วันนี้ นำเรื่องราวการผจญภัยตะลุยอุทยานประวัติศาสตร์มาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านได้ชมกัน..นะคะ ทริปนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางอีก ๒ ท่าน เป็นเพื่อนที่เรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ระยะเวลาการคบหาก็เลย ๔๐ กว่าปีมาแล้ว คนหนึ่งคือสุภาพบุรุษผู้มีหัวโขนอันใหญ่ยักษ์อยู่บนศีรษะ เธอคือผู้ตรวจการค่ายกระทิงแดง รับอาสามาเป็นสารถีขับรถและบริการเพื่อนสาวเหลือน้อยทั้ง ๒ หน่อ ฉายา " ทั่นชาย " ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสแห่งค่ายโทรคมนาคม องค์การโทรศัพท์ ฉายา คุณนาย พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ขับรถไปเหน็บแนมกันไปให้พอคันหัวใจและอารมณ์ สนุกสนานไปตามประสาเพื่อนเลิฟไม่รู้จบ..
แวะเข้าพิษณุโลก กราบพระพุทธชินราศ และหาอาหารเที่ยงทานกัน วันนั้นเป็นวันวิสาขะบูชา ผู้คนพากันมาทำบุญล้นหลาม ไหว้พระเสร็จแล้วเดินผ่านบริเวณโต๊ะหมอดูทั้งหลาย เราทั้งสามมองไปที่คุณยายท่านหนึ่ง พร้อมกับกระซิบกระซาบกันว่า แก่แล้วเหตุไฉนจึงต้องมานั่งตรากตรำอยู่อย่างนี้ ว่าแล้วก็แถเข้าไปพูดคุยทักทาย จะเอาเงินให้ท่านเปล่า ๆ ท่านก็ว่า มามะ นังหนู ยายจะดูดวงให้ ความจริงไม่อยากดูดวงหรอกนะ แต่ชอบคำว่า นังหนู ของคุณยายมาก เพราะอายุปอป้าก็ปูนนี้แล้ว แต่มีคนมาเรียกนังหนู แหม..มันทำให้รู้สึกว่า เอ๊าะแอ๊ะจั๊กกะจี้หัวใจพิลึก..อิ อิ งานนี้ ปอป้า เป็นหนังหน้าหนึ่งให้คุณยายทำนายทายทัก ทายไป พวกเราก็หัวเราะกันคิกคัก จะไม่ให้หัวเราะได้ไงล่ะ ก็คุณยายท่านมั่วได้มันส์
พ่ะย่ะค่ะ...(ฮา)
ออกจากพิษณุโลก ก็ตรงเข้าที่พักที่ศรีสัชนาลัยรีสอร์ททันที จากนั้นออกเดินทางไปยังอุทยานฯ ปรากฏว่าคุณเพื่อนขับรถอีท่าไหนไม่รู้ โน่น ๔๑ ก.ม. ไปโผล่ที่อุทยานเหมือนกัน แต่เป็นอุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย ของกรมป่าไม้..
(แต่ววว..) เจ้าหน้าที่หัวเราะเห็นเหงือกหมดปาก บอกว่าคนต่างถิ่นมักจะหลงมาที่นี่เสมอ เจ้าจงขับรถกลับไปเริ่มต้นใหม่และค้นหาอุทยานประวัติศาสตร์..เน้นว่า..อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย มิใช่อุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย ก็เลยขอบอกเพื่อน ๆ ไว้ตรงนี้ว่า ถ้าจะไปชมโบราณสถานต้องไปอุทยานประวัติศาสตร์ฯ แต่ถ้าจะไปชมป่า ชมนก
ชมไม้ ต้องไปที่อุทยานแห่งชาติฯ งานนี้ก็เลยมีรายการชะยันโต โทษกันไปโทษกันมาตลอดทาง กว่าจะไปถึงอุทยานประวัติศาสตร์ฯ ก็เป็นเวลาพระอาทิตย์กำลังจะเลิกงานพอดี เจ้าหน้าที่ที่ดูแลอยู่ใจดีมาก ถามว่ามาจากไหน พอรู้ว่าหมู่เฮาหลงทางมาด้วย เลยรีบกุลีกุจอเปิดประตูให้เข้าไปชมได้เป็นกรณีพิเศษชนิดไม่ต้องเสียค่าเข้าชมด้วย..อิ อิ วันนั้นก็เลยได้เวียนเทียนที่วัดนางพญาสมใจปอป้าไปเลย...(เฮ)
ก่อนเข้าสู่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ต้องแวะสักการะพระยาลิไท เสียก่อน
ส่วนต้นไม้ไร้ใบสีขาวโพลน อยู่ในอุทยานฯ เวลาโพล้เพล้ดูแล้ว...บรื๋อ..
