วันนี้ ขอเปิดศักราชการตะลุยอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยด้วยวัดช้างล้อม..ค่ะ
ตามที่ได้เกริ่นไปเมื่อบล๊อกที่แล้วว่า ไปหลงทางเสียเวลาตั้งนานกับอุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย กว่าจะกลับตัวกลับลำได้ก็เป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะเลิกงานพอดี แต่ด้วยความมีน้ำใจของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่คงจะสงสารคนแก่ ๓ คน ที่มาจากแดนไกล ก็เลยได้เข้าไปชมอุทยานฯ ยามพลบค่ำ ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอีกต่างหาก (วันรุ่งขึ้นเรากลับไปจ่ายค่าธรรมเนียมให้เจ้าหน้าที่ตามระเบียบ..ค่ะ) อยากให้เพื่อน ๆ ลองจินตนาการว่าได้ไปเดินชมอุทยานฯ ยามสายัณห์ดวงตะวันกำลังกลับบ้าน บรรยากาศมันชวนวิเวกวิโหวเหวยังไงก็ไม่อาจจะบรรยายได้ ถ้ามาคนเดียวข้อยไม่ขอเบิ่งเด้อ..ค่ะ
วัดแรกที่เราแวะชมคือวัดช้างล้อม เขามีเรื่องราวเล่าไว้อย่างนี้..ค่ะ...วัดช้างล้อม ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองเกือบกึ่งกลางตัวเมืองศรีสัชนาลัยหรือตัวอุทยานฯ ในปัจจุบันนั่นเอง ที่นี่มีโบราณสถานสำคัญคือ เจดีย์ประธานทรงลังกา มีกำแพงแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมรอบ มีช้างปูนปั้นเต็มตัว ประดับเครื่องทรงสวยงามอยู่โดยรอบฐานทั้ง ๔ ด้าน รวมทั้งหมด ๓๙ เชือก ถึงแม้จะชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ความงดงามยังมีหลงเหลือให้ได้ชื่นชมอยู่บ้าง ระหว่างช้างทรงจะมีเสาประทีปสลับอยู่ด้านหน้าช้างแต่ละเชือก มีพุ่มดอกบัวตูมปูนปั้นวางอยู่ ด้านหน้าองค์เจดีย์ประธานมีบันไดขึ้นสู่ลาน
ประทักษิณ เหนือฐานประทักษิณมีซุ้มพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย ๒๐ ซุ้ม ผนังซุ้มทีรูปประติมากรรมต้นโพธิ์อยู่เบื้องหลังพระพุทธรูป บริเวณองค์ระฆังขึ้นไปเป็นบัลลังก์ ก้านฉัตร ซึ่งประดับด้วยรูปพระสาวกปูนปั้นลีลานูนต่ำจำนวน ๑๗ องค์ แต่เดิมสันนิษฐานว่าเจดีย์ประธานสร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยเชื่อตามจารึกหลักที่ ๑ ที่กล่าวว่าพระองค์ทรงสร้างเจดีย์องค์หนึ่งไว้กลางเมืองมีความว่า " ๑๒๐๗ ศก ปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออก ทั้งหลายเห็น กระทำบูชาบำเรอแก่พระธาตุได้เดือนหกวัน จึงเอาลงฝังในกลางเมืองศรีสัชนาลัย ก่อพระเจดีย์เหนือหกเข้าจึ่งแล้วตั้งเวียงผาล้อมพระมหาธาตุ สามเข้าจึ่งแล้ว.."
กระทั่งกรมศีลปากรได้ขุดตรวจเจดีย์องค์นี้ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๗-๒๕๒๘ ทำให้พบหลักฐานหลายอย่างที่ช่วยให้สามารถกำหนดอายุเจดีย์องค์นี้ได้ใหม่ ที่สำคัญคือขุดพบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวนอยู่ใต้เจดีย์ เครื่องถ้วยแบบนี้ผลิตขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ซึ่งอยู่ในช่วงหลังจากการสร้างเจดีย์ตามที่กล่าวไว้ในศิลาจารึกหลายสิบปี และยิ่งเมื่อมีการศึกษารูปแบบศิลปกรรมอื่น ๆ ด้วยแล้ว ทำให้นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าเจดีย์องค์นี้น่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ไม่ได้เก่าไปถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหงอย่างที่เคยเชื่อกันมาแต่เดิม
ผลการขุดค้นเจดีย์ยังทำให้ทราบอีกว่า เจดีย์องค์นี้มีการเตรียมฐานรากด้วยการขุดดินลึกลงไปกว่า ๑๐๐ ซ.ม. แล้วถมด้วยหินและดินลูกรัง ส่วนฐานทางด้านหลังช้างซึ่งยกสูงขึ้นไปและต้องรับน้ำหนักส่วนบนด้วยนั้น มีการขุดดินลึกลงไปกว่า ๒๐๐ ซ.ม. ซึ่งลึกลงไปถึงชั้นดินดาน แล้วจึงถมด้วยหินชนวนและหินขนาดใหญ่จำนวนมากผสมกับลูกรัง จากนั้นจึงก่อศิลาแลงให้เป็นฐานเจดีย์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
