หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วันนี้ ขอเปิดบันทึกการเดินทางภาคเหนือช่วงก่อนและระหว่างสงกรานต์ปี ๒๕๕๔ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านได้ชมกัน..นะคะ ทริปนี้ใช้เวลาในการเดินทางรวม ๑๐ วัน เป็นการเดินทางรอนแรมกับญาติพี่น้องจากแม่ฮ่องสอน วัตถุประสงค์หลักคือ การเดินสายทำบุญและท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กัน เริ่มบันทึกหน้าแรกด้วยวัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่...ค่ะ
ถ้าเอ่ยชื่อวัดดอยแม่ปั๋ง น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เพราะเป็นวัดที่หลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระเกจิดังทางภาคเหนือจำพรรษาอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ จนมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ วัดตั้งอยู่ที่อำเภอพร้าว ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๗๕ ก.ม.
ปอป้ามาเยือนกี่ครั้ง ๆ สภาพภายในวัดก็ยังคงความเงียบเหงา ปราศจากผู้คนมาเยี่ยมเยียน หรือมาทำบุญ ผิดกับสมัยที่หลวงปู่แหวนยังมีชีวิตอยู่ ทำให้มองเห็นความจริงของธรรมที่ว่า มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ รุ่งเรืองได้ ก็เสื่อมได้ เป็นธรรมดา ดังนั้น จึงไม่แปลกที่วัดดอยแม่ปั๋งที่มีพื้นที่กว่า ๕๐๐ ไร่ จะตกอยู่ในสภาพ เสื่อม เมื่อปราศจากผู้นำอันเคยเป็นที่เคารพของคนทั่วทุกสารทิศ
จะว่าไปแล้ว มนุษย์เรานี้ก็แปลกนะ เวลามีชีวิตอยู่ รักได้รักดี อยู่ไกลแค่ไหน เดินทางลำบากเพียงใด ก็ยังตะเกียกตะกายไปมาหาสู่ได้เสมอ ๆ แต่ครั้นพอล้มหายตายจาก กลับ ลืมแล้ว ลืมเลย ส่วนตัวของปอป้า ก็เป็นมนุษย์ที่แปลกไปอีกอย่างหนึ่ง คือ เวลาที่พระอาจารย์ดัง ๆ มีชีวิตอยู่ ไม่เคยคิดไปเยี่ยมเยียน ไหว้สา แต่พอท่านละสังขาร ก็จะหาเวลาไปเยือนถิ่นของท่าน ไปกราบไหว้อัฐิธาตุ ไปดูสภาพความจริง ไประลึกถึงคุณงามความดีของท่านเหล่านั้น ปอป้าว่า การไปเยือนยามที่ไม่มีท่านแล้วนั้น สามารถนั่งกราบไหว้ พิจารณาธรรมได้เป็นอย่างดี ไม่มีคนมากมายพุลกพล่านเหมือนสมัยที่ท่านดำรงชีวิตอยู่ ก็ต่างคน ต่างความคิดกันไป..นะคะ
หลวงปู่แหวนเป็นพระอาจารย์องค์หนึ่งที่ปอป้าเลื่อมใสศรัทธาในความมีเมตตาของท่านเป็นอย่างมาก ปอป้าเป็นลูกศิษย์ของท่าน ตั้งแต่สมัยที่หัดนั่งวิปัสสนากรรมฐานใหม่ ๆ อายุยังไม่ถึง ๑๐ ปีเลย เป็นลูกศิษย์ที่ไม่เคยได้พบหน้าอาจารย์ตัวเป็น ๆ สักครั้ง ท่านมีเมตตาสอนกรรมฐานให้ในสมาธิเสมอ ๆ โดยเฉพาะเวลาที่ไปถือศีลอยู่วัด ท่านจะมาปรากฏและอบรมสอนสั่งมิได้ขาด ดังนั้น ความผูกพันเคารพรักจึงมีอยู่มากมาย ทุกครั้งที่มาเชียงใหม่ จะต้องมากราบเยี่ยมอัฐิธาตุของท่าน ทำบุญ ทำทาน อุทิศบุญกุศลถวายท่านเป็นประจำ
ตอนนี้ เรามาระลึกถึงความเป็นมาของหลวงปู่แหวนกันสักหน่อย แต่ประวัติและข้อวัตรที่ท่านเพียรปฏิบัติ มีเล่าขาน กล่าวกันไว้มากมาย ปอป้าคงจะไม่ลงลึกถึงรายละเอียดมากนัก ขอนำแต่ส่วนที่สำคัญ ๆ มาให้อ่านกัน..นะคะ
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ มีชื่อเดิมว่า ญาณ หรือ ยาน รามศิริ เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๐ ที่บ้านหนองบอน ตำบลหนองใน ปัจจุบันเป็นตำบลนาโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย พ่อแม่ คือ นายใส และ นางแก้ว มีอาชีพเป็นช่างตีเหล็ก ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ มีพี่สาวอีกหนึ่งคน
เมื่อมีอายุได้ประมาณ ๕ ขวบ ก่อนมารดาเสียชีวิต ได้สั่งเสียกับท่านไว้ว่า ทรัพย์สมบัติใด ๆ ในโลกนี้ แม่ไม่ยินดี แต่จะยินดีมาก ถ้าลูกจะบวชให้แม่ ไม่ต้องสึกออกมามีลูกมีเมีย ให้ตายในผ้าเหลือง ด้วยคำพูดของแม่นี้เอง ในที่สุดท่านก็ได้บวชและใช้ชีวิตอยู่ในผ้าเหลืองจนมรณภาพ
ท่านบวชเป็นเณรเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๙ อายุได้ ๙ ปี ที่จังหวัดเลย แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น แหวน อยู่จำพรรษาที่วัดโพธิ์ชัย ต่อมาได้ถูกส่งไปเล่าเรียนที่วัดสร้างก่อ อำเภอหัวสะพาน จังหวัดอุบลราชธานี จนอายุครบบวชพระ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑
