หลังจากกลับมาจากสุโขทัย คุณเพื่อนเลิฟแห่งค่ายกระทิงแดงบอกว่า ยังทำงานรับใช้เพื่อนสาวเหลือน้อยทั้งสองไม่เสร็จ เธอว่ายังขาดอุทยานประวัติศาสตร์อีกหนึ่งแห่งที่ยังไม่ได้พาไป ว่าแล้วเราทั้งสามคนก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าอีกครั้งหนึ่ง ออกเดินทางกันในเช้าวันเสาร์ มุ่งหน้าสู่จังหวัดเพชรบูรณ์ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อุทยานในดวงใจของคุณนายองค์การฯ..ค่ะ
เมืองโบราณศรีเทพ ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๒๔๐ ก.ม. เมืองศรีเทพ เป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ มีลักษณะเป็นเมืองแฝดที่สร้างอยู่ติดกัน ๒ เมือง เรียกว่าเมืองในและเมืองนอก พื้นที่ทั้งสองเมืองรวมกันประมาณ ๒,๘๘๙ ไร่ หรือประมาณ ๔๗ ตารางกิโลเมตร
เมืองใน คือเมืองที่มีรูปร่างกลม พื้นที่ประมาณ ๑,๓๐๐ ไร่ มีช่องประตูเข้าออก ๘ ช่องทาง มีโบราณสถานสำคัญขนาดใหญ่ ๓ แห่ง คือ ปรางค์ศรีเทพ ปรางค์สองพี่น้อง และเขาคลังใน และโบราณสถานขนาดเล็กกระจายอยู่ในพื้นที่อีก ๓๗ แห่ง ปัจจุบันโบราณสถานเหล่านี้ได้รับการขุดแต่งและบูรณะเกือบหมดแล้ว ในพื้นที่ยังมีสระน้ำหนองน้ำกระจายอยู่ทั่วไป จำนวน ๗๐ สระ
เมืองนอก คือเมืองที่มีรูปร่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองใน พื้นที่ประมาณ ๑,๕๘๙ ไร่ มีช่องประตูเข้าออก ๗ ช่องทาง มีโบราณสถานขนาดเล็ก ๕๔ แห่ง และสระน้ำกระจายอยู่ทั่วไปราว ๓๐ สระ
นอกเมืองออกไปยังมีโบราณสถานอีกราว ๕๐ แห่ง ที่สำคัญคือ เขาคลังนอกและปรางค์ฤาษี ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ และถ้ำเขาถมอรัตน์ซึ่งเป็นโบราณสถานแห่งเดียวของเมืองศรีเทพที่ตั้งอยู่บนเขาทางทิศตะวันตกของเมือง
เมืองศรีเทพเดิมเป็นเมืองที่รกร้างอยู่กลางป่า มีชื่อที่ชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกขานกันตามคำบอกเล่าของพระธุดงค์ว่า " เมืองอภัยสาลี " จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ชื่อเมืองศรีเทพจึงปรากฏเป็นครั้งแรก เนื่องจากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จฯ มาตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์ในปีนั้น ได้ทรงตั้งพระทัยมาสืบหาเมืองโบราณชื่อ " เมืองศรีเทพ " ที่ทรงเคยพบชื่อนี้ในเอกสารโบราณสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ ทรงตั้งสมมติฐานว่า เมืองศรีเทพคงอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก และเมื่อได้เสด็จฯ มาสำรวจเมืองโบราณที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเมืองอภัยสาลีแห่งนี้ ทรงพบว่าเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีคูเมืองกำแพงเมืองและโบราณสถานโบราณวัตถุมากมาย จึงทรงสันนิษฐานว่าเมืองโบราณนี้คงจะเป็นเมืองศรีเทพที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว นับได้ว่าสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นผู้ค้นพบและเรียกชื่อเมืองแห่งนี้ว่าเมืองศรีเทพเป็นพระองค์แรก
พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมชุมชนดั้งเดิม (พุทธศตวรรษที่ ๕-๑๑) ชุมชนแรกเริ่มที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่บริเวณเมืองศรีเทพมีมาตั้งแต่เมื่อราว ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว การขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองศรีเทพ และบริเวณใกล้เคียง ได้พบหลักฐานที่เกี่ยวกับพิธีกรรมการฝังศพของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย คือโครงกระดูกมนุษย์ที่ถูกฝังพร้อมกับเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับ ที่กำหนดอายุได้ในราวพุทธศตวรรษที่ ๕-๗
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๑๑ อารยธรรมความเจริญจากอินเดียได้แพร่เข้ามายังแหลมอินโดจีนโดยการเดินทางติดต่อค้าขายของพ่อค้าชาวอินเดียและอาหรับ ทำให้ชุมชนดั้งเดิมในภูมิภาคนี้เริ่มมีการรับวัฒนธรรมความเจริญจากภายนอกและค่อย ๆ พัฒนาชุมชนขึ้นจนเป็นสังคมเมืองในที่สุด
