปอป้าต่อ..นะคะ
เช้าวันรุ่งขึ้น เราทั้งสามคนย้อนกลับไปยังอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยอีกครั้ง เอาเงินค่าผ่านประตูเมื่อวานไปชำระให้เจ้าหน้าที่เก็บเงินที่มาทำงานแล้ว น้องเขาบอกว่า น่ารักจัง อุตส่าห์เอาเงินมาชำระให้ด้วย ว่าแล้วก็เชิญชวนให้เราเข้าไปชมบรรยากาศยามเช้าอีกแน่ะ มีหรือที่เราจะปฏิเสธ ยิ่งน้องไม่ได้เก็บเงินเพิ่มซะด้วย อ้อ..แต่ปอป้าก็ช่วยสนับสนุนงานของกรมศิลป์ฯ ด้วยการซื้อหนังสือมา ๒ เล่ม และทั่นชายก็นำเสื้อเด็ก ขนมขบเคี้ยว และหนังสือสวดมนต์ แจกให้กับเจ้าหน้าที่และลูกหลานอย่างทั่วถึง ปอป้าลืมเล่าไปว่า ทั่นชายไปไหน มักจะพกของไปแจกจ่ายแก่เด็กยากจนเสมอมิได้ขาด งานนี้สาวเหลือน้อยอย่างปอป้าและคุณนายก็เลยมีหน้าที่เสมือนนางงอมอภิมหาจักรวาล (ใหญ่กว่านางงามจักรวาลติ๊ดนึง..อิอิ) คอยแจกของให้เด็ก ๆ ด้วย อืมมม...รู้สึกเคลิ้ม ๆ ราวกับเป็นนางงามจริง ๆ เลย..อ่ะ แบบว่า..นางงามต้องรักธรรมชาติ สายลม แสงแดด รักเด็ก..ฮี่ ๆ เอ้า..นอกเรื่องอีกแระ..ไปอ่านและชมเรื่องราวของวัดนอกกำแพงเมืองกันดีกว่า...ค่ะ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัยโดยหันหน้าไปทางทิศตะวัออก เชื่อว่าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นศูนย์กลางของเมืองเชลียง ตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีนาวนำถม (ประมาณ พ.ศ. ๑๗๘๐) มาแล้ว โดยมีหลักฐานยอดซุ้มปูนปั้นประตูทางเข้าวัด ซึ่งมีลักษณะรูปแบบศิลปะสมัยบายน และหลักฐานจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่ยืนยันได้ว่าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุมีอายุมาแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นราชวรวิหาร โบราณสถานสำคัญมีดังนี้
ปรางค์ประธาน ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน ลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมจัดอยู่ในสมัยอยุธยา บริเวณเรือนธาตุด้านหน้ามีบันไดขึ้นองค์ปรางค์สู่ซุ้มโถง ผนังภายในองค์ปรางค์พบว่ามีร่องรอยจิตรกรรมฝาผนังแต่ลบเลือนไปมาก ด้านหน้าองค์ปรางค์มีวิหารภายในประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ถัดจากพระพุทธรูปปางมารวิชัยทางด้านขวามีพระพุทธรูปปูนปั้นปางลีลาที่มีลักษณะงดงาม กำแพงวัด เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๖๐ เมตร ยาว ๙๐ เมตร เหนือซุ้มประตูทำเป็นรูปคล้ายหลังคายอด เหนือซุ้มขึ้นไปปั้นปูนเป็นรูปพระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
พระธาตุมุเตา (ชื่อเหมือนวัดหนึ่งในพม่าเลย) อยู่ด้านหลังปรางค์ประธานนอกกำแพงแก้ว ลักษณะพระธาตุมุเตาเป็นเจดีย์ทรงมอญ ในการขุดแต่งปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้พบทองจังโกประดับยอดของเจดีย์
มณฑปพระอัฏฐารศ อยู่ด้านหลังของพระธาตุมุเตา เดิมน่าจะเป็นมณฑปพระสี่อิริยาบถ ต่อมาได้ซ่อมแซมดัดแปลง ภายในซุ้มคูหายังมีพระพุทธรูปปูนปั้นยืนอยู่ เดิมมณฑปหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา
วิหารพระสองพี่น้อง อยู่ทางซ้ายมณฑปพระอัฏฐารศจากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่า ฐานวิหารพระสองพี่น้องก่อทับอาคารเดิมที่ก่อด้วยอิฐ โบสถ์ตั้งอยู่ด้านหน้าพระวิหาร ปัจจุบันทางวัดได้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งหลังโดยสร้างทับโบสถ์เดิม
กุฏิพระร่วงพระลือ ชาวบ้านเรียกว่า ศาลพระร่วงพระลือ ลักษณะมณฑป ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้าง หลังคาคล้ายรูปชามคว่ำซ้อนกัน ๔ ชั้น ภายในประดิษฐานรูปหล่อพระร่วงพระลือ (จำลอง) พูดถึงพระร่วงพระลือ หนังสือ Exploring Guide เล่าไว้อย่างนี้...ค่ะ
