วิธีรับมือ แผ่นดินไหว
วิกฤตจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด ควรเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า1. เงินสดและของมีค่า:เงินสด 36 เดือนทองคำขนาดเล็กพกพาง่าย (เช่น 1 กรัม, 5 กรัม)2. พลังงานสำรอง:Solar Cell แบบ Off-gridPower Box หรือแบตเตอรี่สำรองเครื่องปั่นไฟเตาแก๊ส, เตาอั้งโล่, ฟืน3. การสื่อสารสำรอง:วิทยุสื่อสาร (Walkie Talkie)วิทยุทรานซิสเตอร์แบบใช้ถ่านแผนการสื่อสารระหว่างครอบครัว4. อาหาร-น้ำ:อาหารแห้งที่เก็บได้นาน เช่น ข้าวสาร, บะหมี่, ปลากระป๋องน้ำดื่มอย่างน้อย 2 ลิตร/คน/วัน สำหรับ 1 เดือนระบบกรองน้ำพกพา (Portable Filter)5. ความปลอดภัย:อุปกรณ์ป้องกันตัวที่ถูกกฎหมายไฟฉาย, มีดเอนกประสงค์, เครื่องมือฉุกเฉิน6. การเตรียมใจ:ฝึกการอยู่โดยไม่พึ่งเทคโนโลยีเรียนรู้ทักษะเอาตัวรอดพื้นฐาน เช่น จุดไฟ, ทำอาหารง่ายๆ, ปฐมพยาบาลคำแนะนำเพิ่มเติม:ทำ Check List สำหรับครอบครัวจัดกระเป๋าฉุกเฉิน (Bug Out Bag) ไว้ใกล้มือวางแผนการนัดพบหรือเคลื่อนย้ายหากต้องอพยพ เช้าวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ทะเลอันดามันยังสงบราวกระจกเงา แต่ความเงียบนั้นกลับเต็มไปด้วยคำเตือน ที่มีเพียงบางชีวิตได้ยินนกฝูงใหญ่ทิ้งรังบินสูงขึ้นฟ้า ไม่สนใจอาหารเช้าที่เคยรออยู่ริมหาดช้างลากโซ่ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง สายตาเต็มไปด้วยความกลัวสัตว์ป่าโบกหางวิ่งไม่หยุด ทิ้งร่องรอยบนพื้นดินมุ่งสู่ภูเขาและแล้วกำแพงน้ำสูงสุดสามสิบเมตรก็ถาโถมเข้าใส่ชายฝั่งหกประเทศ ดุจมือยักษ์ที่ลูบล้างทุกสิ่งบนผืนดินมนุษย์กว่าสองแสนชีวิตจากไปในพริบตา แต่สัตว์ส่วนใหญ่กลับรอดชีวิตอย่างน่าพิศวงไม่ใช่เวทมนตร์หรือสัญชาตญาณเท่านั้น แต่เป็นการรับฟังฟังเสียงที่เงียบงันสำหรับหูมนุษย์ แต่ดังกึกก้องในโลกของสัตว์🙊 I. สัตว์รู้ได้อย่างไร?แผ่นดินไหวใต้ทะเลก่อนเกิดสึนามิสร้างคลื่นความถี่ต่ำที่เราไม่ได้ยิน แต่สัตว์ได้ยินชัดเจน:ช้าง ฝ่าเท้าของพวกมันไม่ใช่เพียงรองรับน้ำหนัก แต่เป็นเครื่องรับแรงสั่นสะเทือนอันละเอียดอ่อน ที่รับรู้การสั่นไหวของแผ่นดินได้แม้อยู่ห่างออกไป 150 กิโลเมตร เมื่อเปลือกโลกขยับ พวกมันจึงรู้ตัวก่อนมนุษย์หลายชั่วโมงนก กระดูกโพรงของพวกมันบรรจุอวัยวะพิเศษ (บาโรรีเซพเตอร์) ที่ไวต่อความกดอากาศ เมื่อแรงดันเปลี่ยนแม้เพียงเล็กน้อย พวกมันรู้ว่าภัยกำลังมา