อัฐิธาตุ และเกศาธาตุ ที่ตกผลึกงดงาม
หลังจากนั้นได้ดั้นด้นไปพบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ด้วยความเลื่อมใสในปฏิปทาและชื่อเสียงดันโด่งดังของหลวงปู่มั่น เมื่อปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นแล้ว คำแรกที่หลวงปู่มั่นสอนสั่ง คือ ต่อไปนี้ให้ภาวนา ความรู้ที่เรียนมา ให้เอาใส่ตู้ไว้ก่อน ให้ตั้งใจภาวนา อย่าได้ประมาท ให้มีสติอยู่ทุกเมื่อ จงอย่าเห็นแก่การพักผ่อนหลับนอนให้มาก
ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ท่านได้ตัดสินใจเปลี่ยนฝ่ายจากมหายานมาเป็นพระธรรมยุต ที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ และต่อมาได้พบกับหลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นสหธรรมิก แยกกันออกแสวงหาความวิเวกสันโดษ อยู่ป่าเขา โดยหลวงปู่แหวนบำเพ็ญธรรมอยู่ที่ป่าเมี่ยง อำเภอแม่สาย
ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๙๘ อันเป็นปีที่หลวงปู่แหวน จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านปง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพียงลำพัง เกิดอาพาธเป็นแผลที่ขา อักเสบ ได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างยิ่ง พระอาจารย์หนู สุจิตโต แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ จึงพาหมอไปทำการรักษาให้ โดยการผ่าตัดสด ไม่มีการฉีดยาแต่อย่างใด ท่านอดทนให้รักษาจนหายในที่สุด
อีกหลายปีต่อมา พระอาจารย์หนูเห็นว่า หลวงปู่แหวนอายุแก่มากแล้ว ไม่มีใครดูแล จึงได้ชักชวนญาติโยมพากันไปนิมนต์ท่านให้มาจำพรรษาที่วัดดอยแม่ปั๋ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยยอมให้ท่านทำตามอธิษฐานจิตของท่านว่า จะไม่รับนิมนต์ ไม่ขึ้นรถ ไม่ลงเรือ แม้จะอาพาธหนักเพียงใด ก็จะไม่ยอมเข้าไปนอนในโรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็จะให้สิ้นไปในป่าอันเป็นที่อยู่ แล้วท่านก็ได้ปฏิบัติตามที่ตั้งใจไว้ได้
ปิดท้ายรายการ ด้วยธรรมชาติอันสวยงาม และการให้อาหารปลาเป็นทาน
ความจริง หลวงปู่แหวนมีโรคประจำตัว คือเป็นแผลเรื้อรังที่ก้นกบ มีอาการคันอยู่เนือง ๆ เมื่อใดที่เกิดการอักเสบ ก็จะเจ็บปวดทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ท่านยังเป็นต้อหินที่ตาข้างขวาด้วย จนปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ประสบอุบัติเหตุเซล้มลง ขณะกำลังครองผ้าจีวร ทำให้เจ็บบั้นเอวและกระทบกระเทือนถึงกระดูกสันหลัง ต้องนอนอยู่กับที่ ส่งผลให้สุขภาพทรุดโทรม ซูบผอม เหนื่อยอ่อน คณะแพทย์ได้เข้าไปเยี่ยวยารักษาให้ท่านเป็นอย่างดีตลอดมา จนวาระสุดท้าย วันอังคารที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ หลวงปู่แหวนก็ได้ละสังขารอันเป็นขันธวิบากไปด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ ๙๘ ปี
ถึงแม้หลวงปู่แหวนจะมรณภาพไปกว่า ๒๖ ปีแล้วก็ตาม แต่ปอป้าเชื่อว่า ยังมีศิษยานุศิษย์อีกจำนวนมาก ยังคงระลึกถึงท่านอยู่ แต่ก็นะ..ไม่อยากให้คิดถึงอย่างเดียว หากมีโอกาศไปเชียงใหม่ หรือผ่านไปทางอำเภอพร้าว อยากให้แวะเข้าไปกราบอัฐิธาตุของท่าน สละทรัพย์เท่าที่พอจะสละได้ ทำบุญกับวัดที่ท่านเคยจำพรรษาอยู่ หรือจะร่วมทำบุญกับมูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ก็ได้ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของท่าน ช่วยดำรงวัดดอยแม่ปั๋งที่กำลังขาดทุนทรัพย์ในการดูแลรักษากันบ้างก็จะดีไม่น้อยทีเดียว ฝากไว้ด้วย..นะคะ
ป.ล.
ปอป้าขอลาบล๊อก ๔-๕ วัน..นะคะ
ติดภารกิจกับคุณพี่ชายที่ลงมาจากดอยแม่ฮ่องสอน..ค่ะ
ฝากความรัก ความคิดถึงไว้ให้เพื่อนบล๊อกทุกท่าน...นะคะ
เพลง สักขีแม่ปิง
| | |
| ถ้าจะโหวตให้ปอป้า...สาขา Dharma Blog...นะคะ ขอบคุณ...ค่ะ
| |
| | |
ยิ่งกว่าที่มารดาบิดา หรือญาติทั้งหลายใดจะทำให้ได้
หลับอย่างมีความสุข ตื่นขึ้นมาพบแต่สิ่งที่ดีงาม ตลอดไป...นะคะ