สมัยที่รับอารยธรรมทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖) เมื่อชุมชนยอมรับความเจริญก้าวหน้าและคติความเชื่อจากภายนอก ทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นเป็นสังคมเมือง เริ่มมีการเลือกทำเลที่ตั้งชุมชนเมืองที่เหมาะสมโดยเลือกอยู่ห่างจากแม่น้ำป่าสัก ๕ ก.ม. เพื่อปัองกันปัญหาน้ำท่วม ขณะเดียวกันก็แก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้โดยขุดสระน้ำและคูเมืองขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้และยังเป็นเครื่องกีดขวางมิให้ข้าศึกศัตรูเข้ามารุกรานได้โดยง่าย
ลักษณะผังเมืองศรีเทพในระยะแรกคือ เมืองรูปกลม ซึ่งเป็นลักษณะผังเมืองที่นิยมในวัฒนธรรมทวารวดี (คือวัฒนธรรมที่เจริญอยู่ในบริเวณภาคกลางของประเทศไทยในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖)
โบราณสถานต่าง ๆ เช่น โบราณสถานเขาคลังในและโบราณสถานขนาดเล็กอีกหลายแห่ง ตลอดจนโบราณวัตถุจำนวนมากที่พบในเมืองศรีเทพ เช่นพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ และจารึกที่เกี่ยวเนื่องในศาสนาพุทธแบบเถรวาทและมหายาน ต่างเป็นหลักฐานศิลปกรรมในแบบวัฒนธรรมทวารวดีที่แสดงให้เห็นถึงการแพร่เข้ามาและการยอมรับวัฒนธรรมทวารวดีของชาวเมืองศรีเทพ
สมัยที่รับอารยธรรมเขมร (พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘) เมืออาณาจักรทวารวดีเริ่มเสื่อมลงในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นเวลาเดียวกันที่อาณาจักรเขมรเข้มแข็งขึ้น อิทธิพลวัฒนธรรมเขมรจึงเริ่มเข้าไปครอบงำชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดีเดิม เมืองศรีเทพก็เช่นกัน ในช่วงเวลานี้คงจะได้มีการสร้างเมืองที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมเพิ่มขึ้นทางทิศตะวันออก คือส่วนที่เรียกว่าเมืองนอก ซึ่งลักษณะการสร้างเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมนั้นเป็นความนิยมในวัฒนธรรมเขมร ในช่วงสมัยนี้ ปรากฏศาสนสถานในศาสนาฮินดูขนาดใหญ่ ๒ แห่งภายในเมือง คือปรางค์ศรีเทพ และปรางค์สองพี่น้อง กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ และต่อมาปรากฏหลักฐานว่า อาจจะได้มีการเปลี่ยนแปลงศาสนสถานในศาสนาฮินดูทั้งสองแห่งนี้ให้เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนามหายาน ตามแบบวัฒนธรรมเขมรในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘
การล่มสลายของเมืองศรีเทพ (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘) เมืองศรีเทพพัฒนาตนเองจากชุมชนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย จนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นชุมชนเมืองที่รับวัฒนธรรมทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ และรับวัฒนธรรมเขมรในพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ รวมระยะเวลาที่เจริญอยู่ในฐานะชุมชนเมืองไม่น้อยกว่า ๗๐๐ ปี ในขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เมืองนี้ล่มสลายหรือถูกทิ้งร้างไป ข้อสันนิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในขณะนี้คือ อาจเกิดจากโรคระบาดที่ร้ายแรง
ด้วยลักษณะภูมิประเทศของโบราณสถานที่อยู่กระจัดกระจายและอากาศที่ร้อนอบอ้าว ปอป้าขอแนะนำว่า หากจะไปเยี่ยมชม ควรไปช่วงหน้าหนาวจะดีกว่า เพราะขนาดปอป้าไปหน้าฝน ยังร้อนมาก ๆ ร้อนยิ่งกว่าสุโขทัยที่ไปในหน้าร้อนเสียอีก พอกลับมาก็เลยไม่สบายไปตาม ๆ กัน ยิ่งคนที่มีโรคประจำตัวอย่างปอป้า ยิ่งลำบากกว่าคนอื่นหลายเท่า อ่ะ..วันนี้ ขอแนะนำเมืองศรีเทพเพียงแค่นี้ก่อน บล๊อกหน้าเราค่อยเข้าไปชมโบราณสถานแต่ละแห่งกัน...นะคะ
ขอบคุณข้อมูล หนังสือนำชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ
โดย สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
เพลง มอญอ้อยอิ่ง
ได้สิ่งใด พึงพอใจในสิ่งนั้น
มีความสุขในชีวิตด้วยความพอเพียงและพอใจ ตลอดไป..นะคะ
ระยะนี้ ปอป้า ผลุบ ๆ โผล่ ๆ หน่อย..นะคะ งานราษฎร์-งานหลวง....เพียบ
อากาศหนาว ปอป้ามีความสุขมากมาย เพราะคุณป่วนไม่ชอบอากาศเย็น ๆ
หน้าร้อนเป็นทีของคุณป่วน ส่วนหน้าหนาวเก๊าะเป็นทีของปอป้า ทีใคร..ทีมัน...นิ...อิ อิ
คนที่ไม่ชอบหน้าหนาว ก็ระวังรักษาสุขภาพด้วย..นะคะ
คิดถึงเสมอ..ค่ะ