แม้นานเนาก็ยังห่วงยอดดวงเสน่หา...
 
 

ความรัก

ความเอ๋ย... ความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี

แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง
อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี
ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย

ตอบเอ๋ยตอบถ้อย
เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย
ตาประสบตารักสมัครไซร้
เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน

แต่ถ้าแม้นสายใจไม่สมัคร
เหมือนฆ่ารักเสียแต่เกิดย่อมอาสัญ
ได้แต่ชวนเพื่อนยามาพร้อมกัน
ร้องรำพันสงสารรักหนักหนาเอย

พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ (เวนิสวาณิช)

วันนี้อารมณ์นี้ ภิรมย์รื่นมากๆ จึงได้ยินเพลงนี้แว่วๆอยู่ในโสตเหมือนดังมาจากไกลๆ
ชะรอยความรักจะเรียกหาเสียแล้วก็ไม่รู้ได้ แม้จะมิได้เป็นนางปอร์เชีย ที่ในเรื่องบรรยายไว้เป็นกลอนว่าสวยนักสวยหนาจนแม้รูปนางที่เขียนโดยช่างเขียน ก็ไม่อาจทัดเทียมกับตัวจริงของนางได้แม้สักน้อย

ลากๆตัวเข้าข่ายนางปอร์เชียด้วยคน เพราะเวลาถ่ายรูปแล้วหลอกหลอนมาก
แต่ต้องวงเล็บไว้ว่าไม่ได้สวยสะอางสล้างเสลาดังนางปอร์เชียแต่ประการใด
แล้วรูปที่ออกมายังหลอกหลอนอีก

ไม่มีสมาธิมากพอจะเขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้
วันนี้จึงขออัพบล็อกอย่างที่เรียกว่า อาจมีการลบทิ้งภายหลังได้
ด้วยไม่ได้มาตรฐานที่ตัวเองกำหนดไว้

ปิดท้ายด้วยความรักที่ล้นๆอยู่ในใจ จนต้องยกออกเสียบ้างดังนี้

หรือเคยพบเคยรักสมัครสมาน
จึงได้มีสัญญาณส่งมาให้
หรือว่าเคยรักกันหมั้นดวงใจ
จึงรู้ได้โดยไวถึงเพียงนี้

หรือชาติก่อนเคยสร้างกุศลร่วม
ไม่กำกวมสัญญาใจไม่หน่ายหนี
เมื่อเห็นหน้าดังต้องมนต์ท้นฤดี
จนได้มีสัญญารักมาทักทาย

ขอสมัครคิดถึงตรึงดวงจิต
เป็นมิ่งมิตรเพลิดเพลินเกินสหาย
ขอร้อยรักร้อยใจอยู่ใกล้กาย
ถึงชีพวายขอรักเธอเสมอนิรันดร์

สร้อยสัตตบรรณ ในวันอันแสนอภิรมย์ (เอาเข้าไป)




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2550 11:08:57 น.   
Counter : 379 Pageviews.  


เวียนเทียน

เวียนเทียน

เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว คือตั้งแต่วันที่เวียนเทียนในวันวิสาขบูชาที่อัพไว้ที่กลุ่มต่างประเทศพิสัย นึกไปนึกมาก็เอามาลงดีกว่า เพราะระยะนี้ไม่ได้อัพบล็อกเลย เดี๋ยวเขาจะว่าว่าไม่ใส่ใจ
เขียนไว้ว่าดังนี้...

วัดปากน้ำญี่ปุ่นอยู่ห่างจากบ้านประมาณหนึ่งชั่วโมงขับรถ ข้าพเจ้าออกจากบ้านตอนเกือบสิบโมงเช้า
เครื่องถวายสังฆทานนั้นทางวัดจัดไว้ให้ เราก็แค่จ่ายสตางค์ หรือจะจัดไปเองก็ได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะไปซื้อเอาข้างหน้าทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่คนที่เตรียมใจไปวัดล่วงหน้าอย่างข้าพเจ้า
หลายคนนำน้ำดื่ม กระดาษชำระ กระดาษทิชชู่ และของใช้สิ้นเปลืองอื่นๆไปถวายเพิ่ม บางคนก็ถวายเงินบำรุงค่าอาหารกลางวัน ฯลฯไปพร้อมกันด้วย

วันวิสาขบูชาปีนี้ตรงกับวันพฤหัส ทำให้พุทธบริษัทมีน้อยกว่าที่เคยเห็น เมื่อฉันอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หลวงพ่อหรือหลวงลุง หรือพระอาจารย์ แล้วแต่ใครจะเรียกท่านซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาส ก็นำสวดและทำพิธีบังสุกุลเป็น ก่อนจะปล่อยพวกเราไปทานอาหารกลางวัน
ช่วงนี้ใครจะถวายสังฆทานก็สมทบถวายได้ในตอนนี้
หลวงพี่ พระที่ส่งเมลมาบอกกำหนดการเวียนเทียน พยักหน้าให้ข้าพเจ้านำของถวาย เงอะๆงะๆเก้ๆกังๆประสาข้าพเจ้า แล้วก็ถวายของสังฆทานไปจนได้ มีอีกหลายคนที่ถวายตอนนี้เช่นกัน เพราะมาช้ากว่าเพล ทุกๆอย่างอะลุ้มอล่วยไปตามสภาพภูมิประเทศ และสถานการณ์อย่างที่ต่างคนก็ต่างร่วมรู้กันโดยไม่ต้องให้อธิบายนาน

