รีวิวนิยายแปลที่อ่านช่วงนี้
สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาเล่าสุู่กันฟังเกี่ยวกับนิยายแปลค่ะเกือบทุกเล่มในนี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ด้วย ใครสนใจเล่มไหนก็ลองไปหามาอ่าน มาชมกันนะคะ
มาเริ่มกันที่เล่มแรก me before you - Jojo Moyes

หนังสือเล่มนี้พูดถึงวิลล์ เทรเนอร์ผู้ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่มั่นใจในตัวเองมาก เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ทุกด้าน ทั้งการงาน การผจญภัย และความรัก จนวันนึงเกิดอุบัติเหตุทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัว แล้วได้มาพบกับลูอิซ่าเพราะคาเฟ่ที่เธอทำงานอยู่ปิดตัวลงต้องหางานใหม่ ลูต้องคอยดูแลพระเอกทำหน้าที่คอยจับตาดูวิลล์ และเป็นเพื่อนคุยเนื่องจากเขาพยายามที่จะฆ่าตัวตายหลายครั้งเพราะรับไม่ได้กับสภาพที่เป็นอยู่ แฟนสาวที่คบกันก็ไปแต่งงานกับเพื่อนร่วมงานเก่า ช่วงแรกลูต้องอดทนอย่างมากกับความเอาแต่ใจ และร้ายกาจของพระเอกที่หงุดหงิดอารมณ์เสียตลอดเวลา แต่แล้ววันหนึ่งพวกเขาสองคนก็เข้ากันได้ดี วิลล์พยายามสอนการใช้ชีวิตที่คุ้มค่าให้กับลู ให้เธอพยายามทำสิ่งใหม่ๆ ท้าทายความสามารถตัวเอง ให้เธอดูหนัง อ่านหนังสือที่แตกต่างจากเดิม เนื่องจากเธอเป็นคนที่พอใจในชีวิตของตัวเองไม่เคยคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลง จนพวกเขาเริ่มจะตกหลุมรักกัน ลูก็พบว่าสาเหตุที่เธอต้องมาทำงานที่นี่เพราะเธอต้องมาดูแลผู้ป่วยก่อนตาย วิลล์ตัดสินใจทำอัตวินิบาตกรรมที่คลินิกในสวิสเซอร์แลนด์ ลูเสียใจมาก แต่ท้ายที่สุดเธอก็พยายามพาเขาไปทำกิจกรรมต่างๆเพื่อให้เขาเปลี่ยนใจ
เราชอบหนังสือเล่มนี้มากเพราะว่าชอบสิ่งที่วิลล์สอนลูเรื่องการใช้ชิวิต การออกไปพบเจอสิ่งใหม่ๆเพราะการที่เราอยู่ที่เดิมไม่อาจทำให้เราได้คำตอบที่แท้จริงว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีอยู่แล้วมันดีที่สุดแล้วจริงๆรึเปล่า เพราะยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างภายนอกที่เราไม่เคยไปสัมผัส เป็นหนังสือที่ทำให้เราพยายามออกไปใช้ชีวิต ไปทำสิ่งใหม่ๆเลิกหาข้ออ้างหรือตามความต้องการของใคร
เล่มที่สองคือภาคต่อของเรื่องแรก after you - Jojo Moyes

เล่มนี้จะพูดเรื่องราวของลูหลังจากที่หมดสัญญาการทำงานกับครอบครัวเทรเนอร์ เธอได้ออกเดินทางไปปารีสตามคำแนะนำของวิลล์ ออกไปใช้ชีวิตไม่อยู่แค่ในเมืองเล็กๆอีกอย่างเคย แต่เธอกลับไม่รู้สึกมีความสุขเหมือนที่คิด วันหนึ่งเธอก็ได้มาทำงานที่บาร์แห่งหนึ่ง และได้พบกับแซมหนุ่มทำงานหน่วยกู้ชีพที่มาช่วยเธอ เหตุเพราะเธอตกตึกจากชั้นสองด้วยความบังเอิญที่มีเด็กสาวคนหนึ่งทักเธอระหว่างที่เธอยืนหมิ่นเหม่อย่างเศร้าสร้อยแต่ก็ไม่ได้คิดฆ่าตัวตาย แล้ววันหนึ่งเธอก็พบว่าคนที่ทำให้เธอต้องตกตึกก็คือ ลิลี่ลูกสาวของวิลล์เด็กสาวเจ้าปัญหาและต้องการที่จะรับรู้เรื่องราวของพ่อจากเธอ เพราะรู้ว่าเธอเคยทำงานให้วิลล์มาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลูต้องเสียใจอย่างมากที่วิลล์ไม่เคยบอกเธอมาก่อน