แม้นานเนาก็ยังห่วงยอดดวงเสน่หา...
 
อันว่าเมืองไทย... ตอนจบ

ต่อจากเรื่อง "อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๘"
ที่เขียนเมื่อวานนี้

ต่อคำถามที่ว่า มีอะไรที่ท่านเห็นว่า "ประหลาด" ในทัศนะของชาวต่างประเทศบ้าง ที่ลุงหน้าแบบตัวโกงในหนังสั้นถามมานั้น

น้องตุ๊กตาขวัญใจช่างภาพตอบพร้อมยิ้มสวยสู้กล้องว่า
หนูชอบประเทศญี่ปุ่นมาก ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกใจหรือเห็นว่าประหลาดสักอย่างเดียวเลยค่ะ
ในวงเล็บ เธออยู่ญี่ปุ่นมาห้าปีครึ่ง

รับคะแนนขวัญใจประชาชนไปอีกหอบใหญ่ๆ คาดว่าถ้าน้องหนูถือลูกโป่งไว้แบบประกวดนางงามจริงๆ คงมีคนรุมซื้อจนไม่พอขายเป็นแน่ อย่างนี้ต้องให้ขายที่ให้หน่อย... เอ้อ... นอกเรื่อง

น้องตุ๊กตาส่งไมค์ให้นางไทยแลนด์ คือข้าพเจ้า
ห้องเงียบกริบอีกครั้ง หลังจากแย่งกันจ่ายเงินค่าลูกโป่งกันวุ่นวายเมื่อสักครู่

ข้าพเจ้ายิ้มอยู่ในหน้าแบบทำทีเป็นผู้ทรงภูมิหาใครเทียบไม่ได้ แล้วก็บอกว่า

เมื่อแต่งงานใหม่ๆ ข้าพเจ้าก็เคยมีความคิดนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักหน่อย ข้าพเจ้าก็ประจักษ์ในความจริงว่า

มนุษย์นั้นมักจะเปรียบเทียบอะไรกับอะไรอยู่เสมอ และโดยไม่รู้ตัวเสียด้วย ยินเสียงรับอือๆ มาจากคุณป้ากลุ่มเดิม คาดว่าถ้ามีงานพูดที่ไหน คุณป้าคงไปเชียร์ข้าพเจ้าเป็นแน่

ข้าพเจ้าพูดต่อไปว่า แล้วก็การเปรียบเทียบนั้น คนเราก็มักจะเอาตัวเองเป็นพื้นฐาน ดังนั้นเมื่อเอาตัวเองเป็นเบสิกแล้ว รายรอบตัวเรานี้ "ประหลาด" หมดทุกเรื่องทุกข้อหาเลยทีเดียวเชียว

กลุ่มคุณป้ารับอีกอือใหญ่ๆ...

ข้าพเจ้าได้คิดเช่นนี้และกลายเป็นเห็นว่า คนที่ประหลาดน่ะคือข้าพเจ้า ไม่ใช่คนญี่ปุ่นที่รายรอบตัวข้าพเจ้าหรอก เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่เห็นอย่างนั้น...

แปลว่าอะไร คนฟังก็คงกำลังคิดอยู่เหมือนกัน

ข้าพเจ้าจบประโยคว่า
ยิ่งอยู่ญี่ปุ่นนานขึ้นมากเพียงไร ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า "ไม่เข้าใจ" ญี่ปุ่นมากขึ้นเท่านั้น...

แล้วก็ส่งไมค์ให้น้องเวียตนาม เธอพูดอะไรก็ไม่ได้ฟังแล้ว เพราะรู้สึกว่าตัวเอง ออกจะ "อหังการ์" ไปสักหน่อยไหม...
เพราะลึกๆแล้ว ข้าพเจ้าก็อยากขายลูกโป่งให้ได้สักลูกเหมือนกัน...