ตำนานท้องถิ่นเล่าถึงที่มาของพระร่วงพระลือว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน เมื่อยังเด็กพระร่วงผู้พี่อยากจะมีน้องเหมือนคนอื่นบ้าง ตาจึงเอาไม้ทองหลางมาแกะสลักเป็นตุ๊กตา วันหนึ่งพระร่วงไปยืนดูการยกหลักเมือง หลังจากยืนดูจนเมื่อยจึงวางตุ๊กตาลง แล้วพูดทำนองว่าให้เดินเอาเองบ้าง ปรากฏว่าเกิดปาฏิหาริย์ ตุ๊กตา น้อง กลายเป็นคน เดินได้จริง ๆ ทำให้พระร่วงเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นผู้มีวาจาศักดิ์สิทธื เล่ากันว่า รูปพระร่วง พระลือนี้ องค์เดิมสร้างในสมัยสุโขทัย ทำมาจากงาช้าง ประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ต่อมาในสมัยอยุธยา เมื่อคราวที่สมเด็จพระนเรศวรยกทัพมาเมืองสวรรคโลก ทรงนำ พระร่วง พระลือ กลับไปด้วย และไม่ทราบแน่ชัดว่าไปอยู่ที่ใด ต่อมาจึงมีการสร้างองค์ใหม่ขึ้น แต่ก็ถูกย้ายไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองสวรรคโลก จนท้ายสุดนำไปตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ฯ รามคำแหง ส่วนองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดในปัจจุบัน ทางวัดได้จำลองขึ้นใหม่ ประดิษฐานในมณฑป เพื่อให้คนกราบไหว้บูชา
เรื่องรูปพระร่วง พระลือนี้ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้เสนอไว้ว่า อาจเป็นประติมากรรมฉลองพระองค์กษัตริย์สุโขทัย และอาจเป็นต้นเค้าของคติการทำพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑-๒ ในวัดพระแก้ว กรุงเทพฯ
ศิลปะบายน เห็นแล้วคิดถึงเมื่อคราวไปเที่ยวนครวัดนครธม..สวยมาก..ค่ะ
สะพานที่ปอป้าอาจหาญเดินข้ามมา เดินไปมันก็แกว่งไปด้วย..อ่ะ
รูปนี้ทั่นชายบอกว่า เอาไว้ให้สาวที่ความสวยเหลือน้อยทั้งสองดู
เพื่อปลงว่าความงามย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
วันนี้สภาพอากาศร้อนมาก ถึงมากที่สุด เดินไปเหงื่อหยดติ๋ง ๆ ประกอบกับพวกเราใช้เส้นทางมาวัดโดยผ่านทางชุมชนเก่าซึ่งเป็นแหล่งทอผ้า ก็เลยต้องจอดรถไว้ปากทาง แล้วเดินเท้าผ่านชุมชนเพื่อไปข้ามสะพานที่ขึงไว้ด้วยลวดสลิง เดินไปสะพานก็แกว่งไป ปอป้าเป็นคนกลัวความสูงยิ่งกว่ากลัวผี แต่ต้องทำใจกล้าเดินหน้าตั้ง นำหน้าคุณนายผู้ปอดแหกยิ่งกว่า
ปอป้าเสียอีก ที่ต้องทำใจกล้าเพราะหากออกอาการกลัว คุณนายเธอก็จะยิ่งกลัวมากกว่าเป็นร้อยเท่า หากเป็นเช่นนั้นแล้วหล่อนก็จะไม่ยอมเดินตามสองเราไปน่ะซี อีกประการหนึ่ง ทั่นชายมีนิสัยดีหาใครเทียมได้ เมื่อใดที่เห็นว่าเพื่อนกลัวอะไร คุณทั่นก็ต้องหาทางกลั่นแกล้งเป็นที่สนุกสนานสำราญใจเธอ แต่ไม่สำราญใจเราหรอก (นะ) ตั้งแต่หนุ่มยันแก่ นิสัยดี ๆ อย่างนี้ไม่เคยเปลี่ยนสักที พูดไปพูดมา ก็คงจะบ้าพอ ๆ กัน ถึงคบกันมาได้นานขนาดนี้ (๔๐ กว่าปี..เอง) อ่ะ..พูดเรื่องโน้นเรื่องนี้จนลืมไป จะบอกว่า อากาศร้อนมาก ทำให้หมดอารมณ์ในการถ่ายรูปไปเยอะเลย ก็เลยมีภาพมาให้ดูแค่นี้เอง...จ้า
เสร็จสิ้นการเยี่ยมชมวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าเข้าตัวจังหวัดสุโขทัย เพื่อไปตะลุยอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกันต่อ ตอนนี้ปอป้าขอหลบแดดไปพักผ่อนนอนหลับสบาย ๆ ในรถที่มีสารถีใจดีขับให้ก่อน..นะคะ (ใจดีมากเลย..ทั่นชายขับไป ชะยันโตเพื่อนไปตลอดทาง..ฮ่า ๆ)
เพลง เขมรเป่าใบไม้
สัตว์ทั้งปวง จักทอดทิ้งร่างไว้ในโลก ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
มีความสุขกับความพอเพียง ตลอดไป...นะคะ