แต่แล้วเธอก็พบว่าแม้แต่วิลล์เองก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน แล้ววันนึงเธอก็จำเป็นต้องดูแลลิลี่ให้เธออยู่ร่วมห้อง ทำให้ทั้งสองคนต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขจากปัญหาต่างๆที่ลิลี่สร้าง ส่วนตัวลูเองก็เข้าใจเรื่องแซมผิดว่าเขาเป็นพ่อหม้ายบ้ากาม แต่พอเริ่มมีใจให้กับแซมเธอก็ยังไม่สามารถรักเขาได้หมดใจเพราะกลัวรู้สึกผิดต่อวิลล์ ความรู้สึกนี้เองที่ทำให้ความรักของทั้งสองเกือบต้องล่ม
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกว่ามองคนทำงานบนรถหน่วยกู้ชีพว่าคือฮีโร่ แซมและทีมทำให้เราเห็นว่าต้องใช้ความอดทน และมีน้ำใจแค่ไหนในการทำงาน เพราะพวกเขาอาจจะต้องไปเจอสถานการณ์คนเมาอาละวาดใส่ คนสร้างสถานการณ์ พวกเขาไม่ใช่แค่ลงไปช่วยชีวิตเอาขึ้นเตียงสนามแล้วจบ เพราะกว่าจะเอาตัวผู้ป่วยขึ้นเตียง กว่าจะออกสถานการณ์ได้ หรือกว่าจะถึงโรงพยาบาลมันไม่ง่ายเลย พวกเขาต้องเสี่ยงชีวิต และพบว่าสิ่งที่เราคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเขียนออกมากลับตาละปัดสิ้นเชิงเป็นมุมใหม่ที่เราได้อ่าน เปลี่ยนฉากจบในจินตาการที่คิดกับเรื่องแรกอย่างรุนแรงหลังจากผู้เขียนเขาเขียนต่อมาแบบนี้
เล่มที่สามคือ STILL ALICE - LISA GENOVA (คือ...อลิซ)

เล่มนี้เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับอลิซผู้หญิงที่เป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่ฮาวาร์ด เธอประสบความสำเร็จในการทำงานมาก มีครอบครัวที่ดี ลูกสองคนเรียนจบและทำงานมั่นคง ส่วนลูกสาวคนเล็กเธอมักจะต้องทะเลาะด้วยเสมอเพราะยอมไม่เรียนมหาวิทยาลัยอย่างที่เธอต้องการแต่กลับชอบการแสดง วันหนึ่งระหว่างที่อลิซกำลังเดินออกกำลังกายขากลับตรงทางแยกเธอกลับจำไม่ได้ว่าเธอต้องเลี้ยวไปทางไหน เธอไม่คุ้นชินกับทางที่เดินมาเป็นร้อยๆครั้ง เธอเริ่มลืมเรื่องที่จะพูดหน้าชั้น ลืมผู้คน ลืมแม้แต่บ้านของตัวเอง ทุกอย่างเริ่มจะแย่ลงเธอเริ่มที่จะลืมสิ่งต่างๆมากขึ้น ในที่สุดก็ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ อลิซพยายามทำทุกหนทางเพื่อชะลออาการ อลิซต้องตัดสินใจลาออกจากงานที่รักมาก และเมื่อเธอต้องบอกความจริงกับลูกๆ ก็พบว่าลูกเธอคนหนึ่งอาจมีภาวะอัลไซเมอร์ ท้ายที่สุดอลิซกับลูกสาวคนเล็กกลับมีความเข้าอกเข้าใจกันเพราะถึงแม้เธอไม่อาจจับใจความและเข้าใจคำพูดได้เหมือนแต่ก่อน แต่เธอกลับสามารถรับรู้ความรู้สึกของคนจากการแสดงที่ส่งออกมาได้อย่างดี ทำให้เธอกลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของลูกสาว และก่อนที่อลิซจะจดจำเรื่องราวใดๆไม่ได้ เธอเลือกที่จะบรรยายครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ เธออยากให้พวกเขาเข้าใจคนป่วยและให้แสดงความช่วยเหลือแทนที่จะมองข้ามไป
"วันวานของดิฉันกำลังจะหายไป และวันพรุ่งนี้ของดิฉันก็ไม่แน่นอน แล้วดิฉันอยู่เพื่ออะไร? ดิฉันมีชีวิตให้แต่ละวันนั่นเอง มีชีวิตในปัจจุบันขณะ ในวันต่อไปสักวันหนึ่งดิฉันก็จะลืมว่ามายืนตรงนี้ตรงหน้าพวกคุณและกล่าวสุทรพรน์นี้ แต่ก่อนจะลืม วันต่อไปที่ว่านั้นไม่ได้หมายความว่าดิฉันไม่ได้ใช้ทุกวินาทีของชีวิตในวันนี้ ดิฉันอาจจะลืมวันนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวันนี้ไร้ความหมาย"