มีปัญหาน่าตบตามมาอีกระลอกหนึ่ง คาดว่าเป้าหมายคือเราสองคนที่เป็นผู้หญิง ลุงใส่แว่นตานั่งตรงกันข้ามกัยข้าพเจ้าเป๊ะถามเราสามคนว่า

ระหว่างการแต่งงาน ๓ ชนิด คือ หนึ่ง รักกันเอง สอง พ่อแม่หาให้ และสาม การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ในประเทศของทั้งสามท่าน มีอย่างไหนบ้าง และอย่างไหนมากที่สุด

น้องตุ๊กตาถึงสะอึก แต่น้องไม่ลืมยิ้มก่อนจะบอกอย่างเปิดอกว่า ในฟิลิปปินส์มีทั้งสามอย่าง จะเป็นอุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเธอมีน้ำตาอยู่หลังคำพูดนั้น

แล้วน้องก็เชิดหน้าพูดย้ำอีกครั้งในประโยคเดิมแบบเป็นไรเป็นกันว่า
ในฟิลิปปินส์มีการแต่งงานที่ว่ามาทั้งสามชนิด เธอเน้นคำว่า "สาม" จนรู้สึกได้

รายละเอียดต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าจำไม่ได้ เพราะมัวแต่ไปคิดว่า
จำนวนผู้หญิงฟิลิปปินส์ที่มาขายตัวในญี่ปุ่นมีอันดับหนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องตกใจไปว่า ผู้หญิงไทยแม้จะไม่ใช่อันดับสอง แต่ก็อยู่ในระดับต้นๆ และกำลังแซงโค้งมาแรงมาก แม้จะถูกกวาดกลับไปมากแล้วก็ตาม...

อะไรหนักๆไหลจากไมค์วิ่งเข้ามือและขึ้นมาสู่หน้าทันทีที่ไมค์มาอยู่ในมือข้าพเจ้า ห้องเงียบกริบอย่างที่บอกไว้แต่แรก ทุกคนมองมาที่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ามองหน้าลุงเจ้าของปัญหาด้วยสายตาเย็นชา ไม่วายยิ้มเย็นและกล่าวว่า

การแต่งงานสามชนิดที่ท่านว่ามา ข้าพเจ้ารู้จักอยู่ชนิดเดียวเท่านั้น...

ข้าพเจ้าหยุดวรรค เพื่อหยั่งเชิงว่าอีตาลุงคนนั้นจะพูดอะไรต่อมา เพราะตอนนี้แหละ "ความหมายแฝงเร้น" จะหลุดจากปากเขาออกมาเป็นแน่

แกมองตอบข้าพเจ้า แล้วกล่าวเลี่ยงไปว่า
แปลว่าเมืองไทย มีแต่การแต่งงานที่พ่อแม่หาให้เท่านั้นหรือ

หุหุ ที่นี้ล่ะให้เกียรติหญิงไทยว่าว่านอนสอนง่าย ไอ้ประโยคไม่จริงใจพรรค์นี้นี่มันน่าเอาคนพูดไปยิงทิ้งเสียจริงๆ
คิดได้แค่นี้ แต่ปากก็ตอบไปว่า
การแต่งงานโดยที่มีการดูตัวและพ่อแม่หาให้นั้น เมืองไทยเรามีเหมือนกันล่ะ แต่ว่าโน่นสมัยโบราณนานนมมากแล้ว

ข้าพเจ้าเน้นคำว่านานโดยลากเสียงเกินความจำเป็น พูดในภาษาญี่ปุ่นว่า "โอ..........มุคาชิ" พร้อมกับทำมือลากไปด้วยประกอบคำอธิบาย และไม่ลืมยิ้ม

ที่ประชุมหัวเราะในเสียงลากข้าพเจ้านั้น คำตอบก็จบไป

น้องหนูเวียตนาม บอกว่าอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ฟัง เพราะนึกโมโหไอ้แก่ที่ถามมา มันเห็นข้าพเจ้าเป็นหญิงไทยใจหาญสำราญในวัตถุสิ่งของจนยอมพลีชีวิตทั้งชีวิตแต่งงานกับคนญี่ปุ่นหรือไฉน ชะๆๆๆ รู้จักนางกรุณาน้อยไปซะแล้ว