ถึงแล้ว..อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ไม่ใช่อุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย..(อิอิ)
น้องหมาประชาสัมพันธ์ที่น่ารัก รีบกระดิกหางเข้ามาต้อนรับ
ส่วนนกตัวน้อยที่เห็นนั้น เป็นลูกนกที่น่าสงสารมาก เพราะไม่สบาย เดินไปเดินมาอยู่ในอุทยานฯ
รายละเอียดของแต่ละสถานที่จะค่อย ๆ นำเสนอต่อไป..นะคะ วันนี้เรามาทำความรู้จักเมืองศรีสัชนาลัยกันก่อนดีกว่า..ค่ะ เมืองศรีสัชนาลัย เดิมชื่อว่า เมืองเชลียง เมื่อครั้งที่แคว้นสุโขทัยได้รับการผนวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรสยามนั้น ทางฝ่ายอยุธยาเรียกแคว้นสุโขทัยว่า เมืองสวรรคโลก มีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นโท เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียกรุง สวรรคโลกชำรุดทรุดโทรมและถูกทิ้งร้างไปในที่สุด ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ ได้ย้ายที่ตั้งเมืองใหม่มาอยู่ใต้ตัวเมืองเดิมลงไป และก็ย้ายอีกครั้งไปตั้งที่บ้านวังไม้ขอน ซึ่งปัจจุบันนี้คือ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย นั่นเอง
ตามประวัติศาสตร์การขุดค้นพบเมือง จารึกไว้ว่า เดิมเป็นพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำยมและที่ลาดเชิงเขาพระศรี เขาใหญ่ เขาสุวรรณคีรี และเขาพนมเพลิง มีการขุดค้นพบร่องรอยของชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ รวมทั้งพบหลักฐานในยุคสมัยทวารวดีและวัฒนธรรมร่วมสมัยลพบุรี จากหลักฐานโบราณวัตถุ ทำให้ทราบว่าก่อนหน้าที่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จะเผยแพร่เข้ามา ศรีสัชนาลัยปรากฏร่องรอยของศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาลัทธิมหายานมาก่อน
ศิลปะเลียนแบบของโบราณ มีให้เลือกซื้อมากมายตามบ้านที่อยู่ริมถนน
หนังสือ Exploring Guide กล่าวถึงเมืองศรีสัชนาลัยไว้ดังนี้..ค่ะ
" เมืองศรีสัชนาลัยอยู่ห่างจากสุโขทัยไปทางเหนือราว ๖๐ ก.ม. ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เมืองนี้ตั้งอยู่บนริมแม่น้ำยม และอยู่บนเส้นทางคมนาคมโบราณที่เชื่อมต่อไปยังอุตรดิตถ์ เมืองงาว แพร่ พะเยา เชียงแสน และหลวงพระบาง นักวิชาการสันนิษฐานว่า เมืองแห่งนี้ยุคแรกตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่แคบยาว มีแม่น้ำยมโอบโค้งเกือบรอบ มีชื่อว่า เมืองเชลียง
จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่า เริ่มมีชุมชนเกิดขึ้นตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๙ และพัฒนาต่อมาจนกลายเป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งในบริเวณนี้ อจ. วินัย พงศ์ศรีเพียร พบว่าเอกสารจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง อายุราวพุทธศตวรรษที่