บันไดขึ้นสู่องค์พระเจดีย์...อย่างสูง กว่าจะตะกายขึ้นไปถึง หอบเป็นสุนัขหอบแดดเลย..ค่ะ
แล้วดูคุณเพื่อนทั้งสองสิ..คะ จุ๊ยซะ..อย่างกะโกโบเละ+อังโล่..แน่ะ
มีรังผึ้งอย่างใหญ่ เกาะอยู่ใต้ฐานยอดพระเจดีย์ด้วย..ค่ะ
ก่อนสร้างเจดีย์ช้างล้อม ตรงนี้เคยเป็นอะไร ??...เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ กรมศิลปากรได้ขุดตรวจบริเวณฐานช้างทางทิศตะวันตก พบโครงกระดูกฝังอยู่ลึกลงไป ๑๓๐ ซ.ม. มีภาชนะดินเผาวางอยู่ใกล้ ๆ ๒ ใบ และที่บริเวณศีรษะยังมีภาชนะดินเผาทรงหม้อน้ำอีกข้างละใบ ซึ่งดูเหมือนเป็นการวางตามพิธีกรรมเพื่ออุทิศสิ่งของแก่ผุ้ตาย ตามธรรมเนียมโบราณก่อนที่จะนิยมเผาศพตามแบบศาสนาพุทธ นอกจากนี้ที่ไหล่ขวาและกระดูกเชิงกรานของโครงกระดูก ยังมีรอยหลุมเสากดทับลงไป นักโบราณคดีเชื่อว่าเดิมมีการสร้างอาคารขึ้นในบริเวณนี้ก่อน แต่ถูกรื้อไปเมื่อจะสร้างเจดีย์ ส่วนอาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ อธิบายว่าบริเวณนี้คงเป็นสุสานของคนรุ่นเก่า และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน กระทั่งเมื่อเปลี่ยนไปนับถือพุทธศาสนา จึงเปลี่ยนที่สำคัญนี้ให้เป็นพุทธสถาน ด้วยการสร้างเจดีย์พระบรมธาตุขึ้นแทน
ทำไมช้างจึงล้อมรอบเจดีย์...ในอินเดียโบราณถือว่าช้างเป็นสัญลักษณ์ของการแบก รองรับ หรือค้ำจุนสิ่งสำคัญต่าง ๆ เพราะช้างเป็นสัตว์ที่แข็งแรงทรงพลัง แต่ในขณะเดียวกันก็ฉลาด-สุภาพ-อ่อนโยน นอกเหนือจากนี้แล้ว ช้างยังถือเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ด้วย เพราะช้างเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับน้ำ จึงเป็นสัญลักษณ์ของน้ำและความชุ่มชื่นอุดมสมบูรณ์ และเพราะว่าช้างยังมีรูปร่างคล้ายเมฆฝนที่เคลื่อนไหวอยู่บนพื้นดิน จึงมีคำเรียกช้างด้วยภาษาสันสกฤตว่า
" นาค " ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า " เมฆ " อีกด้วย
ศาสนาพุทธและฮินดู มักนำช้างมาทำหน้าที่ในการรองรับและดูแลปกป้องสถานที่สำคัญอยู่เสมอ คติความเชื่อนี้ เมื่อแพร่ไปยังศรีลังกาก็ยิ่งได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย มีการนำช้างมาใช้ในงานศิลปกรรมหลายอย่าง แต่ที่โดดเด่นมากที่สุดคือ การสร้างเจดีย์ที่ล้อมรอบด้วยช้างจำนวนมาก เจดีย์ช้างล้อมที่เก่าแก่มากแห่งหนึ่งในศรีลังกา คือเจดีย์รุวันเวลิ ซึ่งในเอกสารโบราณเรียกส่วนที่เป็นช้างล้อมนี้ว่า " หัตถีปราการ " หรือกำแพงช้าง (หัตถี หรือผู้มีมือ หมายถึงช้าง)
นักวิชาการเชื่อว่าเจดีย์ช้างล้อมในศรีลังกาน่าจะเป็นต้นแบบให้กับการสร้างเจดีย์ช้างล้อมหลายแห่งในเมืองพุกาม รวมทั้งพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช และเจดีย์ช้างล้อมอีกหลายแห่งในสุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร ล้านนา และอยุธยา แต่เมื่อรับมาแล้วแต่ละท้องถิ่นต่างก็ปรับเปลี่ยนรายละเอียดไปตามรสนิยมของตน โดยยังคงรักษาแนวคิดเดิมไว้นั่นคือ ช้าง เป็นผู้ค้ำจุนพระพุทธศาสนา และปกป้องดูแลพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระเจดีย์
บริเวณโดยรอบวัดช้างล้อม
องค์พระพุทธรูปที่ยังคงหลงเหลือให้เราได้ชม..ชมแล้วก็ได้เห็นธรรมอย่างหนึ่งที่ว่า..
ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง...ทุกสิ่งเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไปในที่สุด
จบเรื่องวัดช้างล้อมแล้ว..ค่ะ อ้อ..ภาพถ่ายที่เห็นชัดแจ่มนั้น เป็นภาพที่กลับมาถ่ายในเช้าวันรุ่งขึ้น..ค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Exploring Guide
ขอให้เพื่อนบล๊อกทุกท่าน มีความสุข มีสุขภาพแข็งแรง ร่ำรวย ๆ ตลอดไป..นะคะ
เพลง แสนคำนึง ๒ ชั้น
ความสามัคคี มีแต่ความเจริญ
มีความสุขกับความสามัคคีในการเชียร์บอลอย่างปลอดการพนัน...นะคะ