แม้นานเนาก็ยังห่วงยอดดวงเสน่หา...
 
บันทึกญี่ปุ่นฉบับว้าวุ่น

๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑

น้ำมันขึ้นราคาจากลิตรละ ๑๖๔ เยนเป็น ๑๗๘ เยน (ราคาอ้างอิงจากสถานีบริการละแวกบ้านในจังหวัดชิบะซึ่งเป็นที่พักอาศัยของแม่ยุ้ยคนเขียน) กล่าวกับตัวเองว่า เมื่อใดที่น้ำมันขึ้นถึง ๒๐๐ เยน เห็นว่าจะเลิกขับรถแล้วหันมาอยู่กับบ้าน หาอะไรทำให้หนึ่งวันหมดไปโดยไม่ออกไปไหนเลย จนกว่าสามีแม่ยุ้ยจะหยุดเสาร์อาทิตย์ แล้วจึงจะให้เขาพาไปซื้อกับข้าว ไปวัด ไปช้อปปิ้ง ไปวาดรูปที่สวนริมน้ำ แล้วบ้านเราก็จะเหลือรถคันเดียว ประหยัดไปอีกแบบ งานสอนหนังสือก็คงจะบอกเลิก เพราะไม่อาจขี่จักรยานไปสถานีรถไฟฟ้าได้ เนื่องจากจักรยานที่แม่ยุ้ยขี่จะต้องมีเลนกว้างเท่ากับถนนที่รถราวิ่งไปมาได้ และห้ามคนขี่จักรยานสวนมา อีกทั้งประดาผู้คนทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องห้ามใช้เส้นทางนั้นด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วจักรยานคนจนของแม่ยุ้ยจะวิ่งเข้าไปชนคน ชนเรลข้างทาง ตลอดจนเข้าพงเข้ารกแทนที่จะถึงที่หมาย

และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องราวชีวิตคงจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง คือชีวิตจะผันแปรไปตามราคาขึ้นลงของน้ำมัน แต่เมื่อคิดในส่วนรวมก็ดีเหมือนกัน โลกก็คงจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปได้หน่อยหนึ่ง อย่างน้อยก็ในส่วนที่แม่ยุ้ยเป็นคนก่อขึ้น แล้วอีที่นี้ก็จะได้หายโลกร้อนกันคราวน้ำมันแพงนี่เอง อานิสงส์ข้อนี้หากจะส่งให้ได้สมปรารถนา ก็ยินดีจะทำถึงไหนถึงกันนั่นทีเดียว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องรอให้น้ำมันขึ้นถึง ๒๐๐ เยนก่อน

แม่ยุ้ยตั้งข้อสังเกตเรื่องราคาน้ำมันเป็นครั้งแรกเมื่อคราวไปเมืองไทยในปีพ.ศ.๒๕๕๐ ราวเดือนมิถุนายน คือตอนไปรับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดปีที่แล้ว และทำการสังเกตให้เป็นหลักฐานด้วยการถ่ายรูปป้ายบอกราคาน้ำมันไว้เป็นของฝากสำหรับตัวเอง เพราะสนใจและติดข้องอยู่ไม่น้อยว่า ราคาน้ำมันของทั้งสองประเทศไฉนจึงแตกต่างกันนัก ทั้งๆ ที่น่าจะมาจากหลุมเดียวกัน หรือหลุมข้างๆ กันก็ได้ เอ้า...

ป้ายบอกว่าราคาลิตรละ ๒๖ บาทกว่าๆ แม่ยุ้ยแถมหลักฐานจดหมายเหตุเมืองไทยต่อไปอีกหน่อยด้วยการถ่ายป้ายบอกอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนเป็นเงินบาทอีกป้ายหนึ่ง ได้ตัวเลขมาว่า ตกราว ๒๗ บาทกว่าๆ ต่อ ๑๐๐ เยน นึกต่อไปค่อยๆ ว่า ค่าเงินเยนตกลงไป เพราะเคยมีประสบการณ์ถึงกว่า ๔๐ บาท ราวสิบกว่า เกือบยี่สิบปีก่อนหน้านี้

