แม้นานเนาก็ยังห่วงยอดดวงเสน่หา...
 
อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๘

ต่อจากเรื่อง "อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๗"
ที่เขียนเมื่อวานนี้ แปลว่าเขียนทุกวัน

ปัญหาต่อมาเป็นปัญหาทำนองจะยกยอประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียว่า การอยู่รวมในครอบครัวใหญ่เป็นสิ่งที่ดี ลุงแว่นตาถามว่า
คิดเห็นอย่างไรกับการแยกอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยวของคนญี่ปุ่นในปัจจุบัน

คราวนี้ไมค์เวียนมาแต่หนุ่มเวียตกง เอ้อ... เวียตนาม แกรู้สึกปลดปล่อยมาก เพราะปัญหาใกล้ตัว เอาประสบการณ์ตอบได้ แกคุยโขมง (ต้องใช้คำนี้) ว่าที่เวียตนามจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ตัวผมนั้นอยู่กับอาก๋งด้วย อะไรก็ว่าไป แกรู้สึกว่าครอบครัวใหญ่อบอุ่นดี
(แล้วอพยพมาอยู่ญี่ปุ่นทั้งครอบครัวเลยทำไมก็ไม่รู้... )

แล้วไมค์ที่เวียนมาถึงมือข้าพเจ้า ก็ส่งเสียงตามที่คนถือพูดว่า

ข้าพเจ้าขอออกความเห็นโดยไม่เกี่ยวกับสัญชาติหรือเชื้อชาติใดๆ สิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่มุ่งมองว่าเป็นคนไทย หรือ คนญี่ปุ่น หรือคนในเกาะซามัว ฯลฯอะไรทั้งสิ้น

ข้าพเจ้าเห็นว่า โลกมันกำลังเปลี่ยนไป เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า "จิได งะ คาวัตตะ"
และสำหรับข้าพเจ้า วัฒนธรรมในมวลหมู่มนุษยชาติของโลกในยามนี้ กำลังจะกลายเป็นหนึ่งเดียว คือจะกลายไปเหมือนกันหมด

ข้าพเจ้าเรียกปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงนี้ว่า
"การกลายตามอเมริกา"
เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า "อเมริกา ขะ" แปลว่าการเปลี่ยนเป็นอเมริกา ตามนั้น

เสียงฮือรับมาจากกลุ่มแม่บ้านที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ว่าใช่ๆๆๆ ทำนองนั้น...

ข้าพเจ้าย้ำอีกครั้งว่า
นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น ไอ้คำนั้น (อเมริกา ขะ) ข้าพเจ้าก็เพิ่งคิดขึ้นมาเดี๋ยวนี้
ฟังหูไว้สองหูก็น่าจะดี... แล้วพูดต่อไปว่า

การอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว หรือการอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ต่างก็มีข้อดีข้อเสียมากบ้างน้อยบ้าง ประกอบกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป สภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และอะไรอื่นที่เป็นปัจจัยร่วมหรืออาจเรียกว่าเป็นตัวแปร ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลาดังนั้น
ดิฉันจึงไม่คิดว่าอะไรมันจะดีกว่าอะไร
ไม่ได้ตอบต่อไปว่า ถ้าถามว่าข้าพเจ้าชอบอยู่แบบไหน ข้าพเจ้าก็จะตอบว่า ชอบอยู่เดี่ยวๆแบบนี้ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเอาแต่ใจตัว และเห็นแก่ตัวมากที่สุดในโลก ไม่เหมาะอยู่กับใคร หรือจะให้ใครอยู่ด้วยแม้สักนิด... แต่เผอิญไม่มีใครถาม เลยเขียนไว้ซะตรงนี้เอง...

บรรยากาศกลับคืนสู่ความเป็นกันเองอีกครั้งเมื่อน้องตุ๊กตารับไมค์ไปจากข้าพเจ้า
ตาโตๆน่ารักคู่นั้นและเสียงใสๆที่บอกว่า ที่ฟิลิปปินส์ก็อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คนที่อยู่เป็นโสดไม่แต่งงาน ยังมีหน้าที่เลี้ยงดูญาติโกโหตุที่ไม่มีศักยภาพดูตัวเองกันด้วย

นับเป็นอีกมุมมองหนึ่งน่าสนใจทีเดียว สำหรับข้าพเจ้า คนไทยก็โอบเอื้อญาติ และมีความเป็นกันเองสูงมากเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นแล้ว แต่คงไม่ถึงกับฟิลิปปินส์
อันนี้นึกคนเดียวในใจ ไม่ได้พูดออกไป

คุณลุงพี่เลี้ยงนางงามฟิลิปปินส์ พยายามหาปัญหาที่น้องตุ๊กตาจะตอบได้ จนข้าพเจ้ารู้สึกได้ คุณลุงเป็นหน้าม้าถามต่อไปว่า ขอให้เล่าถึงเรื่องการแต่งงาน

แน่นอนว่า มันก็ต้องเล่าจากประสบการณ์
หนุ่มเวียตนามยังไม่มีประสบการณ์ แต่แกก็เล่าจากที่เคยเห็นมาแต่อ้อนแต่ออกว่า

ที่เวียตนามพิธีแต่งงานจะกินเวลาสามวัน มีการไปรับเจ้าสาวที่บ้าน และเฉลิมฉลองแบบสามล้อถูกหวย

