วางเรียงในถาด ที่ทาเนยขาวไว้ก่อน
อ่ะ อะ...เพิ่มรสชาติ และกลิ่นอันยั่วยวน คนที่เหลือในออฟฟิศด้วย การทาเนย ที่กล้วยซะหน่อย หอม หอม
จัดการเอาเข้าเตาอบ อบเป็นแบบกล้วยปิ้งซะเลย แม่ใบตองใช้ไฟ 150 องศา อบไปชม.กว่า ได้กล้วยสุก กลิ่นหอมอาละวาดไปทั้งออฟฟิศ 555
อบออกมาผิวกล้วยเต้งตึง สวยเชียว
จะทำเป็นกล้วยทับ น้ำกะทิหวาน ๆ มัน ๆ ราด แต่ว่าพออบกล้วยออกมาแล้ว รสชาติมันหอมหวาน อร่อย โดยไม่ต้องมีอะไรมาเสริม เลย สุดท้ายกินกันแบบนี้เลยคะ
หวานจากเนื้อกล้วย ธรรมชาติ โดยไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่มมากมายคะ
จัดเข้าหมวดหมู่ขนมหวานไทย เพราะทานเล่น ๆ ทุกเวลา แต่อิ่มจริง อิ่มจัง
ทานตอนร้อน ๆ ยังระอุอยู่ในลูกกล้วย ...สุดยรรยายคะ
มาเพิ่มน้ำราดกล้วยทับคะ
น้ำกะทิราดกล้วยทับ จะหอม ๆ หวาน มัน..กล้วยทับ บางคนชอบแบบแข็ง ๆ แต่แม่ใบตองชอบกล้วยนิ่ม ๆ ...สูตรกะเอาเองน่ะค่ะ จะมี กะทิ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เนย และเกลือป่น
...น้ำกะทิและน้ำตาลปิ๊บ น้ำตาลทราย ปริมาณน้ำตาลทราย 1/3 ของน้ำตาลปิ๊บ เพื่อให้หวานแหลมขึ้นนิดนึง ใส่หม้อ ตั้งไฟแค่พอให้เดือด ..เคี่ยวพอหนึบ ๆ ใช้ทัพพีคนตลอด เพื่อไม่ให้กะทิแตกมัน ..พอได้ที่แล้วก็ใส่เนยลงไปคนให้ละลาย..บางคนก็เอกไปอบควันเทียน เพื่อให้น้ำจิ้มกล้วย มีกลิ่นหอม ..หรือจะใส่น้ำผึ้งก็ได้ ค่ะ
วันนี้ลองใช้กะทิผง แทนกะทิกล่องคะ นำมาผสมน้ำอุ่น แล้วคนให้ละลาย
ใส่น้ำตาลทราย น้ำตาลปิ๊บ และเกลือลงไป คนไปเรื่อย ๆ ให้ละลาย
พอได้ที่แล้วก็ใส่เนยลงไป ถ้าเป็นเนยเค็ม ก็ลดเกลือตอนแรกหรือไม่ใส่เกลือก็ได้คะ
ทีนี้ เราก็มาทำกล้วยทับกันนะคะ ...
นำกล้วยที่อบแล้ว มาวางบนใบตองแล้ววางใบตองทับอีกที แม่ใบตองไม่มีที่ทับ ก็หาอะไรรอบตัวมาทับแล้วแต่จะประยุกต์กัน
พอดีได้กล้วยแข็งมาก เลยทับทั้งลูกก่อนแล้วค่อย หั่นเป็นชิ้น ถ้าหั่นก่อนทับ กล้วยจะแตกไม่สวยคะ
เอาใบตองวางแล้วทับกล้วยตอนร้อน ๆ จะทำให้หอมกลิ่นใบตองด้วย
เสร็จแล้วจัดใส่จานให้สวยงาม
เวลาจะรับประทาน ก็ราดน้ำกะทิให้ฉ่ำ ๆ แบบนี้
เสริมเกร็ด ความรู้ เรื่องตำนานนางสงกรานต์ สักเล็กน้อย
พอดีไปอ่านเจอ จากเวปไหนก็ไม่ทราบ ต้องขออภัยเจ้าของเวปด้วยนะคะ
ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย
ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา 7 วัน
ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้
ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ
จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้
-
ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ)
-
พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ
-
ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) -
พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ)
-
ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต (เลือด)
-
พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังพระยาวราหะ (หมู)
-
ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มัณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเหล็กแหลม -
พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา)
-
ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา
-
พระหัตถ์ขวาทรงของ้าว พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังพระยาคชสาร (ช้าง)
-
ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคั -
ม ภักษาหารกล้วยน้ำ
-
พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย)
-
ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย
-
พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง)
สำหรับความเชื่อทางล้านนานั้นจะมีว่า
-
วันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี
-
วันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา
-
วันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี
-
วันพุธ ชื่อ นางมันทะ
-
วันพฤหัส ชื่อ นางกัญญาเทพ
-
วันศุกร์ ชื่อ นางริญโท
-
วันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี
มีความสุขที่ได้ แบ่งปัน..... สร้างสรรค์
ยินดีที่แวะมาเยียมเยียนกันนะคะ
ความรู้ดีจังเลยค่ะขอบคุณนะคะ