เพิ่งกู้เอกราชให้ตัวเองเมื่อคำถามก่อนได้หยกๆ จะมาเพลี่ยงพล้ำถลำให้ข้าศึกได้อย่างไร ข้าพเจ้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในอกจนน้องหนุ่มเวียตนามคุยจบ แล้วปัญหาต่อไปก็ตามมา

คุณลุงฟันปลอม พี่เลี้ยงนางงามจากเมืองไทย ขยับฟันปลอมเอือดๆอยู่ในปากเมื่อรับไมค์ไป และกล่าวว่า
เคยคุยกับกรุณาซังเรื่องการบวชเป็นพระในพุทธศาสนา คติการบวชนั้นฟังแล้วจรรโลงใจดี ขอไขให้ในที่นี้รับทราบหน่อย

ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าพเจ้ารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและกล่าวต่อไปว่า
ชายไทยก็จะมีคติการบวชเพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ พาท่านขึ้นสวรรค์ถ้าได้จับผ้าเหลือง เขาเชื่อกันมาหยั่งงี้ล่ะค่ะ
ขี้เกียจต่อไปไกลๆว่า สมัยโบราณมันไม่มีโรงเรียน เขาก็เรียนกันในวัดนี่ล่ะ จบหลักสูตรสามเดือนคือหนึ่งพรรษา ออกมาก็เรียกว่าบัณฑิต ที่เรียกกันว่า ทิด นั่นล่ะโยม

คนแก่ทั้งนั้นที่เข้าฟัง ได้ยินแล้วคงอยากเป็นคนไทยกันก็คราวนี้

ว่าจะให้จบในตอนนี้ ไม่จบแฮะ
ขอเป็นวันรุ่งขึ้นอีกวันนะคะ

สร้อยสัตตบรรณ



Create Date : 03 สิงหาคม 2550
Last Update : 3 สิงหาคม 2550 9:08:13 น. 4 comments
Counter : 381 Pageviews.  
 
 
 
 
ไทยแลนด์
ไทยแลนด์
ไทยแลนด์

หนูมาเชียร์ Mrs. Thailand ค่ะ
 
 

โดย: 愛読者 (นางไม้หน้า3 ) วันที่: 3 สิงหาคม 2550 เวลา:9:35:13 น.  

 
 
 
มาเสนอหน้า
เอ้ย
มารายตัวค่ะ ^^

ได้ log in ใหม่มาแล้วค่ะ...
 
 

โดย: ปั้น (Charlotte Russe ) วันที่: 3 สิงหาคม 2550 เวลา:12:09:48 น.  

 
 
 
อุ๊ย เด็กๆมากันนะคะ พี่ยุ้ยดีใจแย่ ขอบคุณค่ะ
 
 

โดย: พี่ยุ้ย (majoreenu ) วันที่: 3 สิงหาคม 2550 เวลา:18:55:08 น.  

 
 
 
มารออ่านต่อเจ้าค่ะ
 
 

โดย: 愛読者 (นางไม้หน้า3 ) วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:15:03:06 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

majoreenu
 
Location :
Chiba Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข้อความในหน้านี้
เป็นของที่เจ้าของสงวน
ห้ามเอาไปไม่บังควร
จงคิดครวญให้จงนาน

อาจโดนตบกะโหลก
เอาหัวโขกเสียบประจาน
เพราะเจ้าของเป็นคนพาล
ทรงเสน่ห์และเล่ห์กล

ฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ
อีกฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ

สร้อยสัตตบรรณ
เจ้าของบล็อก

....................................................

สร้อยสัตตบรรณ หรือกรกุณารี
ก็คนคนเดียวกัน...

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


ความคิดถึงที่อ่านได้
[Add majoreenu's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com