เราชอบหนังสือเล่มนี้มาก เราได้เห็นอาการที่ค่อยๆแย่ลงของอลิซ ได้รับรู้ความรู้สึกของคนความจำเสื่อมได้เข้าใจอลิซจริงๆ มันทำให้เราเข้าอกเข้าใจคนรอบข้างที่สูงอายุที่เริ่มหลงลืม ทำให้เราปฏิบัติตัวใหม่กับคนรอบข้าง เราต้องช่วยเหลือและเข้าใจ เราควรตอบคำถามอย่างใจเย็นและเป็นหูเป็นตาเป็นทุกอย่างที่ขาดตกบกพร่อง
เล่มที่สี่คือ Carrie Pilby - Caren Lissner

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องราวของเด็กสาวชื่อแครี่ พิลบี้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยจากฮาวาร์ดตั้งแต่อายุ 19 ปี เป็นคนเก่ง ฉลาดแต่ไม่สามารถเข้ากับใครได้เลย แครี่มักจะคิดว่าผู้คนทั่วไปต่างเสแสร้งใส่กัน เธอไม่เคยมีเพื่อน จะมีก็ตอนที่ต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการบ้าน สิ่งเดียวที่เธอทำได้ดีคือการเรียนเธอจึงเรียนข้ามชั้นเพื่อที่ว่าเธอจะได้พบกับคนที่เก่งๆและเหมือนกันกับเธอ แต่แครี่ก็ต้องพบความผิดหวังเพราะไม่มีใครสนใจเธอเช่นเดียวกัน แครี่มักจะมีตรรกะของตัวเองเสมอ ชอบตั้งคำถามและหาคำตอบ ปิดกั้นผู้คน มองโลกแง่ร้าย เธอต้องพบกับนักบำบัดประจำตัว และนั่นทำให้เธอได้รับการบ้านชิ้นสำคัญที่ทำให้เธอต้องปรับตัวครั้งใหญ่ หนึ่งในนั้นคือการออกเดทสิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัว เพราะเธอเคยรักกับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษแต่ความรักก็ต้องจบลงอย่างเจ็บปวด จนวันหนึ่งเธอได้เจอกับแมตต์ผู้ชายที่มีคู่หมั้นแล้วและต้องการมีคนอื่นแบบลับๆไม่ให้แฟนรู้ผ่านประกาศหาคู่ เธอเริ่มเดทกับแมตต์ แต่ก็ตั้งคำถามเรื่องความถูกต้อง และความสุขถ้าเธอไม่สนใจความถูกต้องเพราะใครๆก็ทำกัน ทุกคนต่างมีเหตุผลหรือหาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเองเสมอ ขณะเดียวกันเธอก็ได้พบกับเพื่อนระหว่างที่ทำงานพิเศษเป็นคนพิสูจน์อักษรที่สำนักงานกฎหมาย คนที่เธอหวังให้เป็นเพื่อนเธอจริงๆ แครี่ยังเข้าร่วมกลุ่มที่โบสถ์ เธอพบว่าความฉลาดของเธอมีค่าต่อที่นี่แม้ว่าเหตุผลแรกที่เธอมาก็เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขากำลังหลอกลวงผู้คน เธอเริ่มพูดคุยกับพนักงานร้านกาแฟที่เขาพยายามจะทักทายเสมอจนได้รู้จักกับไซ ชายหนุ่มสวมหมวกที่หลงรักการแสดง ที่เธอพบเขาที่สถานีรถไฟและเคยเดินตามเขาไป แครี่ได้เรียนรู้หลายอย่างจากการพยามปรับตัวเธอไม่จำเป็นต้องขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง หมกมุ่นกับนอน อ่านหนังสือ เธอยังคงมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ไม่เอาแต่ตัดสินคนอื่นและพยายามเข้าใจคนอื่นมากขึ้น
เราชอบเรื่องนี้มากถึงแม้ว่าตอนแรกที่อ่านจะรู้สึกเกลียด และรำคาญแครี่นักหนาแต่พออ่านไปเราก็เริ่มหลงรักแครี่มาก ชอบที่เธอตั้งคำถามเรื่องแมตต์ ความถูกต้อง เธอเลือกที่จะเป็นตัวเองและพยายามที่จะเข้าใจคนอื่นในที่สุด เป็นหนังสือที่อ่านไปได้เรื่อยๆรวดเดียวจบเพราะเราอยากรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นจากการทำตามลิสท์ การตัดสินใจของแครี่ต่อเรื่องต่างๆ
