แม้นานเนาก็ยังห่วงยอดดวงเสน่หา...
 
 

อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๗

ต่อจากเรื่อง อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๖
ที่เขียนเมื่อวานนี้

เมื่อนางสาวฟิลิปปินส์ (หรือจะเรียกให้ถูกคือนางฟิลิปปินส์) ถูกถามจนต้องยิ้มแห้งๆปนหวานไปแล้ว ก็เป็นรายการคำถามเดียวกันตอบ๓ประเทศ

ความที่ข้าพเจ้าที่นั่งกลางระหว่างผู้เข้าประกวด จึงทำให้ต้องตอบปัญหาเป็นคนที่สองทุกครั้งไปต่อจากนี้

คำถามแรกว่าอะไรก็ลืมไปแล้ว แปลว่าไม่ติดตรึง ปัญหาที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องเงยขึ้นไปมองเพดานก่อนตอบคือ

ในญี่ปุ่น มีการกลั่นแกล้งกันในเด็กวัยรุ่นดังที่เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ และจัดเป็นปัญหาน่าเป็นห่วงระดับชาติ
เด็กตายจากการถูกแกล้งจากเพื่อนร่วมโรงเรียนก็มี ประเทศของท่านทั้งสาม มีปัญหาเช่นนี้หรือไม่

นางสาวฟิลิปปินส์ตอบว่า
ไม่มี ดิฉันไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้ ที่ฟิลิปปินส์ไม่มีการกลั่นแกล้งกันหรอกค่ะ

ข้าพเจ้าไม่ทันได้ฟังเธอตอบมากกว่านี้ เพราะกำลังนึกหาคำตอบให้กับตัวเอง ฟังหางเสียงน้องตุ๊กตาเธอได้แค่นี้ก็เงยหน้าขึ้นไปมองเพดานห้อง

ไมค์ถูกส่งมาเมื่อน้องตุ๊กตาเธอกล่าวจบ แล้วข้าพเจ้าก็ตอบว่า

ปัญหาการกลั่นแกล้งกันนั้น ในรูปแบบที่เหมือนกับเด็กญี่ปุ่นแกล้งเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เช่นทุกคนรุมขังเพื่อนไว้ในห้องน้ำ แล้วเอาน้ำสาด หรือเอาหมุดใส่ในรองเท้าเพื่อนให้เหยียบ หรือรุมซ้อมจนตายคาเบาะในโรงยิมฯ อย่างที่เคยเป็นข่าว
ที่ประเทศไทย ไม่มีการกลั่นแกล้งลักษณะนั้น อันนี้ตามประสบการณ์ของข้าพเจ้าแต่วัยเยาว์ แต่...

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เด็กไทยเป็นเด็กดี
อันนี้ต้องทำความเข้าใจ สำหรับข้าพเจ้านั้น การกลั่นแกล้งเพื่อนน่าจะมีสาเหตุมาจากจิตใจข้างในของเด็กๆ
เพียงแต่การแสดงออก หรือพฤติกรรมที่ออกมาจะต่างกันไปในแต่ละประเทศ ไทยจึงไม่มีการแกล้งเพื่อนในลักษณะเดียวกันกับของญี่ปุ่น

ในประเทศไทย เด็กช่างกลต่างโรงเรียนยกพวกตีกัน และพาคนอื่นตายไปก็เป็นปัญหาที่พวกผู้ใหญ่ยังหาทางแก้ไขไม่ได้

พฤติกรรมการรวมกลุ่มกันทำอะไรร่วมกันสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าผลหรือการกระทำนั้นจะถูกต้องดีงามหรือไม่นั้น เป็นการเปลี่ยน "อารมณ์ภายใน" ซึ่งเป็น "นามธรรม" ของเด็กวัยรุ่นออกมาให้เป็น "รูปธรรม" ให้เห็นได้