รอบๆตัวที่นั่งอยู่ มีคนไทยที่พูดภาษาเหนือเสียเป็นส่วนมาก นั่งฟังเขาเงียบๆ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ไม่รู้เสียเป็นส่วนมาก ที่ดูไม่เบื่อเลยคือการแต่งกาย มีตั้งแต่แต่งตัวแบบเป็นกันเองกับวัดมาก คือเสื้อตัวกางเกงตัว ถ้าไม่เกรงใจก็เห็นจะนุ่งชุดนอนมา ประมาณนั้น กับที่แต่งตัวแบบคนที่จะไปทำธุระนอกบ้าน เช่นข้าพเจ้า
ที่รื่นเริงแก่สายตามากคือ บางคนก็แต่งตัวเหมือนเทพีวันสงกรานต์ ทำให้นึกถึงคำที่ว่า 'พอไปวัดไปวาได้' สมัยนี้แม้ที่เที่ยวจะไม่ใช่วัดแล้ว เธอก็ยังแต่งตัวสวยอย่างเฉพาะกาลไปวัดอยู่เช่นเดิม
ขนตาหนาเป็นแผงสีดำกว่าดำที่กระพริบอยู่เหนือดวงตาที่ทาอายแชโดว์สีดำสนิทนั้นยังติดตามาแม้จนวันนี้
ผ้าไหมสีแดงก่ำกับจตุตามรามเทพองค์เท่าจานรองแก้วบนหน้าอกแห้งๆนั่นอีก
ปล่อยแม่นากไว้ที่ศาลาวัด แล้วไปเดินรอบๆวัดกันดีไหม...

ในบริเวณวัดจะมีคนนำดอกไม้เวียนเทียนมาขาย และแน่นอนว่าเงินนั้นเราก็ใส่ลงไปในตู้บริจาคดังรูปที่ถ่ายมาประกอบด้านล่างนี้
ที่นี่ดูจะเป็นประเพณีที่จะมีคนใจบุญนำของที่ร้านตนเองมาทำทานให้สัตว์ผู้ยากรับประทานฟรี
แรกๆนั้นข้าพเจ้าอายมากไม่กล้าต่อแถวรับอาหาร เดี๋ยวนี้คล่องแคล่วต่อแถวนั้น แล้วก็ย้ายไปแถวนี้
เจ้านั้นส้มตำอร่อย เดี๋ยวก็ไปต่อแถวหมูปิ้ง เสร็จก็ย้ายไปแถวก๋วยเตี๋ยว โห... คนเรานี่มันพัฒนาจริงๆ
เราก็จะทานอาหารกันด้านนอกระหว่างที่พระท่านฉันเพล เสร็จแล้วเราก็เข้าไปฉันต่อ เอ้อ... กินต่อข้างในอีก
โห... ไม่อายเลยเดี๋ยวนี้ นานๆจะได้กินอาหารหลากรสที่ไม่ใช่ฝีมือตัวเองบ้าง