จึงบินหนีไปในทิศทางที่ปลอดภัยสัตว์ทะเล แนวเส้นข้างลำตัวของปลาและสัตว์น้ำรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของแรงดันน้ำ กระแสน้ำที่ผิดธรรมชาติแม้เพียงเบาบางก็สร้างความปั่นป่วนให้อวัยวะรับสัมผัสเหล่านี้ ทำให้พวกมันว่ายลงสู่ที่ลึกก่อนคลื่นจะถาโถมแมลง มด ปลวก แม้ตัวเล็กนิดเดียว กลับมีประสาทรับความชื้นและความกดอากาศที่ไวกว่าเครื่องมือวัดบางชนิด เมื่อความชื้นเปลี่ยนไปเพียง 0.1% พวกมันก็รู้ว่าต้องย้ายบ้านเหล่านี้คือภาษาเก่าแก่ที่โลกใช้สื่อสาร ภาษาที่มนุษย์เคยรู้ แต่ลืมเลือน💡 II. ปัญญาที่ไม่มีในหนังสือตำราวิทยาศาสตร์อธิบายว่า "สึนามิ" คือคลื่นที่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเล แต่ความรู้นี้ช่วยชีวิตคนไม่ทันในวันนั้นกลับเป็นเด็กชาวมอแกนอายุสิบขวบชื่อโต๊ะตี เมื่อเห็นทะเลถอยห่างออกไปอย่างผิดธรรมชาติ เขากรีดร้อง: "มาเลงา! มาเลงา!" (น้ำทะเลกำลังกลืนกิน) เสียงเตือนนี้ดังมาจากเรื่องเล่าที่สืบทอดมาเจ็ดชั่วรุ่น ทำให้ชาวบ้านทั้งหมดวิ่งขึ้นเขาภูมิปัญญาดั้งเดิมปรากฏในทุกวัฒนธรรม: มดดำขนไข่ ชาวนาไทยรู้ว่า เมื่อมดดำขนไข่ขึ้นที่สูงโดยเฉพาะบริเวณที่เคยมีน้ำท่วม นั่นคือสัญญาณว่าจะมีน้ำท่วมใน 1-2 วัน การขนย้ายประชากรรุ่นใหม่ขึ้นสู่เสาบ้านอย่างกระวนกระวายคือระบบเตือนภัยที่ชาวบ้านเชื่อถือมานานกว่าที่จะมีกรมอุตุนิยมวิทยา ปลวกสร้างจอมปลวกสูง ในภาคอีสานของไทย ชาวบ้านสังเกตว่าปีไหนที่ปลวกสร้างจอมปลวกสูงผิดปกติ ปีนั้นจะมีฝนตกหนักกว่าปกติ บางหมู่บ้านจะตัดสินใจปลูกข้าวชนิดที่ทนน้ำหรือยกยอดข้าวสูงขึ้นเพื่อรับมือ กบและคางคกร้องกลางวัน เมื่อกบร้องเสียงดังผิดปกติในเวลากลางวัน โดยเฉพาะในวันที่ท้องฟ้ายังไม่มีเมฆฝน ชาวประมงภาคใต้จะไม่ออกเรือ เพราะพวกเขารู้ว่าพายุกำลังจะมา เมฆและท้องฟ้า "แดงเช้าฝนตก แดงเย็นแดดออก" เป็นภูมิปัญญาที่พบทั่วโลก ทั้งในไทยและตะวันตก ท้องฟ้าสีแดงในยามเช้ามักเป็นสัญญาณว่ามวลอากาศชื้นกำลังเคลื่อนเข้ามา พฤติกรรมของพืช ไมยราบและพืชตระกูลถั่วจะหุบใบลงก่อนฝนตก ชาวนาในอดีตสังเกตการเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อเตรียมเก็บเกี่ยวหรือหยุดการทำงานกลางแจ้ง กลิ่นดิน กลิ่นดินหอมชัดเจน (เปติชอร์) ก่อนฝนตกคือสัญญาณที่คนรุ่นก่อนใช้เตรียมตัว เกิดจากน้ำมันจากพืชที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อความชื้นเพิ่มขึ้นในขณะที่นักอุตุนิยมวิทยาสมัยใหม่ส่องกล้องดูดาวเทียม