กลับมาที่วันที่อยู่เมืองไทยในขณะนั้นคือกลางเดือนมิถุนายน ปีที่แล้ว ราคาน้ำมันสำหรับรถวิ่งที่ญี่ปุ่นตกราว ๑๒๖ เยนต่อลิตร ซึ่งแน่นอนว่าแพงกว่าที่เมืองไทยอยู่แล้ว เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่นในราวปลายเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน น้ำมันขึ้นเป็นลิตรละ ๑๓๒ เยน นึกเสียใจว่าน่าจะเติมน้ำมันก่อนไปเมืองไทย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น นอกจากวูบความคิดที่ผุดพรายขึ้นมาในบัดเดี๋ยวนั้นว่า น่าจะบันทึกเป็นจดหมายเหตุราคาน้ำมันที่ผันแปรขึ้นลงเอาแน่อะไรมิได้ของประเทศนี้ คือญี่ปุ่น ไม่มีปัญญาเขียนจดหมายเหตุของเมืองไทย ด้วยไม่สามารถสืบเสาะเลาะหาข้อมูลทั้งดิบและสุกได้หมดจด จึงขอเขียนเฉพาะของที่เห็นอยู่ตรงหน้า

ในวันที่ ๑ ของทุกเดือนที่นี่ กลายเป็นสัญญาณว่า ราคาน้ำมันจะขึ้นราคาไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็เป็นดังนั้นอยู่เกือบจะทุกเดือน เดือนไหนไม่ขึ้น เราก็จะหันมาหากันบอกว่าเดือนนี้น้ำมันไม่ขึ้น พร้อมกับถอนหายใจอยู่ในอกทำนองโล่งใจ กาลผ่านพ้นมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ นับเวลาได้หนึ่งขวบปีนับแต่เฝ้าจับสังเกต ราคาน้ำมันก็ขึ้นมาเรื่อยๆ เป็น ๑๔๘ เยน ๑๕๒ เยน ตามลำดับ เฉลี่ยแล้วจะขึ้นภายในสิบเยนนับเทียบจากเดือนที่ผ่านมา แล้วอยู่ๆ ในเดือนเมษายนของปี ๒๐๐๘ น้ำมันเบนซินที่ญี่ปุ่นก็ลดลงไปให้ชื่นใจเป็น ๑๒๔ เยนต่อลิตร ที่เคยเติมเต็มถังราวเจ็ดพันกว่าเยน ก็เหลือราวหกพันเยน น่าเติมแล้วขับวนไปวนมาให้สาแก่ใจเป็นยิ่งนัก...

สาเหตุแห่งการลดราคามหาสวัสดีนี้ก็คือว่า มีการลดเก็บภาษีน้ำมัน หรือไม่เก็บเลย อะไรสักอย่างหนึ่ง เราจะไม่ต่อถึงสาเหตุหรือข้อรายละเอียดว่าทำไม อย่างไร ใคร อะไร เพราะทุกคำถามที่ตั้งมาทั้งหมด แม่ยุ้ยตอบได้คำถามเดียวเท่านั้นว่าที่ไหน ก็ที่ญี่ปุ่นนี้อย่างไรเล่า...

แต่มันก็เป็นอยู่เดือนเดียวเท่านั้น แล้วน้ำมันก็ขึ้นราคาพรวดเดียว แพงเสียกว่าราคาก่อนที่จะลดลงไปอีก เป็น ๑๕๘ เยน ในวัฏจัรวงล้อแห่งการสมมุติของมนุษย์นี้ นับว่านี่ป็นข้อสมมุติที่น่าโมโหเสียจริง แต่เราก็ต้องอยู่ท่ามกลางการสมมุติอันทรงพลังเช่นนี้ มิอาจหลุดออกจากวงล้อไปเสียได้เลย...


ในคืนวันที่ ๓๐ เมษายนนั้น ถนนแน่นเนืองไปด้วยรถยนต์ที่เข้าแถวเติมน้ำมันก่อนราคาจะเปลี่ยนในวันใหม่คือเวลาเที่ยงคืนของคืนวันนั้น ปรากฏการณ์นี้กลายเป็นข่าวของทีวีทุกช่อง และบอกอะไรหลายๆ อย่างให้เรารู้ได้ไม่น้อย แต่ความที่อยากรู้แค่เรื่องปากท้องเท่านั้น แม่ยุ้ยก็เลยคิดไปแค่ว่า มันแปลกดี หรืออาจจะแปลกไม่ดีก็ได้ อะไรอีกหลายๆ อย่างทั้งทางลึกและทางกว้างอันพึงจะมีนอกจากนั้นก็ขี้เกียจคิด เพราะสมองน้อยเป็นปฐม และขี้เกียจค้นคว้าต่อเป็นมัธยม ถ้ารู้มากขึ้นแล้วจะลดราคาให้เฉพาะคนที่รู้ล่ะก็ ว่าจะค้นหาข้อมูลให้ละเอียดยิบย่อยไปทีเดียวเชียว...