กลับมาสู่การเวียนเทียนรอบโบสถ์กันเถิดนะคะ

พระทั้งวัดในตอนนี้มีอยู่ ๔ รูป ดูทะแม่งๆแต่ก็เอาเถอะ
ท่านก็เดินนำไปพร้อมกับต้นโพธิ์ที่มีกำหนดจะปลูกหลังจากเวียนเทียนเสร็จแล้ว
ตามด้วยแม่ชีจำนวนหนึ่ง พวกเธอมาถือศีลบำเพ็ญธรรม ไม่โกนหัว นุ่งห่มขาวเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าคอร์ส เลยเล่าไม่ได้
เราๆอันประกอบด้วยเทพีวันสงกรานต์ นางเอกหนังไทย นางอิจฉา(ข้าพเจ้า) และนางอื่นๆก็พากันเดินตามกันไป
ข้าพเจ้าถ่ายรูปไว้เป็นระยะๆตามนิสัยชอบบันทึก แต่ไม่ได้ถ่ายรูประทึกใจไว้เพราะมัวแต่ร้องกรี๊ดสลบอยู่
คือ
ไฟจากดวงเทียนนั้นวูบไหวไปต้องกับผมยาวสยายเต็มแผ่นหลังของผู้หญิงคนที่เดินอยู่ด้านหน้า
ผมยาวสยายนั้นหยิกน้อยๆตามธรรมชาติ มันจึงพองฟูเหมือนจะเชิญชวนเปลวเพลิงให้มาสู่ราวกับกวักมือเรียก
เมื่อผ่านการกวักเรียกเป็นรอบที่สามแล้ว พระเพลิงก็ไม่ขัดศรัทธาใครเช่นกัน
ไฟลามเลียผมจากกลางหลังขึ้นไปที่ต้นคออย่างรวดเร็ว เจ้าของยืนนิ่งมิรู้ร้อนหนาวแต่ประการใด
ส่วนเจ้าของไฟที่ลนก็มัวแต่งุนงงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า เธอบอกกับใครๆว่า เธอมีปัญหากับขา เดินไม่ค่อยถนัด คงจะเดินเอนหน้าเอนหลังจึงเอาไฟไปจิ้มผมเขาเข้า
หลายมือพากันตบไปที่ผมเธอคนโชคร้าย แล้วไฟก็แพ้แรงใจกับอานิสงส์ที่ได้เวียนเทียนในวันนี้
'พี่ผมไหม้' ที่ข้าพเจ้าเรียกเธอโดยไม่ได้ตั้งใจในตอนหลังนั้น หันมาบอกคนถวายพระเพลิงเธอว่า 'ไม่เป็นไรๆ'
ใจดีแท้ๆ...
อาการตกใจขวัญหายนั้นไม่มี นึกอีกที เธอไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนหัวเธอเลยแม้สักน้อย
จะให้ตกใจกระไรได้

เมื่อดับเพลิงเสร็จเราก็เข้าโบสถ์ไปไหว้พระ แล้วก็ไปช่วยกันขุดดินปลูกต้นโพธิ์ไว้ด้านหลังโบสถ์
ข้าพเจ้าก็กลับบ้าน

ดูรูปบรรยากาศในวันนั้นได้ในบทความหน้าต่างประเทศพิสัย
เขียนที่หน้านี้เพราะเห็นใครๆก็มาหน้านี้ เอาเข้าจริงกลุ่มบล็อกที่จัดๆเอาไว้ตัวเองก็ยังงงๆว่ามันต่างกันยังไง

นะคะ...


สร้อยสัตตบรรณ

สนใจตามไปดูรูปได้ที่หน้านี้





 

Create Date : 18 ตุลาคม 2550   
Last Update : 18 ตุลาคม 2550 8:12:06 น.   
Counter : 435 Pageviews.  


อันว่าเมืองไทย... ตอนจบจริงๆ

ต่อจากจากเรื่อง "อันว่าเมืองไทย... ตอนจบ" ที่เขียนเมื่อวานนี้

เมื่อสองชั่วโมงผ่านไป ก็สมควรแก่เวลาคุณลุงแว่นตากล่าวปิดการเสวนา ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน

ชายกลางคนใส่เสื้อสีม่วงที่เคยตั้งคำถามกับข้าพเจ้า เดินมาจากด้านหลังห้อง มุ่งตรงมาที่ข้าพเจ้าแล้วเขาก็ถามว่า
"กรุณาซัง จบมาจากยูอะไร"
ข้าพเจ้าตอบไปว่า "จุฬาลงกรณ์ไดกักขุ"
เขาชี้ไปที่ศีรษะแล้วว่า "อาตามะ อี้เดสเน่" ซึ่งแปลว่าหัวดี

แล้วแกก็ชวนคุยอะไรอยู่หลายประโยคเป็นต้นว่า ตอนอยู่เมืองไทยได้ไปสัมมนากับนักศึกษาธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ ระหว่างนั้นก็มีลุงอีกคนหนึ่งยืนรออยู่ด้านข้างข้าพเจ้า แกเข้ามาทักถามและขอลายเซ็น

โห... ดังกันคราวนี้...


ขอกลับมากล่าวถึงเรื่อง "ขนมไทย" ที่ข้าพเจ้าพาคุณลุงฟันปลอมไปซื้อกันเสียหน่อย

ร้านที่พาลุงแกไปนั้นอยู่ห่างจากบ้านไปสักหนึ่งชั่วโมงขับรถ มีอาหารกระป๋อง ผักหญ้า ใบตอง ของแช่แข็ง อีกวัตถุดิบเพื่อทำอาหารไทยครบครัน

ข้าพเจ้าหยิบขนมข้าวแต๋น (เขาเขียนข้างถุงไว้อย่างนั้น) เห็นว่าเป็นสินค้าโอทอปส่งมาจากเมืองไทย แล้วก็ได้ขนมดอกจอก เผือกฉาบ ทองม้วน มาอีกอย่างละ ๒ ถุง

เห็นสุดวิสัยที่จะได้ขนมสดๆอย่างทองหยิบ ฝอยทอง หรือตะโก้แห้ว (เอาเข้าไป) ก็เลยต้องเอาเท่าที่มี
ทั้งหมดเป็นขนมที่เก็บไว้ได้นานตามสภาพบ้านเมือง

แล้วก็จบ ไม่มีอะไรจะเล่าแล้ว...
ฮุๆๆๆ

อ้าว...