เล่มที่ห้าคือ FAN GIRL - rainbow rowell

หนังสือเล่มนี้เขียนเกี่ยวกับแคธ หญิงสาวที่เก็บตัวจากโลกภายนอก ที่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย ต้องจากพ่อ และถูกเวร็น แฝดน้องปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตร่วมห้องหรือทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันเธอต้องการที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง แคธจึงต้องมาอยู่หอกับเพื่อนร่วมห้องรุ่นพี่ที่ชื่อว่าเรเกน สาวห้าว มั่นใจในตัวเอง และได้พบกับลีไวที่มักจะมาขลุกตัวอยู่ที่ห้องเสมอ แคธไม่ยอมไปกินข้าวเพราะไม่รู้ว่าโรงอาหารอยู่ที่ไหน ไม่มีเพื่อนและคิดว่าเรแกนเกลียดเธอ สิ่งเดียวที่เธอทำเหมือนเดิมคือการเขียนแฟนฟิคเรื่องไซมอน สโนว์ ที่ซึ่งมีผู้คนจำนวนมหาศาลติดตามผลงาน หลังจากเข้าเรียนได้ไม่นานเธอก็ถูกแฟนโทรมาบอกเลิกเพราะเขาเจอคนที่น่าสนใจ แล้วยังบอกกับเธออีกว่าที่ผ่านมาเราไม่เคยเป็นแฟนกันจริงๆด้วยซ้ำ แคธได้ลงเรียนวิชาการเขียนวรรณกรรมจึงได้พบกับนิค หนุ่มหล่อที่เหมือนหลุดมาจากยุคเก่าทั้งสองได้ใช้เวลาทุกสัปดาห์เพื่อเขียนนิยายร่วมกันที่ห้องสมุด แคธเริ่มสนใจในตัวของนิค แต่แล้วกลับต้องพบว่าเขาเอานิยายนั้นไปส่งอาจารย์ในนามเขาคนเดียว และแม้ว่าแคธจะเขียนแฟนฟิคจนมีผู้ติดตามอ่านจำนวนมากแต่กับรายงานจบวิชาเธอกลับไม่สามารถทำได้ เธอไม่สามารถเขียนเรื่องใหม่ได้เธอเขียนได้แต่เรื่องของไซมอนกับแบซจากหนังสือไซมอน สโนว์เท่านั้นสองคนนี้อยู่ในหัวของเธอตลอดทำให้เธอถูกเรียกตัวไปตักเตือน แล้วยังต้องเจอกับเรื่องราวน่าปวดหัวที่เวร็นสร้างวีรกรรมและการทำตัวเหินห่างใส่ แคธจึงตัดสินใจไม่โทรหาอีก เธอใช้เวลากับเรแกนและลีไวมากขึ้น ลีไวคอยช่วยเหลือเธอเสมอ รวมถึงการเดินมารับเธอที่หน้าห้องสมุดตอนเที่ยงคืนเพื่อกลับห้องทุกครั้งหลังจากเขียนนิยายกับนิคเสร็จ ยิ่งหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาเป็นแค่แฟนเก่าของเรแกนไม่ใช่แฟนเหมือนที่เธอเข้าใจ เธอจึงช่วยติวหนังสือและอ่านเรื่องแฟนฟิคของเธอให้เขาฟัง แต่คืนหนึ่งเธอพบว่าเขากำลังจูบกับผู้หญิงคนอื่นในงานปาร์ตี้ที่เขาชวนเธอกับเรแกนมา ซ้ำร้ายพ่อยังต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน เธอเสียใจกับทุกเรื่องจนไม่อยากกลับมาเรียนอีก แต่พ่อก็บังคับให้เธอกลับมาจนได้ ไม่นานเวร็นก็เข้าโรงพยาบาลด่วนอีกแล้วก็ได้พบว่าทั้งคู่คิดถึงกันแค่ไหน
เราชอบเรื่องนี้ตรงที่มันแปลกดี แต่ก็ออกจะงงๆหน่อยที่ต้องอ่านนิยายซ้อนนิยาย มันมีตัวละครหลักของเรื่อที่เขียนแฟนฟิคซึ่งเขายกมาให้อ่านจากต้นฉบับด้วย แล้วก็แฟนฟิคที่นางเอกเขียนด้วยคือมาเต็มมาก เหมือนอ่านสามเรื่องเลย มันเป็นเหมือนนิยายเล่มนี้อิงการเอาเรื่องไซมอน สโนว์มาพูดถึงเป็นส่วนหลักส่วนหนึ่งด้วย ในส่วนของตัวละครเราก็ชอบลีไวที่ดูเข้มแข็ง เอาการเอางาน แต่น่ารักอบอุ่น *เราพบว่าเรื่องไซมอน สโนว์ มันมีหนังสือเป็นซีรีย์จริงๆ*
Create Date : 17 กันยายน 2560 |
|
1 comments |
Last Update : 24 กันยายน 2560 18:23:05 น. |
Counter : 7824 Pageviews. |
|
 |
|