การต่างกันในรูปแบบการนำเสนอ (ขอใช้คำนี้) ของวัยรุ่นไทยกับญี่ปุ่นนั้นน่าจะขึ้นอยู่กับความแตกต่างกันทางภูมิอากาศ การอบรมเลี้ยงดู คติความเชื่อ ประวัติศาสตร์ และอะไรอื่นอีกมากในเบื้องลึก

ข้าพเจ้าพบว่า ทุกคนในที่ประชุมตั้งใจฟังข้าพเจ้าพูดมาก
ต่อจากนั้นหนุ่มเวียตนามก็รับไมค์ไป เขาบอกอย่างมั่นใจว่า เด็กเวียตนามไม่มีการกลั่นแกล้งกัน เพราะครูชาวเวียตนามนั้นดุมาก ครูพูดอะไรคำไหนคำนั้น ดุเหลือเกิน
เขาย้ำว่าดุอยู่๓ครั้ง แปลว่า ดุมาก...
ทุกคนหัวเราะตาม

ข้าพเจ้ารู้สึกไปว่า เด็กเวียตนามและฟิลิปปินส์ น่าจะเก็บกดน่าดูเหมือนกัน...

ปัญหาถัดมาคาดว่าคุณลุงฟันปลอมต้องการให้บรรยากาศยิ้มแย้มขึ้นมาบ้าง จึงทำตัวเป็นหน้าม้า ที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า "ซากุระ" (ที่ไม่ใช่ดอกไม้) ว่า

ทั้งสามท่าน มี "อะไร" หรือ "ใคร" ที่เป็นคนหรือสถานที่ในประเทศของท่านที่ท่านภูมิใจหรือไม่
สำหรับลุงแล้ว ลุงชอบ "อิชิโร่" เป็นบุคคลในดวงใจของลุงเลยทีเดียว

หมายเหตุ อิชิโร่ เป็นนักเบสบอลชาวญี่ปุ่นของทศวรรษนี้ที่ข้ามไปเล่นที่อเมริกา แกเป็นฮีโร่ในใจคนญี่ปุ่นอยู่มากมายทีเดียว

ไมค์เวียนมาจากน้องตุ๊กตาในรอบนี้ น้องหนูนึก ท่านึกของเธอก็ช่างน่ารัก หน้าเล็กๆนั่นมีตาโตๆประดับอยู่เกือบครึ่งของพื้นที่ในหน้า ข้าพเจ้ามองดูแล้วก็ถอนใจในความงามของตัวเอง จุดจุดจุด

น้องหนูเอ่ยชื่อดาราชาวฟิลิปปินส์มาคนหนึ่ง แล้วก็ต้องอธิบายต่อว่าเป็นดารา ไม่ใช่นักมวย ด้วยมีบางคุณลุงถามกลับมาว่า เป็นนักมวยหรือ...

ข้าพเจ้ารับไมค์มาอย่างมั่นใจ ห้องประชุมเงียบกริบ ข้าพเจ้าคงไม่ได้คิดไปเองเป็นแน่ว่า ทุกคนรู้สึกสนใจใคร่รู้มากว่า ข้าพเจ้าจะพูดอะไรต่อไป

หลังจากกราดสายตาไปทั่วห้อง ข้าพเจ้าก็บอกว่า
สำหรับคนไทยอย่างข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกภูมิใจมากที่ประเทศของข้าพเจ้าเป็นเอกราช ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศใดๆเลยตราบจนทุกวันนี้ ในขณะที่ประเทศรอบๆพากันเป็นเมืองขึ้นกันไปหมด

ความอหังการในน้ำเสียงและสายตาที่ข้าพเจ้ามองกราดไประหว่างที่พูดนั้น ส่งเอกราชไปทั่วห้องกว้างๆนั้นในคราวเดียวกันด้วย

อย่างน้อยข้าพเจ้าก็รู้สึกเช่นนั้น แม้จะขอโทษในใจกับน้องสองคนประเทศเพื่อนบ้านที่นั่งขนาบแล้วก็ตาม...