ขนมของเวียตนามที่เขาเอามานั้น ก็เป็นขนมที่เก็บได้นานเช่นกัน เผือกฉาบเหมือนกัน แล้วก็มีผลไม้อบแห้งต่างๆ อันประกอบด้วย ทุเรียน กล้วย สับปะรด
นายตรัง หนุ่มเวียตนามีส หยิบทุเรียนอบแห้งส่งให้ข้าพเจ้า เห็นความเป็นกันเองชัดแจ้งดี แต่บอกแล้วว่าข้าพเจ้าเป็นคนที่เอาใจยากที่สุดในโลก และไม่น่าคบเลย ข้าพเจ้าไม่รับทุเรียนชิ้นนั้นจากมือนายตรัง

ก็มะกี้แกเพิ่งช่วยคุณลุงทั้งหลายย้ายเก้าอี้ขนโต๊ะอยู่วุ่นวาย หญิงรับไม่ด้ายยยยย.....

ขนมของน้องตุ๊กตานางสาวฟิลิปปินส์ ทำด้วยนมเนยเสียทั้งหมด ห่อมาในกระดาษสีขาวหม่นๆ หวาน ถึงหวานมาก รสเหมือนเอานมข้นหวานมาทำให้เป็นเส้นคล้ายสายไหม แต่แหยะๆ และมีกลิ่นสาบนมจัด ม้วนเป็นแท่งเท่าดินสอเทียน

น้องตุ๊กตาว่าอร่อยมาก ทานสิคะ ข้าพเจ้าก็เลยขนเอากลับบ้าน ว่าจะเอาไปทานที่บ้านนะคะ
อีกสองอย่างก็ทำจากนมเนยและชีสเช่นกัน รูปร่างเป็นดินสอเทียน กับเป็นคล้ายๆเค้กอันเล็กๆห่อพลาสติก
หวานเจื้อย หวานแหลม หวานสนิท หวานเหลือเกิน
เหมือนน้องตุ๊กตาเลย โซ สวีท...

ขนมนี่ก็เป็นตัวแทนวัฒนธรรมได้เช่นกัน ทั้งรูปร่าง การห่อ และกรรมวิธีการทำ (หากว่ารู้)
ยิ่งซับซ้อนเท่าใดก็บอกความยาวนานและความลึกของประวัติศาสตร์ได้ เพราะวัฒนธรรมกับประวัติศาสตร์แยกกันไม่ออก

อย่างน้อยข้าพเจ้าก็คิดเช่นนั้น...

ขนมของทั้งสามประเทศ บอกอะไรกับข้าพเจ้าหลายอย่างทีเดียว

ขนมดอกจอกที่ข้าพเจ้าซื้อได้นั้น ทำในญี่ปุ่นโดยแม่บ้านคนไทย ตามที่ข้าพเจ้าค้นวิธีทำมา การที่จะทำให้เป็นรูปดอกจอกนั้น ทำโดยใช้พิมพ์จุ่มลงไปในแป้งที่ผสมไข่ น้ำตาล งาดำ ฯลฯแล้ว จากนั้นนำลงไปทอดในน้ำมัน ก็จะได้รูปออกมาสวยงามดังนั้น

ขั้นตอนและความยุ่งยากต่างๆในการทำ คือวัฒนธรรม

ข้าพเจ้าไม่ได้ไปเปิดพจนานุกรมที่ไหน แต่นึกเอาเองง่ายๆว่า "วัฒนธรรม" น่าจะมาจากคำว่า วัฒนา ซึ่งคือ "พัฒนา" หรือทำให้เจริญขึ้น
ส่วน "ธรรม" นั้นน่าจะทอนมาจากคำว่า "ธรรมชาติ"

การพัฒนาธรรมชาติด้วยมือมนุษย์ให้เป็นรูปแบบสวยงาม ให้น่าอยู่ น่าใช้ น่าอภิรมย์ น่าจะเป็นความหมายของคำว่า "วัฒนธรรม" ได้เป็นอย่างดี

บอกตรงนี้อีกครั้งว่า ข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น เขียนไปด้วยความเห็นส่วนตัว เอาไปอ้างอิงไม่ได้
เพราะข้าพเจ้าเขียนหนังสือเป็นเชิงออกความเห็น ไม่ใช่อวดรู้...

แนะนำประเทศไทยให้ชาวญี่ปุ่นรู้จัก ก็ขอจบที่บรรทัดนี้ ทำได้ดีหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ แต่สำหรับตัวเองแล้ว ข้าพเจ้าทำได้ดีที่สุดแค่นี้ แม้จะขายลูกโป่งไม่ออกสักใบเดียวก็ตาม...


