แม้นานเนาก็ยังห่วงยอดดวงเสน่หา...
 
อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๑

ต่อจากเรื่อง "ไปร่วมเสวนากับเขาด้วยคน"

ข้าพเจ้าถูกต้อนให้นั่งตรงกลางโดยมีสาวฟิลิปปินส์ กับหนุ่มน้อยชาวเวียตนามขนาบซ้ายขวา ถัดไปเป็นบรรดาคุณลุงกิจกรรมนั่งกันรายเรียงไป

โต๊ะที่เอามาต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสนั้นมีกระดานดำอยู่ด้านหลังข้าพเจ้า เพราะเขาให้นั่งหันหน้าเข้าหากัน ทำนองประชุม ไม่ใช่เรียนหนังสือ

แผนที่ประเทศไทยกางหราอยู่บนกระดานดำ คุณลุงฟันปลอมขยับปากเป็นจังหวะเดียวกับฟัน เกิดเสียงดังเอือดๆอยู่เล็กๆพอได้ยิน หนุ่มเวียตนามน่าจะได้ยินชัดกว่าข้าพเจ้า เพราะเธอนั่งถัดมาจากคุณลุง
ช่างมันเถอะนะ...

คุณลุงแว่นตา พิธีกรหลักโยนลูกให้ข้าพเจ้ารับ แล้วทุกสายตาก็มุ่งมองมาที่ข้าพเจ้าเป็นจุดเดียว...

ข้าพเจ้ากล่าวแนะนำตัว แล้วก็บอกว่า จะเรียกข้าพเจ้าว่าไซโต้ก็ได้ หรืออยากเรียกว่า กรุณา ก็ได้
ชาวญี่ปุ่นนั่นเรียกนามสกุลกันเป็นเรื่องปกติ เป็นที่น่าสังเกตว่า พวกเขามักจะเรียกชื่อข้าพเจ้ามากกว่าจะเรียกว่าไซโต้ซัง น่าคิดเหมือนกันว่า พวกเขาทรีตข้าพเจ้าเป็น "คนต่างชาติ" อยู่เสมอ... แม้ในวันที่พยายามจะ "เปิดโลกกว้าง"

ข้าพเจ้าเป็นคนเก็บรายละเอียดในด้านพฤติกรรมมนุษย์มาก และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกได้
ไม่ใช่เป็นการคิดเล็กคิดน้อยแต่ประการใด
พฤติกรรมละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้ทราบถึง "ความรู้สึกที่มีต่อข้าพเจ้า" อยู่ข้างใต้คำพูดทุกๆคำ และนั่นไม่เพียงแต่คนญี่ปุ่นเท่านั้น....

กลับมาที่โต๊ะเสวนา

ข้าพเจ้ากราดสายตาไปยังผู้ฟังที่อายุแก่กว่าข้าพเจ้าทั้งหมดในห้องนั้น พร้อมกับคิดคร่าวๆไปว่า คงไม่ต้องคุยเรื่องซีเรียสนักหนาอะไรนัก เสียแรงไปค้นคว้าเรื่องขนมไทยกับขนมญี่ปุ่น เพื่อพูดถึงอิทธิพลร่วมจากการติดต่อสัมพันธ์กับชาติโปรตุเกสแต่สมัยอยุธยามาก่อนหน้านี้

ก่อนหน้าวันเสวนา
คุณลุงฟันปลอมบอกว่า อยากให้ช่วยหาขนมไทยไปแกล้มน้ำชายามบ่ายช่วงพักเสวนา ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า หากมีขนมไทยให้ดู ให้ชิม ให้สัมผัส ก็คุยเรื่องขนมไทยไปเสียเลย เป็นการสัมผัสด้วยประสาททั้งห้า และเพิ่มเรื่องวัฒนธรรมและแทรกประวัติศาสตร์ร่วมกันลงไปเสียหน่อย
ประดับสมองน้อยๆทั้งคนพูดและคนฟัง

ข้าพเจ้านำหนังสือทำขนมไทยที่มีรูปประกอบสวยงามไปให้พวกเขาดูกันด้วย

แต่เมื่อดูจากบรรยากาศ เรื่องที่เตรียมไปก็พักไว้ ข้าพเจ้าไม่ชอบยัดเยียดอะไรให้ใครหากเห็นว่า คนรับไม่น่าจะมีศักยภาพพอ หรือไม่มีใจจะอ้ารับ
หรือบางที บรรยากาศก็บอกเราว่า "ช่างมันเถอะ..."

ข้าพเจ้าส่งหนังสือให้พวกเขาเวียนกันดู แล้วพูดติดตลกสำทับไปว่า
"อย่างที่พวกท่านคงจะคิดกัน ข้าพเจ้าไม่สามารถทำขนมที่ปรากฎสวยงามอยู่ในหน้าหนังสือที่ท่านเห็นได้แม้สักอย่างเดียวเลย"

ได้ผล เขาหัวเราะรับมุขข้าพเจ้าได้ทัน
มุขนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น "มุขสากล" ข้าพเจ้าคิด

จากนั้นข้าพเจ้าก็เปิดโอกาสให้เขาถามเรื่องที่เขาอยากรู้ แน่นอนว่าข้าพเจ้าตัดสินใจในบัดดลนั้นว่า ให้เขาถามเรื่องที่เขาอยากรู้ดีกว่า และข้าพเจ้าเชื่อมือตัวเองว่า สามารถคุมเกมไม่ให้ถามออกนอกเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะแตะต้องได้ เป็นต้นว่า
ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า
ทั้งสามเรื่องนั้นอยู่ในความสนใจของเหล่าคนวัยชรานี้ไม่น้อย และข้าพเจ้าต้องตอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย....


สร้อยสัตตบรรณ

มีต่อ





Create Date : 26 กรกฎาคม 2550
Last Update : 2 สิงหาคม 2550 10:02:53 น. 2 comments
Counter : 1170 Pageviews.  
 
 
 
 
พี่ยุ้ยยยยยยยยยยยยยย....ดีใจจังค่า หนูอ่านเมลแล้วมาอย่างเร็วเลย มาเมืองไทยไม่บอกเลยอ่า .... ไม่เป็นไรไว้คราวหน้าได้ค่า ดีใจจังเลย ได้มีอะไรดีๆอ่านแล้ว จริงๆเรนก็เปิดบล็อคที่นี่ไว้แต่ไม่ได้เขียนเลย คงต้องหัดบ้างแล้ว .... นั่นรูปเจ้าเต้นใช่มั๊ยคะ น่าตบโหลกเหมือนเดิม 555555+ ..... คิดถึงนะคะพี่
 
 

โดย: twinklerain วันที่: 26 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:21:42 น.  

 
 
 
แม่ยุ้ย
เล่าอีกค่ะ เล่าอีก
อยากอ่านต่อไวไว
 
 

โดย: หนูเองค่ะ (นางไม้หน้า3 ) วันที่: 26 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:20:02 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

majoreenu
 
Location :
Chiba Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข้อความในหน้านี้
เป็นของที่เจ้าของสงวน
ห้ามเอาไปไม่บังควร
จงคิดครวญให้จงนาน

อาจโดนตบกะโหลก
เอาหัวโขกเสียบประจาน
เพราะเจ้าของเป็นคนพาล
ทรงเสน่ห์และเล่ห์กล

ฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ
อีกฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ

สร้อยสัตตบรรณ
เจ้าของบล็อก

....................................................

สร้อยสัตตบรรณ หรือกรกุณารี
ก็คนคนเดียวกัน...

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


ความคิดถึงที่อ่านได้
[Add majoreenu's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com