ต่อจากนั้น คำถามย่ำยีเอกราชของข้าพเจ้าก็ไม่มีปรากฏอีก

สร้อยสัตตบรรณ

ต่อพรุ่งนี้




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2550   
Last Update : 1 สิงหาคม 2550 8:22:40 น.   
Counter : 435 Pageviews.  


อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๖

ต่อจากเรื่อง อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๕
ที่เขียนเมื่อวานนี้

ก่อนที่จะถูกถามรวมในคำถามเดียวกันทั้ง ๓ ประเทศ มิสฟิลิปปินส์ถูกจวกเบาะๆจนทำเอาหงายหลังด้วยคำถามนี้

แต่ก่อนนี้เห็นว่าฟิลิปปินส์นำหน้าพัฒนาแซงประเทศใดๆในอาเซียน มาบัดนี้ไยจึงยากจนกระจอกงอกง่อยล้าหลังเกือบจะเป็นประเทศท้ายสุดๆในกลุ่มอาเซียนกันเล่า ในแง่ประชาชนของประเทศ มีความคิดเห็นเป็นอย่างไรกับการณ์ที่แปรเปลี่ยนเช่นนี้...

โห....

ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เพิ่งรู้ว่า ฟิลิปปินส์เคยเกรียงไกรนำหน้าในอาเซียนหรอกหรือ ข้าพเจ้าไปอยู่ที่ใดมา...
ต่อด้วยความรู้สึกสงสารน้องตุ๊กตาอยู่ท่วมท้น ถ้าเป็นข้าพเจ้า ปัญหานี้ต้องขอเวลาพูดสักหนึ่งวันได้ไหม ตั้งใจว่าจะถามกลับไปอย่างนี้...
หรืออีกทีก็จะตอบว่า กูจะไปรู้ได้ยังไง...
อือ... มันต้องพูดอย่างนั้นแหละ...

อย่างที่คิดๆกันไว้ น้องตุ๊กตาเธอก็เอียงคอไปมา แล้วก็ยิ้ม น้องเธอทำหน้าเฉยๆก็น่ารักจะแย่อยู่แล้ว ดันยิ้มแล้วเอียงคอเข้าไปอีก ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ...
บรรยากาศรอบๆมันบอกว่าอย่างนั้น...

แต่น้องเธอก็พยายาม พบว่าเธอไม่เข้าใจคำถาม และศัพท์บางคำ คือคำว่า โคะคุมิน ที่แปลว่าประชาชน(ตาดำๆ)
หลายคนพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจ ซึ่งกินเวลาทำความเข้าใจ ทอดช่วงอึดอัดในเนื้อหาของปัญหาให้ยาวเนิ่นนานออกไปอีก

เป็นที่น่าสังเกตว่า หนุ่มเวียตนามมักจะหันมาส่งสายตาพึ่งพาข้าพเจ้าทุกประโยคที่แกไม่มั่นใจ แต่น้องตุ๊กตาจะไม่เคยหันมาหาข้าพเจ้าเลย ผู้หญิงด้วยกันก็คงอย่างนี้
อย่างว่าล่ะ ข้าพเจ้าก็หุ่นนางงามเหมือนกันนี่นา.... ฮุๆๆ

คุณลุงคุณป้ารายรอบพยายามอธิบายคำว่า โคะคุมิน ให้เธออยู่แข็งขัน ถ้าหันมาหานางงามจากประเทศไทยเสียแต่แรก ก็จะบอกไปว่า people in your country

อย่างไรก็ดี น้องตุ๊กตาก็ได้ทราบความหมายจนได้
แต่ถึงแม้จะทราบแล้ว ก็ยังไม่สามารถตอบได้อยู่ดี ก็บอกแล้วไงว่า ปัญหานี้ต้องตอบได้อย่างเดียว่ว่า
กูจะไปรู้ได้ไง...

น้องเธอยิ้มหวานกว่าที่เคยยิ้มมาก่อนหน้านี้อีก ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องยิ้มหวานขนาดนั้น ขอโทษที่ตอบไม่ได้หรือ แล้วทำไมต้องขอโทษ
คนถามสิต้องขอโทษเธอที่ทำให้เธออึดอัดใจถึงเพียงนี้.... แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อยที่ทำให้ประเทศไม่เกริกไกร...