สร้อยสัตตบรรณ




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2550   
Last Update : 4 สิงหาคม 2550 20:00:08 น.   
Counter : 420 Pageviews.  


อันว่าเมืองไทย... ตอนจบ

ต่อจากเรื่อง "อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๘"
ที่เขียนเมื่อวานนี้

ต่อคำถามที่ว่า มีอะไรที่ท่านเห็นว่า "ประหลาด" ในทัศนะของชาวต่างประเทศบ้าง ที่ลุงหน้าแบบตัวโกงในหนังสั้นถามมานั้น

น้องตุ๊กตาขวัญใจช่างภาพตอบพร้อมยิ้มสวยสู้กล้องว่า
หนูชอบประเทศญี่ปุ่นมาก ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกใจหรือเห็นว่าประหลาดสักอย่างเดียวเลยค่ะ
ในวงเล็บ เธออยู่ญี่ปุ่นมาห้าปีครึ่ง

รับคะแนนขวัญใจประชาชนไปอีกหอบใหญ่ๆ คาดว่าถ้าน้องหนูถือลูกโป่งไว้แบบประกวดนางงามจริงๆ คงมีคนรุมซื้อจนไม่พอขายเป็นแน่ อย่างนี้ต้องให้ขายที่ให้หน่อย... เอ้อ... นอกเรื่อง

น้องตุ๊กตาส่งไมค์ให้นางไทยแลนด์ คือข้าพเจ้า
ห้องเงียบกริบอีกครั้ง หลังจากแย่งกันจ่ายเงินค่าลูกโป่งกันวุ่นวายเมื่อสักครู่

ข้าพเจ้ายิ้มอยู่ในหน้าแบบทำทีเป็นผู้ทรงภูมิหาใครเทียบไม่ได้ แล้วก็บอกว่า

เมื่อแต่งงานใหม่ๆ ข้าพเจ้าก็เคยมีความคิดนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักหน่อย ข้าพเจ้าก็ประจักษ์ในความจริงว่า

มนุษย์นั้นมักจะเปรียบเทียบอะไรกับอะไรอยู่เสมอ และโดยไม่รู้ตัวเสียด้วย ยินเสียงรับอือๆ มาจากคุณป้ากลุ่มเดิม คาดว่าถ้ามีงานพูดที่ไหน คุณป้าคงไปเชียร์ข้าพเจ้าเป็นแน่

ข้าพเจ้าพูดต่อไปว่า แล้วก็การเปรียบเทียบนั้น คนเราก็มักจะเอาตัวเองเป็นพื้นฐาน ดังนั้นเมื่อเอาตัวเองเป็นเบสิกแล้ว รายรอบตัวเรานี้ "ประหลาด" หมดทุกเรื่องทุกข้อหาเลยทีเดียวเชียว

กลุ่มคุณป้ารับอีกอือใหญ่ๆ...

ข้าพเจ้าได้คิดเช่นนี้และกลายเป็นเห็นว่า คนที่ประหลาดน่ะคือข้าพเจ้า ไม่ใช่คนญี่ปุ่นที่รายรอบตัวข้าพเจ้าหรอก เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่เห็นอย่างนั้น...

แปลว่าอะไร คนฟังก็คงกำลังคิดอยู่เหมือนกัน

ข้าพเจ้าจบประโยคว่า
ยิ่งอยู่ญี่ปุ่นนานขึ้นมากเพียงไร ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า "ไม่เข้าใจ" ญี่ปุ่นมากขึ้นเท่านั้น...

แล้วก็ส่งไมค์ให้น้องเวียตนาม เธอพูดอะไรก็ไม่ได้ฟังแล้ว เพราะรู้สึกว่าตัวเอง ออกจะ "อหังการ์" ไปสักหน่อยไหม...
เพราะลึกๆแล้ว ข้าพเจ้าก็อยากขายลูกโป่งให้ได้สักลูกเหมือนกัน...

มีปัญหาน่าตบตามมาอีกระลอกหนึ่ง คาดว่าเป้าหมายคือเราสองคนที่เป็นผู้หญิง ลุงใส่แว่นตานั่งตรงกันข้ามกัยข้าพเจ้าเป๊ะถามเราสามคนว่า

ระหว่างการแต่งงาน ๓ ชนิด คือ หนึ่ง รักกันเอง สอง พ่อแม่หาให้ และสาม การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ในประเทศของทั้งสามท่าน มีอย่างไหนบ้าง และอย่างไหนมากที่สุด

น้องตุ๊กตาถึงสะอึก แต่น้องไม่ลืมยิ้มก่อนจะบอกอย่างเปิดอกว่า ในฟิลิปปินส์มีทั้งสามอย่าง จะเป็นอุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเธอมีน้ำตาอยู่หลังคำพูดนั้น

แล้วน้องก็เชิดหน้าพูดย้ำอีกครั้งในประโยคเดิมแบบเป็นไรเป็นกันว่า
ในฟิลิปปินส์มีการแต่งงานที่ว่ามาทั้งสามชนิด เธอเน้นคำว่า "สาม" จนรู้สึกได้

รายละเอียดต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าจำไม่ได้ เพราะมัวแต่ไปคิดว่า
จำนวนผู้หญิงฟิลิปปินส์ที่มาขายตัวในญี่ปุ่นมีอันดับหนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องตกใจไปว่า ผู้หญิงไทยแม้จะไม่ใช่อันดับสอง แต่ก็อยู่ในระดับต้นๆ และกำลังแซงโค้งมาแรงมาก แม้จะถูกกวาดกลับไปมากแล้วก็ตาม...