ชาวบ้านเพียงสังเกตธรรมชาติรอบตัวและมีชีวิตรอดด้วยเทคนิคเหล่านี้มาหลายพันปี🌎 III. เมื่อเราหยุดฟัง โลกก็หยุดเตือนมนุษย์ยุคใหม่ปิดเสียงเตือนของโลกด้วยสามวิธี: ปิดกั้นด้วยความมั่นใจ เราสร้างกำแพงคอนกรีต เขื่อนสูง คิดว่าเราควบคุมธรรมชาติได้ วันที่มรสุมมาเยือน เราคาดไม่ถึงว่าน้ำจะทะลวงสิ่งที่เราสร้าง ปิดกั้นด้วยเทคโนโลยี เราจ้องแต่หน้าจอ สวมหูฟัง เสพข้อมูลจากโลกเสมือน จนลืมความจริงที่อยู่รอบตัว ลมที่พัดผ่านใบไม้กำลังเล่าเรื่องอะไร? เราไม่ได้ยินแล้ว ปิดกั้นด้วยความเร่งรีบ ชีวิตเร่งรีบจนไม่มีเวลามองเงาพระอาทิตย์เคลื่อนไหว ไม่มีเวลาสังเกตว่าปลวกสร้างจอมปลวกสูงขึ้นเพราะอะไร หรือทำไมลมถึงมีกลิ่นเปลี่ยนไป👂🏻แต่หูทุกคู่ของสัตว์โลกยังคงทำงาน:มดยังขนไข่หนีน้ำก่อนฝนจะตกกระรอกยังเก็บอาหารมากกว่าปกติก่อนหิมะจะถล่มผึ้งยังคาดการณ์อุณหภูมิอากาศได้แม่นยำกว่าพยากรณ์อากาศในบางครั้งธรรมชาติยังกระซิบเตือนอยู่เสมอ เรามัวแต่ตะโกนใส่กันเองจนไม่ได้ยิน📝 บทส่งท้าย: กลับมาฟังอีกครั้งในโลกที่พูดมากเกินไป เราลืมความสำคัญของการเงียบและฟังการฟังธรรมชาติไม่ใช่แค่เพื่อจับสัญญาณเตือนภัย แต่คือการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับบ้านของเราโลกใบนี้พอเราเงียบลง เราจึงได้ยินว่า:- ผีเสื้อไม่ได้แค่เพียงสวยงาม แต่พวกมันกำลังบอกว่าสภาพอากาศกำลังเปลี่ยน- นกไม่ได้เพียงร้องเพลง แต่พวกมันกำลังบอกว่าฤดูกาลเริ่มแปรปรวน- ผึ้งไม่ได้เพียงทำน้ำผึ้ง แต่พวกมันกำลังบอกว่าพืชพรรณกำลังเปลี่ยนไปเราไม่ใช่แค่ผู้เฝ้าสังเกตโลก แต่เป็นส่วนหนึ่งของมัน เมื่อธรรมชาติพูด เราควรรับฟังและตอบรับ... ด้วยการใช้ชีวิตอย่างเคารพในสิ่งที่มันบอกเพราะหากวันหนึ่งโลกเงียบให้กับเรานั่นไม่ใช่เพราะมันหมดคำพูดแต่เพราะมันหมด ผู้ฟัง ที่คู่ควรกับการพูดด้วยการฟังอาจเป็นทักษะโบราณที่สุด แต่กลับเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับโลกใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ติดตามดูต่อที่YouTube ใจรักJairukChannel
ติดตามดูต่อที่TikTok ใจรักJairukChannel
ติดตามดูต่อที่Facebook ใจรักJairukChannel
เก็บตก บัวหิมะตายแล้วไปไหน จิตรกรผู้อาภัพVincent Van Gogh สูตรหน้าใสเด้ง น้ำเอนไซด์ความรักของผู้ชายคนหนึ่ง(ตอนที่1)ความรักของผู้ชายคนหนึ่ง (2) Monetจิตรกรเอกของโลก แรงบันดาลใจMonet