เป็นหนังสือที่บันทึกการเดินทางมุ่งหน้าสู่ EBC (Everest Based Camp) หรือ ค่ายฐานเอเวอเรสต์ของนิ้วกลมที่ร่วมเดินทางไปกับกลุ่มเพื่อน แต่ไม่ได้บันทึกแค่เรื่องราวการเดินทางภายนอกแบบทั่วๆไป แต่เล่าไปถึงการเดินทางเข้าไปในชีวิต จิตใจ ธรรมชาติ และจักรวาลอันยิ่งใหญ่ จากสิ่งที่เขาได้พบเจอระหว่างทางที่ต้องพึ่งเพียงสองขาจากพักดิงไปยัง EBC และกลับมาที่พักดิงอีกครั้งในขากลับ และใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากทั้งร่างกายและจิตใจท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ แปรปรวน บ้างมีฝนตก และต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่จะยิ่งมีออกซิเจนน้อยลงเรื่อยๆตามระดับความสูงที่ไต่ขึ้นไปทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคแพ้ความสูง (Altitude sickness) ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะแสดงอาการหรือไม่ และตอนไหน ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นเมื่อขึ้นที่สูงและมีออกซิเจนน้อย จึงต้องเดินทางอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิมทั้งการเคลื่อนไหวร่างกาย การใช้ชีวิตที่ต้องทำให้ช้าลง จึงต้องมีการเดินเพิ่มนอกจากเส้นทางหลักเพื่อปรับสภาพร่างกายก่อนขึ้นสู่จุดหมายต่อไปที่อากาศยิ่งบางเบา แต่เขาบอกว่าสิ่งเหล่านั้นก็ยังไม่น่ากลัวเท่าโรคแพ้ทัศนติ (Attitude sickness) ที่ทำให้หลายคนไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจ เพราะแพ้ให้กับความคิดของตัวเองและไม่ไปต่อ
จากการเดินเท้าไปตลอดทาง เห็นหิน ไลเคน ภูเขาสูง ดอกไม้เล็กๆข้างทางก็ทำให้เขาพาเราไปคิดถึงกำเนิดของโลกเมื่อหลายพัน หมื่น ล้านปีก่อนสิ่งมีชีวิตจะถือกำเนิดบนโลกด้วยเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ หรือการที่มักเห็นธงมนตร์ตามรายทาง วิถีชีวิตชาวเชอปา หลุมศพคนที่ทิ้งชีวิตไว้ที่เอเวอเรสต์ที่ไม่มีโอกาสได้กลับลงมาเล่าเรื่องราว การเดินหลงทางทั้งที่เหนื่อยแทบก้าวขาไม่ไหวแต่ต้องย้อนกลับไป ความเงียบที่ต้องพบเจอท่ามกลางขุนเขากว้างใหญ่ไพศาลเพราะจังหวะการเดินที่แตกต่างกันของแต่ละคนที่ทำให้สุดท้ายต่างคนก็ต้องเดินตามจังหวะชีวิตของตัวเอง ที่ล้วนทำให้เขาคิดถึงเรื่องราวทางจิตวิญญาณและการดำรงชีวิตของมนุษย์ และรู้ว่าเรา โลกและจักรวาลคือส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างแยกไม่ออก และทำให้รู้จักคำและความหมายของคำว่า "กาย่า (Gaia)" อันเป็นจิตวิญญาณของโลก คือการจัดการผลรวมของแรงสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างชีวิต บรรยากาศ ก้อนหิน และน้ำ ก่อให้เกิดตัวตนของดาวเคราะห์ที่มีวิวัฒนาการและจัดการตนเองได้ คอยดำรงรักษาสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยบนผิวดาวเคราะห์ดวงนี้ตลอดมานับหลายพันล้านปี ที่ถูกพูดถึงในคำนิยม
และนอกจากเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายในเล่มเราก็ได้เห็นภาพสวยๆมากมายที่ทำให้เราตกหลุมรักการเดินทางที่หลากหลายของหนังสือเล่มนี้
เป็นหนังสือที่หนามากแต่อ่านแล้วไม่เบื่อเลยแต่กลับดำดิ่งลงไปกับการเดินทางของเขา และสนใจกับการครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆของนิ้วกลมที่พาเราไปคิดถึงจักรวาลและธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ แล้วย้อนกลับมาเล่าเรื่องราวทางจิตวิญญาณ ทำให้เราเหมือนได้เดินทางไปกับเขาเห็นภาพบรรยากาศการเดิน และได้เข้าใจชีวิตไปในตัว ลุ้นกับการเดินทางของสมาชิกในทีม จนติดโพสต์อิทเล็กๆเต็มเล่มไปหมด
อ่านแล้วเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตแต่ไม่ได้ทำให้เราเครียดหรือรู้สึกว่าอ่านยาก ทั้งที่ในเล่มเล่าเรื่องยากๆทางวิทยาศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้หรือสนใจมาก่อน แต่พี่เขาเล่าได้ดีมาก เข้าใจง่ายจนเราอินมาก รู้สึกโดนดึง สติให้เป็นคนผู้เป็นคนอีกครั้งหลังจากไหลวนไปกับกระแสสังคม แต่ก็มีฉากที่เราหัวเราะกับการที่พี่เขาได้ข้าวของอะไรๆก็ได้สีแดงแปร๊ด กับเครื่องบินเล็กราวกับนั่งรถถตู้ตามที่พี่เขาเล่า
และแน่นอนว่าเราก็อยากเดินทางบ้างทันที แต่ที่แน่ๆคือไม่ต้องลำบากอะขนาดนั้นเราไม่แข็งแกร่งพอ บางอย่างอ่านเอาจะดีกว่า
และนี่คือส่วนหนึ่งที่เราชอบ
"ชีวิตที่มีความสุขทุกวันทำให้เรามองข้ามความสุขนั้นไป กระทั่งลืมไปว่าในชีวิตเรามีความสุขอยู่แล้ว ความสุขเป็นของแปลก,ต้องออกห่างจึงมองเห็นชัด"
เราจะมองเห็น"ความงาม" ต่อเมื่อใส่ใจและให้เวลา เมื่อเราใส่ใจกับ"ความงาม"นั้น สิ่งนั้นก็จะมอบพลังกลับมาให้เรา โดยยิ่งแสดง"ความงาม" ให้เราเห็นมากขึ้นไปอีก
"สิ่งที่เราคิดว่าไม่เปลี่ยแปลงนั้นอาจเป็นเพราะเราตัดสินด้วยห้วงเวลาที่สั้นเกินไป ไม่ว่าใคร รวมถึงตัวเรา ล้วนกำลังเปลี่ยนไปด้วยกันทั้งสิ้น
ทุกคราวที่ผุกร่อนจากคลื่นลมในชีวิต บางครั้งเรารู้สึกว่าตัวตนกำลังล่มสลายกลายเป็นผุยผง แต่เมื่อกาลเวลาผ่าน ถูกบดอัดทับถมจากคำปรามาสและแรงกดดันต่างๆนานา เราอาจตกตะกอนกลายเป็นก้อนหินชนิดใหม่ที่ต่างไปจากเดิม บางสถานการณ์ที่ชีวิตระอุร้อน ไฟปะทุถึงจุดเดือด เรารู้สึกว่าตัวตนที่รักใคร่กำลังหลอมละลาย แต่สุดท้ายแล้วเราอาจแปรเปลี่ยนไปเป็นก้อนหินชนิดใหม่ที่มีริ้วลายสวยงาม ส่งแสงวิ้งวับกะพริบพราวเหมือนดวงดาวยามกลางวันก็เป็นได้"
*หนังสือเล่มนี้มีฉบับขาว-ดำด้วย เขาบอกว่า"จัดทำขึ้นในเวอร์ชันราคาย่อมเยา จากฉบับเดิม 650 บาท เหลือ 299 บาท โดยลดจำนวนหน้า ตัดรูปภาพออก และพิมพ์ขาว-ดำ แต่เนื้อหาเหมือนกับฉบับเดิมทุกประการ ซึ่งผู้อ่านสามารถดื่มด่ำรสชาติจากตัวหนังสือได้อย่างเต็มอิ่ม" แต่เราชอบภาพสีเล่มนี้มากกว่าเพราะเราอ่านไป ดูภาพไปอินสุดๆ *