อะไรหนักๆไหลจากไมค์วิ่งเข้ามือและขึ้นมาสู่หน้าทันทีที่ไมค์มาอยู่ในมือข้าพเจ้า ห้องเงียบกริบอย่างที่บอกไว้แต่แรก ทุกคนมองมาที่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ามองหน้าลุงเจ้าของปัญหาด้วยสายตาเย็นชา ไม่วายยิ้มเย็นและกล่าวว่า

การแต่งงานสามชนิดที่ท่านว่ามา ข้าพเจ้ารู้จักอยู่ชนิดเดียวเท่านั้น...

ข้าพเจ้าหยุดวรรค เพื่อหยั่งเชิงว่าอีตาลุงคนนั้นจะพูดอะไรต่อมา เพราะตอนนี้แหละ "ความหมายแฝงเร้น" จะหลุดจากปากเขาออกมาเป็นแน่

แกมองตอบข้าพเจ้า แล้วกล่าวเลี่ยงไปว่า
แปลว่าเมืองไทย มีแต่การแต่งงานที่พ่อแม่หาให้เท่านั้นหรือ

หุหุ ที่นี้ล่ะให้เกียรติหญิงไทยว่าว่านอนสอนง่าย ไอ้ประโยคไม่จริงใจพรรค์นี้นี่มันน่าเอาคนพูดไปยิงทิ้งเสียจริงๆ
คิดได้แค่นี้ แต่ปากก็ตอบไปว่า
การแต่งงานโดยที่มีการดูตัวและพ่อแม่หาให้นั้น เมืองไทยเรามีเหมือนกันล่ะ แต่ว่าโน่นสมัยโบราณนานนมมากแล้ว

ข้าพเจ้าเน้นคำว่านานโดยลากเสียงเกินความจำเป็น พูดในภาษาญี่ปุ่นว่า "โอ..........มุคาชิ" พร้อมกับทำมือลากไปด้วยประกอบคำอธิบาย และไม่ลืมยิ้ม

ที่ประชุมหัวเราะในเสียงลากข้าพเจ้านั้น คำตอบก็จบไป

น้องหนูเวียตนาม บอกว่าอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ฟัง เพราะนึกโมโหไอ้แก่ที่ถามมา มันเห็นข้าพเจ้าเป็นหญิงไทยใจหาญสำราญในวัตถุสิ่งของจนยอมพลีชีวิตทั้งชีวิตแต่งงานกับคนญี่ปุ่นหรือไฉน ชะๆๆๆ รู้จักนางกรุณาน้อยไปซะแล้ว

เพิ่งกู้เอกราชให้ตัวเองเมื่อคำถามก่อนได้หยกๆ จะมาเพลี่ยงพล้ำถลำให้ข้าศึกได้อย่างไร ข้าพเจ้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในอกจนน้องหนุ่มเวียตนามคุยจบ แล้วปัญหาต่อไปก็ตามมา

คุณลุงฟันปลอม พี่เลี้ยงนางงามจากเมืองไทย ขยับฟันปลอมเอือดๆอยู่ในปากเมื่อรับไมค์ไป และกล่าวว่า
เคยคุยกับกรุณาซังเรื่องการบวชเป็นพระในพุทธศาสนา คติการบวชนั้นฟังแล้วจรรโลงใจดี ขอไขให้ในที่นี้รับทราบหน่อย

ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าพเจ้ารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและกล่าวต่อไปว่า
ชายไทยก็จะมีคติการบวชเพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ พาท่านขึ้นสวรรค์ถ้าได้จับผ้าเหลือง เขาเชื่อกันมาหยั่งงี้ล่ะค่ะ
ขี้เกียจต่อไปไกลๆว่า สมัยโบราณมันไม่มีโรงเรียน เขาก็เรียนกันในวัดนี่ล่ะ จบหลักสูตรสามเดือนคือหนึ่งพรรษา ออกมาก็เรียกว่าบัณฑิต ที่เรียกกันว่า ทิด นั่นล่ะโยม

คนแก่ทั้งนั้นที่เข้าฟัง ได้ยินแล้วคงอยากเป็นคนไทยกันก็คราวนี้

ว่าจะให้จบในตอนนี้ ไม่จบแฮะ
ขอเป็นวันรุ่งขึ้นอีกวันนะคะ

สร้อยสัตตบรรณ




 

Create Date : 03 สิงหาคม 2550   
Last Update : 3 สิงหาคม 2550 9:08:13 น.   
Counter : 378 Pageviews.  


อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๘

ต่อจากเรื่อง "อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๗"
ที่เขียนเมื่อวานนี้ แปลว่าเขียนทุกวัน

ปัญหาต่อมาเป็นปัญหาทำนองจะยกยอประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียว่า การอยู่รวมในครอบครัวใหญ่เป็นสิ่งที่ดี ลุงแว่นตาถามว่า
คิดเห็นอย่างไรกับการแยกอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยวของคนญี่ปุ่นในปัจจุบัน

คราวนี้ไมค์เวียนมาแต่หนุ่มเวียตกง เอ้อ... เวียตนาม แกรู้สึกปลดปล่อยมาก เพราะปัญหาใกล้ตัว เอาประสบการณ์ตอบได้ แกคุยโขมง (ต้องใช้คำนี้) ว่าที่เวียตนามจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ตัวผมนั้นอยู่กับอาก๋งด้วย อะไรก็ว่าไป แกรู้สึกว่าครอบครัวใหญ่อบอุ่นดี
(แล้วอพยพมาอยู่ญี่ปุ่นทั้งครอบครัวเลยทำไมก็ไม่รู้... )

แล้วไมค์ที่เวียนมาถึงมือข้าพเจ้า ก็ส่งเสียงตามที่คนถือพูดว่า

ข้าพเจ้าขอออกความเห็นโดยไม่เกี่ยวกับสัญชาติหรือเชื้อชาติใดๆ สิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่มุ่งมองว่าเป็นคนไทย หรือ คนญี่ปุ่น หรือคนในเกาะซามัว ฯลฯอะไรทั้งสิ้น

ข้าพเจ้าเห็นว่า โลกมันกำลังเปลี่ยนไป เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า "จิได งะ คาวัตตะ"
และสำหรับข้าพเจ้า วัฒนธรรมในมวลหมู่มนุษยชาติของโลกในยามนี้ กำลังจะกลายเป็นหนึ่งเดียว คือจะกลายไปเหมือนกันหมด

ข้าพเจ้าเรียกปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงนี้ว่า
"การกลายตามอเมริกา"
เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า "อเมริกา ขะ" แปลว่าการเปลี่ยนเป็นอเมริกา ตามนั้น

เสียงฮือรับมาจากกลุ่มแม่บ้านที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ว่าใช่ๆๆๆ ทำนองนั้น...

ข้าพเจ้าย้ำอีกครั้งว่า
นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น ไอ้คำนั้น (อเมริกา ขะ) ข้าพเจ้าก็เพิ่งคิดขึ้นมาเดี๋ยวนี้
ฟังหูไว้สองหูก็น่าจะดี... แล้วพูดต่อไปว่า

การอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว หรือการอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ต่างก็มีข้อดีข้อเสียมากบ้างน้อยบ้าง ประกอบกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป สภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และอะไรอื่นที่เป็นปัจจัยร่วมหรืออาจเรียกว่าเป็นตัวแปร ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลาดังนั้น
ดิฉันจึงไม่คิดว่าอะไรมันจะดีกว่าอะไร
ไม่ได้ตอบต่อไปว่า ถ้าถามว่าข้าพเจ้าชอบอยู่แบบไหน ข้าพเจ้าก็จะตอบว่า ชอบอยู่เดี่ยวๆแบบนี้ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเอาแต่ใจตัว และเห็นแก่ตัวมากที่สุดในโลก ไม่เหมาะอยู่กับใคร หรือจะให้ใครอยู่ด้วยแม้สักนิด... แต่เผอิญไม่มีใครถาม เลยเขียนไว้ซะตรงนี้เอง...

บรรยากาศกลับคืนสู่ความเป็นกันเองอีกครั้งเมื่อน้องตุ๊กตารับไมค์ไปจากข้าพเจ้า
ตาโตๆน่ารักคู่นั้นและเสียงใสๆที่บอกว่า ที่ฟิลิปปินส์ก็อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คนที่อยู่เป็นโสดไม่แต่งงาน ยังมีหน้าที่เลี้ยงดูญาติโกโหตุที่ไม่มีศักยภาพดูตัวเองกันด้วย

นับเป็นอีกมุมมองหนึ่งน่าสนใจทีเดียว สำหรับข้าพเจ้า คนไทยก็โอบเอื้อญาติ และมีความเป็นกันเองสูงมากเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นแล้ว แต่คงไม่ถึงกับฟิลิปปินส์
อันนี้นึกคนเดียวในใจ ไม่ได้พูดออกไป

คุณลุงพี่เลี้ยงนางงามฟิลิปปินส์ พยายามหาปัญหาที่น้องตุ๊กตาจะตอบได้ จนข้าพเจ้ารู้สึกได้ คุณลุงเป็นหน้าม้าถามต่อไปว่า ขอให้เล่าถึงเรื่องการแต่งงาน