เมื่อเห็นบรรยากาศไม่น่ารื่นรมย์เท่าใดนัก คนหนุ่มคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่า
ภาษาที่ใช้ในหนังสือแบบเรียนฟิลิปปินส์นั้นเป็นภาษาอะไร เห็นว่ามีหลายหลากมากภาษาเกินกว่าจะนับได้อย่างที่แนะนำประเทศในตอนแรก

น้องตุ๊กตาตอบว่ามีทั้งสองภาษาคือตากาล็อก และภาษาอังกฤษ ภาษาเสปนก็มี
เอาเข้าจริงๆ เลยไม่รู้ว่ามีกี่ภาษากันแน่
เธอว่าฟิลิปปินส์มีกว่าเจ็ดพันเกาะ ภาษาในแต่ละท้องถิ่นก็เป็นไปตามนั้น เธอเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง

ก็คุยๆกันไปเรื่อยๆละนะ....

น้องตุ๊กตาสอนพูดภาษาตากาล็อก เป็นต้นว่า เธอสวยจังเลย ฉันรักเธอ ขอบคุณหลายเด้อ...
คำพวกนี้เราผู้ประกวดทั้งสามคนทำการบ้านกันมาก่อนหน้านี้ คุณลุงกิจกรรมพิมพ์ใส่กระดาษแจกผู้เข้าร่วมเสวนาทุกคนอยู่แล้ว ผู้เข้าร่วมเสวนาก็ดูโพยในกระดาษแล้วก็ออกเสียงตามๆกันไป

ข้าพเจ้านั้นทำการบ้านให้ แต่ไม่ได้สอนให้ออกเสียงในระหว่างเสวนา
ก็ไม่รู้จะสอนไปทำไม เดี๋ยวก็ลืม
ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันเสียเวลา หากจะทำอะไรแบบขอไปที ประมาณสอนภาษาห้านาที แล้วอีกสามล้านห้าแสนแปดหมื่นกับสองนาทีนั่นพูดภาษาอื่นอยู่

หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่ได้สนใจก็อย่าสอนกันให้เสียเวลาไปเลย ทำอะไรที่จรรโลงโลกกว่านี้หรือไม่ก็นั่งนิ่งๆดีกว่า

คุณลุงพิธีกรหลักนั้น เป็นพี่เลี้ยงนางงามฟิลิปปินส์ด้วย แกพูดภาษาฟิลิปปินส์ให้น้องตุ๊กตาปิดท้ายว่า น้องตุ๊กตาช่างเป็นคนสวยน่ารักจริงๆ พร้อมกับยิ้มจนตาหยีในมุขของตัวเอง

ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็ข้าพเจ้าไม่ได้สอนเขาพูดภาษาไทยกันนี่นา.... หุหุหุ... มีอิจฉา...

อันว่าเมืองไทย ตอนที่ ๖ นี้ก็ว่าด้วยเรื่องฟิลิปปินส์ซะหมดหน้า
วันต่อไป มีการตอบปัญหาน่าตบจากผู้เข้าประกวดทั้ง ๓ ประเทศ...

สร้อยสัตตบรรณ








 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 31 กรกฎาคม 2550 8:59:55 น.   
Counter : 406 Pageviews.  


อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๕

ต่อจากเรื่อง "อันว่าเมืองไทย...ตอนที่ ๔"
ที่เขียนเมื่อวานนี้


เมื่อหนุ่มเหน้าชาวเวียตนามจบรายการแนะนำประเทศของเขาแล้ว คุณลุงแว่นตาพิธีกรหลักก็บอกพักครึ่งเวลา ทุกคนรับประทานขนมของว่างที่เตรียมไว้

เป็นที่น่าสังเกตว่า ขนมญี่ปุ่นอยู่ในแพกเกจที่เรียบร้อย ห่อเป็นก้อนๆ มีตราประทับบอกวันเวลาหมดอายุ เล่าขานความพิถีพิถันและการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศนี้

ออกตัวไว้สักนิดหนึ่งว่า
ข้าพเจ้าเขียนหนังสือหรือพูดจาอันใดก็ตาม พูดและเขียนไปตามความเป็นจริงนั้น ไม่มีอาการชื่นชมร่วม หรือลำเอียงแล้วบิดความจริงตามอารมณ์แต่ประการใด...

