ศาลหลักเมือง มีประวัติความเป็นมาว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธียกเสาหลักเมืองขึ้น (องค์สูง) เป็นเสาไม้ชัยพฤกษ์ มีไม้แก่นจันทร์ประกับ (ประกับ ในที่นี้แปลว่า ประกอบเข้าทั้งสองข้างเพื่อให้แน่น) นอกยอดเสารูปบัวตูม เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๔๔ ตรงกับสุรทินที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เวลา ๐๖.๕๔ น. ณ ชัยภูมิใจกลางพระนครใหม่ที่พระราชทานนามว่า กรุงรัตนโกสินทร์อินท์อโยธยา หรือเรียกต่อกันมาว่า กรุงเทพมหานคร สถิตสถาพร เป็นมิ่งขวัญประชาชนชาวไทยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงตรวจดวงชาตาของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ ณ ราศีกันย์ เป็นอริแก่ลัคนาดวงเมืองกรุงเทพฯ เห็นได้ชัดว่า ดวงชาตาไม่กินกับดวงเมือง พระองค์จึงแก้เคล็ดดวงเมือง โดยโปรดให้ขุดพระหลักเมืององค์เดิม ในการนี้พระองค์ได้โปรดให้ช่างแปลงรูปศาลเสียใหม่ จากรูปศาลาเป็นรูปปรางค์ และทรงบรรจุดวงเมืองเดิมลงบนเสาพระหลักเมืองใหม่ ณ วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนอ้าย จุลศักราช ๑๒๑๔ ตรงกับสุรทินที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๓๙๕ เวลา ๐๘.๔๘ นาฬิกา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเสาหลักเมืองต้นใหม่แทนต้นเดิม (องค์ใหญ่) เป็นเสาไม้สักเป็นแกนอยู่ภายใน ประกับด้วยไม้ชัยพฤกษ์ยอดเม็ดทรงมัณฑ์ เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยทั้งหลายอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ประสบความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาถาวรยิ่งขึ้นปัจจุบัน องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานกิจการศาลหลักเมือง ร่วมกับกรมศิลปากร พิจารณาเห็นว่าสมควรปฏิสังขรณ์ศาลให้สง่างามยิ่งขึ้น จึงได้เปลี่ยนแปลงรูปศาลเป็นแบบจัตุรมุข ส่วนยอดปรางค์ให้คงไว้เช่นเดิม การปฏิสังขรณ์ครั้งนี้ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ สยามินทราธิราช รัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จมาทำพิธีสังเวยสมโภช เมื่อวันจันทร์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๑๓ เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกาต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการดำเนินการปรับปรุงศาลหลักเมืองให้มีความงดงามบริบูรณ์ สมกับเป็นที่สถิตแห่งพระหลักเมือง และให้เชิญเสาหลักเมืองต้นเดิมไปประดิษฐานไว้คู่กับเสาหลักเมืองต้นปัจจุบัน และได้สร้างหอเทพารักษ์ เพื่อเป็นที่สถิตแห่งองค์เทพารักษ์ทั้ง ๕ ได้แก่ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าหอกลอง และเจ้าเจตคุปต์ ทั้งนี้ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานศาลหลักเมือง เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๑๘
เรื่องราวเกี่ยวกับการผูกดวงเมือง และการสร้างหลักเมืองแต่ละครั้งนั้น มีเรื่องเล่าสืบต่อ ๆ กันมาเป็นเวลานานเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว สมัยที่ปอป้าเป็นเด็ก ก็เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้อยู่เหมือนกัน ยังคิดว่า ทำไมจะสร้างหลักเมืองทีหนึ่ง ถึงน่ากลัว และดูโหดร้ายอย่างนั้น แต่เรื่องราวเหล่านั้น ก็หาคำตอบหรือคำยืนยันไม่ได้ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่ายังมีเล่าให้เด็ก ๆ รุ่นใหม่ฟังกันอยู่อีกหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ ปอป้าไม่เคยเล่าให้ลูกหลานฟังสักที เพราะไม่อยากให้เด็ก ๆ เชื่อในเรื่องที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน และเด็กสมัยนี้ฉลาดกว่าเด็กสมัยก่อนมาก (หลอกยาก..อิ อิ) เรื่องที่เล่า ๆ กันมา มีอย่างนี้...ค่ะตำนาน อิน จัน มั่น คง... มีเรื่องเล่าสืบกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ว่าในพิธีสร้างพระนคร ต้องทำพิธีฝังอาถรรพ์ ๔ ประตูเมือง และ พิธีฝังเสาหลักเมือง การฝังอาถรรพ์ กระทำด้วยการป่าวร้องเรียกผู้คนที่มีชื่อ อิน-จัน-มั่น-คง ไปทั่วเมือง เมื่อชาวเมืองผู้เคราะห์ร้ายขานรับ ก็จะถูกนำตัวมาสถานที่ทำพิธี และถูกจับฝังลงหลุมทั้งเป็น ทั้ง ๔ คน เพื่อให้วิญญาณของคนเหล่านั้นอยู่เฝ้าหลักเมือง เฝ้าประตูเมือง เฝ้าปราสาท คอยคุ้มครองบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรูและปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บมิให้เกิดแก่คนในนคร เรื่องเล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ไม่มีบันทึกในพงศาวดาร
สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย
การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้
มีความสุขกับบุญกุศลที่ตั้งใจทำ ตลอดไป..นะคะ