แน่นอนว่า มันก็ต้องเล่าจากประสบการณ์
หนุ่มเวียตนามยังไม่มีประสบการณ์ แต่แกก็เล่าจากที่เคยเห็นมาแต่อ้อนแต่ออกว่า

ที่เวียตนามพิธีแต่งงานจะกินเวลาสามวัน มีการไปรับเจ้าสาวที่บ้าน และเฉลิมฉลองแบบสามล้อถูกหวย

นี่เป็นการสรุปของข้าพเจ้า เพราะฟังแล้วได้ความอย่างนั้น
การไปรับเจ้าสาวที่บ้านแต่ฟ้ายังไม่เปิด และขนมมงคลต่างๆ ฟังแล้วคล้ายๆประเพณีจีน

ข้าพเจ้าเพิ่งจะยิ้มผ่อนคลายได้ในปัญหานี้ (เพิ่งรู้ว่าเป็นคนเอาจริงเอาจังกับทุกปัญหาหลังจากการเสวนาจบลงเหมือนกัน)
ข้าพเจ้ายิ้มเขินๆว่าเรื่องแต่งงานก็คงจะคุยได้จากประสบการณ์ของตัวเองกระมัง ตามด้วยยิ้มเขินๆอีกสามสิบแปดครั้ง ในวงเล็บข้าพเจ้าอายุมากกว่าสามสิบแปดมากนัก ... นั่นไม่ใช่อายุข้าพเจ้า...

เอ้อ... ตอนแต่งงานมันก็มียุยโน (ของหมั้นจากฝ่ายชาย) มา แล้วเราก็คงยาขุ (หมั้น) กันก่อน

จากนั้นอีกปี ก็มี คงเร (สินสอด) จากฝ่ายชายมาในวันแต่งงาน

ก็เหมือนๆกับประเพณีในญี่ปุ่นนั่นล่ะ

ทำพิธีตอนเช้าที่บ้านของข้าพเจ้า มีพระสงฆ์มาสวดมนต์และเลี้ยงพระที่บ้าน แล้วก็มีปาร์ตี้ที่โรงแรม ก็เหมือนๆกับของคนญี่ปุ่นล่ะนะ

ข้าพเจ้าข้ามๆไปไม่ได้เล่าละเอียด เพราะไม่รู้จะเล่าไปทำไมเหมือนกัน เพียงแต่ต้องการจะบอกว่า ก็มันก็เหมือนๆกันล่ะ

อ้อ... ที่ไม่เหมือนกันคือ เจ้าสาวใส่ชุดขาวชุดเดียวตอนกลางคืน ไม่มี "อิโระ นาโอชิ" คือเปลี่ยนชุดเจ้าสาวเป็นสีแดง สีเขียว อะไรอื่นอีกสามชุดเหมือนเจ้าสาวญี่ปุ่น

เสียง ฮือ... รับตามมา ประมาณว่า อ้อ....

แล้วก็ถึงคราวน้องตุ๊กตาเธอแต่งงาน
ฟิลิปปินส์แต่งงานกันง่ายๆเธอว่างั้น ไม่ต้องใช้เงินเลย ของเธอจะเป็นยังไงข้าพเจ้าคนเขียนก็ลืมไปแล้ว เพราะมัวแต่หลงวนเวียนอยู่ในบรรยากาศงานแต่งงานของตัวเองอยู่ อืม.... ตอนนั้นผอมกว่านี้เยอะ... สิบกิโลได้.... โห....

ถัดจากปัญหาพาฝัน แต่งงานกันดีกว่า ชะเอิงเอย คุณลุงหน้าตาแบบตัวโกงในหนังสั้นก็ยกมือถามว่า

อยู่ญี่ปุ่นมากันคนละหลายๆปีแล้ว เห็นว่าญี่ปุ่นมีอะไร "ประหลาด" ในทัศนะของท่านหรือไม่ อย่างไร วานตอบ...

ข้าพเจ้าจะมาไขในวันพรุ่ง...

สร้อยสัตตบรรณ




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2550   
Last Update : 2 สิงหาคม 2550 10:12:56 น.   
Counter : 430 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

majoreenu
 
Location :
Chiba Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข้อความในหน้านี้
เป็นของที่เจ้าของสงวน
ห้ามเอาไปไม่บังควร
จงคิดครวญให้จงนาน

อาจโดนตบกะโหลก
เอาหัวโขกเสียบประจาน
เพราะเจ้าของเป็นคนพาล
ทรงเสน่ห์และเล่ห์กล

ฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ
อีกฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ

สร้อยสัตตบรรณ
เจ้าของบล็อก

....................................................

สร้อยสัตตบรรณ หรือกรกุณารี
ก็คนคนเดียวกัน...

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


ความคิดถึงที่อ่านได้
[Add majoreenu's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com