นี่เป็นการสรุปของข้าพเจ้า เพราะฟังแล้วได้ความอย่างนั้น
การไปรับเจ้าสาวที่บ้านแต่ฟ้ายังไม่เปิด และขนมมงคลต่างๆ ฟังแล้วคล้ายๆประเพณีจีน

ข้าพเจ้าเพิ่งจะยิ้มผ่อนคลายได้ในปัญหานี้ (เพิ่งรู้ว่าเป็นคนเอาจริงเอาจังกับทุกปัญหาหลังจากการเสวนาจบลงเหมือนกัน)
ข้าพเจ้ายิ้มเขินๆว่าเรื่องแต่งงานก็คงจะคุยได้จากประสบการณ์ของตัวเองกระมัง ตามด้วยยิ้มเขินๆอีกสามสิบแปดครั้ง ในวงเล็บข้าพเจ้าอายุมากกว่าสามสิบแปดมากนัก ... นั่นไม่ใช่อายุข้าพเจ้า...

เอ้อ... ตอนแต่งงานมันก็มียุยโน (ของหมั้นจากฝ่ายชาย) มา แล้วเราก็คงยาขุ (หมั้น) กันก่อน

จากนั้นอีกปี ก็มี คงเร (สินสอด) จากฝ่ายชายมาในวันแต่งงาน

ก็เหมือนๆกับประเพณีในญี่ปุ่นนั่นล่ะ

ทำพิธีตอนเช้าที่บ้านของข้าพเจ้า มีพระสงฆ์มาสวดมนต์และเลี้ยงพระที่บ้าน แล้วก็มีปาร์ตี้ที่โรงแรม ก็เหมือนๆกับของคนญี่ปุ่นล่ะนะ

ข้าพเจ้าข้ามๆไปไม่ได้เล่าละเอียด เพราะไม่รู้จะเล่าไปทำไมเหมือนกัน เพียงแต่ต้องการจะบอกว่า ก็มันก็เหมือนๆกันล่ะ

อ้อ... ที่ไม่เหมือนกันคือ เจ้าสาวใส่ชุดขาวชุดเดียวตอนกลางคืน ไม่มี "อิโระ นาโอชิ" คือเปลี่ยนชุดเจ้าสาวเป็นสีแดง สีเขียว อะไรอื่นอีกสามชุดเหมือนเจ้าสาวญี่ปุ่น

เสียง ฮือ... รับตามมา ประมาณว่า อ้อ....

แล้วก็ถึงคราวน้องตุ๊กตาเธอแต่งงาน
ฟิลิปปินส์แต่งงานกันง่ายๆเธอว่างั้น ไม่ต้องใช้เงินเลย ของเธอจะเป็นยังไงข้าพเจ้าคนเขียนก็ลืมไปแล้ว เพราะมัวแต่หลงวนเวียนอยู่ในบรรยากาศงานแต่งงานของตัวเองอยู่ อืม.... ตอนนั้นผอมกว่านี้เยอะ... สิบกิโลได้.... โห....

ถัดจากปัญหาพาฝัน แต่งงานกันดีกว่า ชะเอิงเอย คุณลุงหน้าตาแบบตัวโกงในหนังสั้นก็ยกมือถามว่า

อยู่ญี่ปุ่นมากันคนละหลายๆปีแล้ว เห็นว่าญี่ปุ่นมีอะไร "ประหลาด" ในทัศนะของท่านหรือไม่ อย่างไร วานตอบ...

ข้าพเจ้าจะมาไขในวันพรุ่ง...

สร้อยสัตตบรรณ




Create Date : 02 สิงหาคม 2550
Last Update : 2 สิงหาคม 2550 10:12:56 น. 6 comments
Counter : 430 Pageviews.  
 
 
 
 
เเวะมาสวัสดีตอนเช้าครับ..ขอให้โลกสดใสครับ
 
 

โดย: อู๋ (ฟ้าสีส้ม ) วันที่: 2 สิงหาคม 2550 เวลา:10:14:10 น.  

 
 
 

 
 

โดย: 愛読者 (นางไม้หน้า3 ) วันที่: 2 สิงหาคม 2550 เวลา:13:13:42 น.  

 
 
 
 
 

โดย: majoreenu วันที่: 2 สิงหาคม 2550 เวลา:19:41:30 น.  

 
 
 
 
 

โดย: Dublina วันที่: 2 สิงหาคม 2550 เวลา:21:44:59 น.  

 
 
 
 
 

โดย: wbj วันที่: 2 สิงหาคม 2550 เวลา:23:36:50 น.  

 
 
 
 
 

โดย: majoreenu วันที่: 3 สิงหาคม 2550 เวลา:5:10:28 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

majoreenu
 
Location :
Chiba Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข้อความในหน้านี้
เป็นของที่เจ้าของสงวน
ห้ามเอาไปไม่บังควร
จงคิดครวญให้จงนาน

อาจโดนตบกะโหลก
เอาหัวโขกเสียบประจาน
เพราะเจ้าของเป็นคนพาล
ทรงเสน่ห์และเล่ห์กล

ฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ
อีกฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ

สร้อยสัตตบรรณ
เจ้าของบล็อก

....................................................

สร้อยสัตตบรรณ หรือกรกุณารี
ก็คนคนเดียวกัน...

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


ความคิดถึงที่อ่านได้
[Add majoreenu's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com