เมื่อรับประทานขนมและน้ำชาครบสิบนาทีแล้ว ก็ถึงคราวของผู้เข้าประกวดหมายเลข ๓ นางสาวฟิลิปปินส์

สาวฟิลิปปินส์ที่มาร่วมเสวนาในวันนี้ เธอหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูขนาดที่แทบจะไปเป็นดาราได้นั่นทีเดียว แล้วให้มามีอันนั่งข้างๆข้าพเจ้า ซึ่งทั้งมากวัยและมีขนาดร่างกายสูงใหญ่หาความงามมิได้เลยนั้น ยิ่งขับความน่ารักของเธอให้โดดเด่นไปถึงไหนๆ

เธอเขียนเรื่องที่จะพูดมาในโพยเป็นภาษาญี่ปุ่นยาวไม่ถึงหนึ่งหน้ากระดาษ ลายมือสวยทีเดียวข้าพเจ้าคิดในใจเมื่อเหลือบตาไปมอง

สำเนียงภาษาญี่ปุ่นทำนองฟิลิปปินส์ดังอยู่ข้างๆว่า

ดิฉันชื่อเจมมา นามสกุลอะไรอีกยาวเหยียด มีเชื้อเสปนทางสายมารดา เกิดและเติบโตที่เมืองอะไร(คนเขียนคือข้าพเจ้า)ก็ลืมไปแล้ว ห่างจากมะนิลาเมืองหลวงไปราว ๕๐ กว่ากิโลเมตร
แม่ดิฉันขายผักอยู่ในตลาด ส่งน้องและดิฉันรวม ๓ คนเรียนหนังสือจนจบมหาวิทยาลัย ดิฉันได้ทำงาน.......
และพบกับสามีและแต่งงาน
บัดนี้มีความสุขมาก ดิฉันชอบประเทศญี่ปุ่นมาก...

ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกหลายหลากยากจะบรรยายเมื่อฟังเธอเล่าชีวิตจบลง

ความที่เธอหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาก ข้าพเจ้าเรียกเธออยู่คนเดียวว่า "น้องตุ๊กตา"

คิดไปเองว่าไม่เพียงข้าพเจ้าคนเดียวที่รู้สึกอัดๆอยู่ในอกเมื่อฟังเรื่องดังกล่าวจบลง ความจริงแล้วเธอไม่ได้เล่าว่าชีวิตเธอลำบากลำบนแต่ประการใด แต่ในระหว่างบรรทัดนั้นมันบอกกับข้าพเจ้าว่า อยู่ฟิลิปปินส์มันลำบากนัก อยู่ญี่ปุ่นดีกว่าเยอะ...

หรือข้าพเจ้าจะคิดไปเอง...

การที่เราจะชื่นชมใครหรืออะไรสักอย่างจนออกนอกหน้าได้ปานนั้น ข้าพเจ้าคิดว่ามันต้องมีพื้นฐานที่ตัวเองทำไม่ได้หรือไม่สมปรารถนาเป็นเบื้องลึก
ไอ้อะไรที่ไม่สมมาดปรารถนาหรือเราทำไม่ได้นั้น มันจึงเติมเต็มความปรารถนานั้นๆให้ตัวเราสัมผัสได้ และแปรเป็นความชื่นชมในท้ายที่สุด

น้องตุ๊กตาชื่นชมแผ่นดินญี่ปุ่นอยู่นักหนา เธอพูดทุกประโยคว่าอย่างนั้นทีเดียว แล้วท่าทางเธอก็บอกว่าเธอไม่ได้โกหกเสียด้วย

ท่าทีของน้องตุ๊กตาเหมือนกับอยากจะหันหลังให้กับประเทศบ้านเกิดและไม่แม้แต่อยากจะหันกลับไปมอง

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นไปได้... อันนี้น่าคิด...