หากออล์ย ช็อก ในราวปี ๗๐ กับภาวะเงินเฟ้อที่ผ่านมา จะเป็นเหตุการณ์แห่งคลื่นการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก กระแสลม หรือกระแสรักก็ตามแต่ แม่ยุ้ยก็อยากจะดันอาการน้ำมันขึ้นราคานี่เข้ารวมกลุ่มกับเขาด้วยคน และขอบอกเป็นคำรบสองว่า ไม่สามารถเขียนบันทึกเมืองไทยได้ เพราะข้อมูลบางเบาและไม่ได้สัมผัสโดยตรง หากเขียนไม่ได้อย่างมีความเข้าใจถ่องแท้แล้วมันน่าอดสู จึงจะขอละไปเสีย ทั้งเรื่องราคาข้าว หรือราคาไข่ แอนด์ โซ ออน... จึงขอพากลับบ้านที่ญี่ปุ่นไปก่อนดังนี้เอย

นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยุคราคาน้ำมันขึ้นลงหาความอุ่นใจมิได้นี้ คือนายฟุคุดะ ยาสึโอะ ที่เคยเป็นโฆษกรัฐบาลสมัยนายโคะอิซึมิ จุนอิจิโร่ เป็นนายกรัฐมนตรี บุคลิกไว้ตัวอีกสายตาที่กราดมองทุกผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาเมื่อให้สัมภาษณ์นั้น แม้จะไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่าชะรอยจะติดมาจากการที่เคยเป็นโฆษกรัฐบาล หรืออาจเกิดจากการที่เคยเป็นลูกนายกรัฐมนตรีก็ตามที นายฟุคุดะคนนี้ ก็ไม่มีผลงานอันใดที่โดดเด่นเป็นที่นาประทับใจประชาชนคนญี่ปุ่นมากจนถึงกับเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจชาวอาทิตย์อุทัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ
หมายเหตุเพื่อทราบกันอีกนิดว่า พ่อนายฟุคุดะ เป็นนายกรัฐมนตรีลำดับที่ ๖๗ ส่วนฟุคุดะจูเนียร์นี้เป็นลำดับที่ ๙๑ หากนายฟุคุดะผู้พ่อจะก้มลงมองมาจากสรวง คงจะยินดีหาน้อยไม่ที่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

แต่อันที่จริง ในยุคสมัยที่โลกไม่ว่าจะซีกใดๆ วัฒนาให้เท่าเทียมและเหมือนกันไปหมดทั้งใบเช่นนี้ การนำพาประเทศให้เคียงไหล่กับประเทศอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่มันยากราวกับปอกกล้วยป้อนเข้าปากเสือนั่นเทียว เพราะนอกจากเสือจะไม่กินกล้วยแล้ว มันอาจจะกินเราเข้าไปแทน ดังนั้นการเป็นนายกฯ จึงไม่ใช่เรื่องหมูๆ และต้องมีชั้นเชิงเป็นช่อทีเดียวเชียว แม่ยุ้ยคนเขียนไม่นิยมเอาอะไรเปรียบเทียบกับอะไรอยู่เป็นปฐม แต่ก็ไม่วายเปรียบ เพราะของทุกอย่างเปรียบแล้วเข้าใจง่ายขึ้น แต่มานึกอีกที ใครจะมีเสน่ห์เท่านายโคอิซึมิ จุนอิจิโร่ เจ้าของฉายา ริชาร์ด เกียร์แห่งญี่ปุ่นไปได้ ขานั้นดังและเป็นที่นิยมไม่แพ้ริชาร์ดเอาเลยทีเดียว เผลอๆ ริชาร์ดอาจจะแพ้ (จำกัดแวดวงไว้แค่ญี่ปุ่นเท่านั้น) เรื่องนายกฯ ญี่ปุ่นคนนี้ ถ้าให้เขียนคงแตกออกไปได้เยอะ เลยเอาไว้แค่นี้

เอนี่เวย์ อย่างไรก็ดี นายฟุคุดะ ก็เป็นผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นนายกฯ แทนนายอาเบ ที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งกลางสมัย ตะลึงโลก และตะลึงชนจนคนญี่ปุ่นชากันไปกว่าค่อนประเทศตอนประกาศลาออกจากตำแหน่งนั่นทีเดียว ในวงเล็บไว้หน่อยว่า ถูกด่าว่าไม่มีความรับผิดชอบซะไม่มีดีเลย ผิดกับบางประเทศที่ผู้คนระริกระรี้อยากเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นยิ่งนัก...