๑๖-๑๗ ได้กล่าวถึงเมืองแห่งหนึ่งชื่อ เฉิงเหลียง ซึ่งคงหมายถึงเมืองเชลียงนี่เอง คาดว่าเมืองนี้เป็นเมืองการค้าแห่งหนึ่งที่ติดต่อกับเมืองรอบ ๆ โดยเฉพาะเมืองพระนคร กัมพูชา ซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ในเวลานั้น ต่อมาในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เมื่อเมืองคับแคบหรืออาจประสบปัญาน้ำท่วม จึงขยายเมืองไปด้านบน สร้างเป็นเมืองใหม่เรียกว่า
เมืองศรีสัชนาลัย
นักวิชาการอธิบายว่า แม้จะมีเมืองสุโขทัยเป็นราชธานีของแคว้นอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็มีการยกย่องเมืองศรีสัชนาลัยให้มีความสำคัญเทียบเท่าเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งด้วย กระทั่งจารึกหลายหลักฐานกล่าวถึงกษัตริย์ที่ครองราชย์ ก็มักกล่าวว่าทรงครองอยู่ทั้งสองเมือง โดยเรียกเมืองทั้งสองควบคู่กันเสมอว่า ศรีสัชนาลัยสุโขทัย ดังเช่นในจารึกหลักที่สอง ที่กล่าวถึงพ่อขุนศรีนาวนำถุมว่าทรงครองราชย์อยู่ใน นครสองอัน คือ นครสุโขทัย และ นครศรีสัชนาลัย
ดร. ธิดา สาระยา อธิบายว่า แคว้นสุโขทัยมีการปกครองในระบบที่เรียกว่า เมืองคู่ ที่เกิดจากการรวมเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัย ซึ่งเป็นเมืองเครือญาติกันมาแต่ดั้งเดิมเข้าเป็นแคว้นใหญ่ภายใต้กษัตริย์องค์เดียว เพื่อรวมเอาทรัพยากรเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งใช้เป็นฐานพลังที่จะขยายตัวให้เป็นแคว้นใหญ่ต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ เมืองศรีสัชนาลัยยังมีความสำคัญในฐานะเป็นศูนย์กลางผลิตเครื่องปั้นดินเผาขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า
สังคโลก ซึ่งมีการผลิตอย่างต่อเนื่องยาวนานจนถึงสมัยอยุธยา จึงถือว่าเมืองศรีสัชนาลัยเป็นเมืองทรัพยากรสำคัญของแคว้น ซึ่งเป็นตัวจักรหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุโขทัยให้มั่งคั่ง "
อุทยานประวัติศาสตรีศรีสัชนาลัย อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศเหนือประมาณ ๕๕๐ ก.ม. ตัวอุทยานประวัติศาสตร์ฯ อยู่ในเขตตำบลศรีสัชนาลัย พื้นที่อุทยานทั้งหมดประมาณ ๔๕ ตาราง ก.ม. มีโบราณสถานที่สำรวจแล้ว ๒๐๔ แห่ง ที่สำคัญได้แก่ วัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดนางพญา วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง ฯลฯ
วันนี้ชมภาพเรียกน้ำย่อยแค่นี้ก่อน..นะคะ บล๊อกหน้าเริ่มเรื่องราวในอุทยานฯ แน่นอน..ค่ะ
ขอความสุข-สวัสดี จงมีแก่เพื่อนบล๊อกทุกท่าน...นะคะ
ความดี อันคนดีทำง่าย ความดี อันคนชั่วทำยาก
คิดดี ทำดี เชียร์บอลอย่างมีความสุข...นะคะ