จริงอยู่ว่าข้าพเจ้าแต่งงานกับสามีชาวญี่ปุ่นและมาอยู่ประเทศของเขา แต่ข้าพเจ้าไม่มีความรู้สึกอย่างที่น้องตุ๊กตาเธอรู้สึกหรือว่ามาแม้สักนิด

ประเทศไทยคือประเทศเดียวที่ข้าพเจ้ารัก และอยากจะกลับไปอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรๆก็ตามเกิดขึ้น...

เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วในวันนี้ ที่ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย
คนไทยในความหมายที่ว่า เป็น คนที่มีกำเนิดและเติบโตในประเทศไทย...

หากว่าการที่ข้าพเจ้าได้มีวันนี้ ซึ่งความหมายของคำว่าวันนี้นั้น ไม่ใช่แค่เพียงคำว่าวันนี้เพียงอย่างเดียว
แต่หมายรวมถึงทุกๆอย่างที่ได้หล่อหลอมให้ข้าพเจ้าเป็นข้าพเจ้าในวันนี้

และหากคนในห้องเสวนาทั้ง ๕๐ คนจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่ข้าพเจ้าได้นำเสนอ...

สร้อยสัตตบรรณ

ตอนต่อไป
ต่อคำถามเดียวกันที่ตอบโดยคน ๓ ประเทศ...

อธิบายศัพท์
เหน้า [อ่านว่า เน่า] ว. รุ่น, หนุ่ม, สาว, ใช้เข้าคู่กับคำ หนุ่ม เป็น หนุ่มเหน้า
หมายถึง กำลังสาว, กำลังหนุ่ม.

อ้างอิงและคัดลอกมาแปะไว้
จากเว็บพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.2542
Microsoft Internet Explorer

พยายามแปะลิงค์หน้าดังกล่าว แต่ไม่สำเร็จ จึงต้องคัดเอามาแปะไว้ท้ายบทความดังนี้




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2550 7:31:15 น.   
Counter : 330 Pageviews.  


อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๔

ต่อจากเรื่อง "อันว่าเมืองไทย...ตอนที่ ๓"
ที่เขียนเมื่อวานนี้

คุณลุงผมขาวหน้าแหลมเหมือนหนูยกมือขึ้น ถามหนุ่มเวียตนามด้วยคำถามอันยืดยาวว่า

ที่ว่าเป็นเวียตนามอพยพ อยากจะถามว่ามีประเทศตั้งหลายประเทศให้เลือกไปมิใช่หรือ ประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นอย่างฝรั่งเศส หรืออย่างอเมริกาที่น่าจะอ้าแขนรับ ทำไมจึงไม่เลือกไป ทำไมถึงเลือกญี่ปุ่น

คุณลุงถามไม่เกรงใจคนตอบ และจบคำถามนั้นด้วยการมองหน้าหนุ่มเวียตนามด้วยสายตาอันคมกริบ ข้าพเจ้านึกดีใจที่เป็นคนไทยเป็นครั้งแรกในวันนี้...

อาจจะเป็นโชคดีของน้องหนูเวียตนามหนุ่มเหน้านั่น เพราะเธอไม่เข้าใจคำถามอันยืดเยื้อและวกวน ที่ข้าพเจ้าเขียนนั่นได้พยายามลำดับความแล้ว

หนุ่มเวียตนามนั่งไปทางข้างขวาของข้าพเจ้า โดยไม่รู้ตัวแกจะหันมาหาข้าพเจ้าทุกครั้งเหมือนต้องการกำลังใจ แม้เวลาที่นึกคำใดไม่ออก แกก็จะหันมามองหน้าข้าพเจ้า อายุที่ห่างกันเกือบ ๒๐ ปีนั่น อาจจะทำให้แกรู้สึกเหมือนข้าพเจ้าเป็นญาติหรือที่พึ่งทางใจไปก็เป็นได้