กลับมาที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน นายฟุคุดะ ยาสีโอะ

อย่างน้อยที่สุด รัศมีสีเฮ้ากวงจ้าจัด บวกกับบารมีที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อนรวมเข้ากับชาตินี้ คงจะบอกกับเรากลายๆ ได้ว่า ไม่สมควรไปดูถูกเขาได้ง่ายๆ เช่นกัน เนื่องจากหากไม่มีเขา ญี่ปุ่นจะไร้นายกรัฐมนตรีเอาโง่ๆ ง่ายๆ ทีเดียวเชียว หรือจะนับเนื่องยกให้เป็นพระเอกขี่ม้าขาว หรือขี่ควายเผือกอะไรก็สุดจะหยั่งเดา แต่ทำให้ได้คิดไปอีกนิดหนึ่งว่า ตำแหน่งบางตำแหน่งก็มีไว้ให้หมู่คนอุ่นๆ ใจว่ามีที่พึ่งเท่านั้นก็มี และนั่นก็อาจเป็นประโยชน์สูงสุดที่ตำแหน่งนั้นๆ จะเอื้อให้ ก็อาจคิดไปได้เช่นกัน

กลับมาที่เรื่องปากท้องกันดีกว่า เพราะเป็นจดหมายเหตุหรือบันทึกฉบับว้าวุ่นดังว่าไว้แต่ต้นเรื่อง จึงควรห่างรัฐสภาปาลีเมนต์ไว้ไกลๆ ก็จะเป็นการดี ด้วยไม่มีความรู้นั้นหนึ่ง และอีกหนึ่งคือ ทำให้เสียเวลาทำสิ่งที่ตัวเองชอบ มากหลายอยู่ หากว่าจะต้องไปค้นคว้ามาเพื่อเขียนเรื่องนี้ให้กระชับหนับแน่นไปด้วยเนื้อหาประดามี

จึงสมควรพากลับเข้าครัวคนยากที่บ้านแม่ยุ้ยกัน ได้ความต่อไปว่า ไม่เพียงแต่น้ำมันเบนซินเท่านั้นที่ขึ้นราคา แต่น้ำมันพืชสำหรับทอดปลานั่นก็ขึ้นด้วย อีกแป้งสาลีทำขนมปังนั่นขึ้นพรวดเดียว ๕๐ เยนต่อกิโล คนทำขนมปังเอง (ทำด้วยเครื่อง) อย่างแม่ยุ้ยนั่น กลับมานั่งคิดจนกระทั่งแทบเอาเท้าก่ายหน้าผากคิด ทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกคือก่ายไม่ได้เพราะตัวไม่อ่อนขนาดนั้น ลำบากต้องเอาเท้าคนอื่นมาก่ายอีก ยังไม่ทันได้เท้าใครมาพาดหน้าผาก ก็คิดต่อไปได้อีกประโยคว่า หรือจะซื้อขนมปังที่เขาขายดี เพราะมันอาจจะถูกกว่าและที่สำคัญไม่เสียเวลาด้วย เนยก็ขึ้นราคามาแต่หลายเดือนก่อนแล้ว แถมยังขาดตลาดเสียอีกด้วย น้ำตาลทรายก็ขึ้นราคาอีกโลละกว่า ๒๐ เยน

หรือเราจะรับประทานวันละสองมื้อ คือมื้อหิว กับมื้อไม่หิว และบางทีอาจต้องหัดปลูกผักเองเสียแล้ว เลิกวัฒนธรรมขนมปัง หันมาหาน้ำพริกผักจิ้ม อีกปลาย่าง ผอมกันอีคราวนี้เอง เอ๊ะ... ไม่เลวเหมือนกัน มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นเลย โลกนี้ช่างรื่นรมย์ คิดพลางหยิบแป้งสาลีใส่ตะกร้า เพราะยังคิดไม่ออกว่าจะเอายังไงกันดี

จดหมายเหตุวันที่สอง อาจจะเขียนวันที่สาม ถ้าอยากอ่านก็ยกมือขึ้น...

ในวงเล็บปิดท้ายอีกทีว่า อาจจะเขียน...



หอมใหญ่ เพิ่งขุดจากดิน สีจึงออกอย่างที่เห็น ถ้าเอาไว้สักหน่อยเปลือกก็จะกลายเป็นสีชาอย่างที่คุ้นเคย
(ครูปลูก ไม่ใช่แม่ยุ้ย ยังไม่มีความสามารถปลูกผักได้)



ดอกไฮเดรนเยีย หรืออาจิไซ



อาจิไซ ต้นริมรั้ว ไม่ค่อยได้ให้น้ำ ดอกจึงเล็กลงทุกปีๆ น่าสงสารนัก

แม่ยุ้ย



Create Date : 02 กรกฎาคม 2551
Last Update : 3 กรกฎาคม 2551 6:10:21 น. 7 comments
Counter : 720 Pageviews.  
 
 
 
 
ไฮเดรนเยีย เป็นดอกไม้โปรดของพี่เหมือนกัน โดยเฉพาะสีฟ้าครามกับชมพู สีม่วงกลัวเป็นแม่หม้าย เมื่อก่อนจะปลูกไว้ที่ระเบียงคอนโดบนเขา แล้วไม่ติดทะเลมาก ก็จะอญู่ทนประมาณ2-3 เดือน เพราะอากาศค่อนข้างดี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ขึ้นไปเลย ก็เลยซื้อเอามาปลูกที่ระเบียงอยู่ได้อาทิตย์เดียวก็ตายเพราะแดดแรงกับติดทะเล ก็เลยไม่ค่อยได้ชื่นชมตั้งแต่นั้นมา
 
 

โดย: pinkypile IP: 222.123.195.44 วันที่: 3 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:21:21 น.  

 
 
 
สวัสดีค่ะพี่พิงกี้ ไฮเดรนเยียชอบน้ำมากๆ เวลาบ่ายๆ คอตกเลยค่ะถ้าวันไหนแดดแรงๆ
 
 

โดย: majoreenu วันที่: 4 กรกฎาคม 2551 เวลา:6:18:09 น.  

 
 
 
แม่ยุ้ยที่รัก

นึกไปถึงตอนเด็ก ยุคที่มีเพลง"น้ำมันขาดแคลน คุยกับแฟนก็ต้องดับไฟ.." รวมถึงในภายหลังที่มีนโยบายช่วยรัฐประหยัดไฟ ด้วยการงดออกอากาศรายการโทรทัศน์ตั้งแต ๑๘.๓๐ ถึง ๒๐.๐๐อยู่หลายปี จนเมื่อเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นรายการโทรทัศน์ก็มีให้ชมกันทั้งวันทั้งคืน

เดี๋ยวนี้คงทำไม่ได้ง่ายๆแล้วนะคะ จะกลายเป็นปิดหูปิดตา
 
 

โดย: แมงด๊ด มดแตง IP: 116.68.151.138 วันที่: 4 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:42:41 น.  

 
 
 
บางครั้งปิดซะบ้าง ก็สบายใจดีนะพี่ว่า...
 
 

โดย: majoreenu วันที่: 4 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:23:05 น.  

 
 
 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
 
 

โดย: nathanon วันที่: 5 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:05:38 น.  

 
 
 
แวะมายกมือรออ่านภาคต่อค่ะ

 
 

โดย: นางไม้หน้า3 วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:23:36 น.  

 
 
 
สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณครูและหนูมด
ธุระเยอะค่ะ เลยตอบช้าไปหน่อย เสาร์อาทิตย์อย่างนี้ หุๆๆ ข้อแก้ตัวคนตามใจตัวเองค่ะ

เสาร์แรกของเดือนกรกฎาคม ที่นี่เข้าหน้าร้อนเต็มตัว แต่ฝนยังตกอยู่ ท่ามกลางบรรยากาศสีม่วงครามของดอกไฮเดรนเยียอย่างนี้ มีเทศกาลลดราคารับหน้าร้อน เลยต้องไปเหมาซื้อเสียหน่อย หมดเวลาไปเป็นวันๆ แต่มีความสุขมากค่ะ ว่าจะลงคอลเล็กชั่นกระเป๋า สร้อย เสื้อผ้า ฯลฯ ซะดีมะเนี่ย... ฮ่าๆๆ

ลูกๆ กำลังจะหยุดเทอมแล้ว ต้องทำข้าวกลางวันถวายเป็นมื้อเพลอีกแล้วค่ะ พรุ่งนี้จะไปคามากุระ เพื่อเก็บข้อมูลเขียนอะไรเล่นๆ ค่ะ

ฝากคิดถึงเมืองไทยด้วยค่ะ
 
 

โดย: majoreenu วันที่: 7 กรกฎาคม 2551 เวลา:5:39:41 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

majoreenu
 
Location :
Chiba Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข้อความในหน้านี้
เป็นของที่เจ้าของสงวน
ห้ามเอาไปไม่บังควร
จงคิดครวญให้จงนาน

อาจโดนตบกะโหลก
เอาหัวโขกเสียบประจาน
เพราะเจ้าของเป็นคนพาล
ทรงเสน่ห์และเล่ห์กล

ฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ
อีกฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ

สร้อยสัตตบรรณ
เจ้าของบล็อก

....................................................

สร้อยสัตตบรรณ หรือกรกุณารี
ก็คนคนเดียวกัน...

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


ความคิดถึงที่อ่านได้
[Add majoreenu's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com