กลับมาที่ปัญหาน่าถีบ

หนุ่มเวียตนามพยายามตอบ แต่แกไม่เข้าใจคำถาม คุณลุงที่เป็นผู้รับผิดชอบหรือพี่เลี้ยงนางงาม ได้อธิบายให้แกฟังว่า ทำไมถึงมาญี่ปุ่น

นายตรัง หนุ่มเวียตนามก็เล่าไปใหม่ว่า พ่อแม่พี่น้องพากันมาญี่ปุ่นหมด เหลือผมคนเดียวที่มาทีหลังสุดเพราะติดเรียนหนังสือ แล้วแกก็หันมาหาข้าพเจ้าประมาณขอกำลังใจ
ข้าพเจ้ายิ้มให้และพยักหน้าน้อยๆ ทำนองว่า ทำได้ดีที่สุดแล้วนะหนู...

คุณลุงหน้าหนูผี พยักหน้าแบบไม่เข้าใจคำถามก็แล้วไปเหอะ ไม่รู้จะถามต่อยังไง

นั่นทำให้ข้าพเจ้านึกรู้ไปว่า ปัญหาใดไม่อยากตอบ ก็ทำเป็นไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นซะก็หมดเรื่อง ในวงเล็บ อันไหนด่าได้ก็ด่า...

มีคำถามเกี่ยวกับภาษาน่าสนใจดังนี้

ตัวอักษรในภาษาเวียตนามนั้น มีตัวอักษรจีนเหมือนตัวอักษรคันจิในภาษาญี่ปุ่น บัดนี้ยังมีการใช้กันอยู่อีกหรือไม่ หรือว่ามลายหายสูญไปหมดแล้ว

น่าเสียใจเมื่อได้ฟังคำตอบว่า นอกจากภาษาพูดที่ยังคงเหลืออยู่แล้ว ภาษาเขียนนั้นแทนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษหมด แม้ในตำราเรียนก็ตาม หนุ่มเวียตนามเล่าไม่สะทกสะท้านอันใด

ข้าพเจ้านึกในใจถึงการสูญเสียเอกราชทางวัฒนธรรมที่เวียตนามได้รับ หลังจากผ่านประสบการณ์อันบอบช้ำจากการเป็นเมืองขึ้น และสงครามเวียตนาม

เป็นครั้งที่สองใหญ่ๆในวันนี้ ที่ทำให้ข้าพเจ้าดีใจที่เกิดมาเป็นคนไทย...

หากการสูญเสียเอกราช จะหมายแค่การตกเป็นเมืองขึ้นอย่างออกหน้าออกตา
เราก็คงจะเป็นเอกราชอย่างยืดอกภาคภูมิมาจนถึงทุกวันนี้
ต่อไป เราคงจะต้องหวนคิดถึงการเสียเอกราชด้านวัฒนธรรมกันบ้าง

ตัวอักษร เป็นวัฒนธรรมที่เปลี่ยนรูปมาเป็นตัวตนเป็นรูปแบบให้ได้เห็นได้อ่าน ช่างเถอะว่าจะดัดแปลงมาจากอักษรใดๆ
เพราะนั่นได้แสดงถึงความพยายามที่จะพัฒนาวัฒนธรรมนั้นๆให้มีลักษณะเฉพาะของตนเอง

ตัวอักษรที่เคยมีในโลก แล้วต้องมีอันมลายหายสูญไปนั้น มีความหมายลึกซึ้งมากในแง่การสูญสลายทางวัฒนธรรม

ข้าพเจ้าเหลือบไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของหนุ่มเวียตนาม เห็นยิ้มสุดท้ายที่แกส่งให้หลังตอบคำถามนั้น
แล้วก็เศร้าใจอยู่เงียบๆ...

สร้อยสัตตบรรณ

พรุ่งนี้ เป็นคิวของสาวฟิลิปปินส์




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 2 สิงหาคม 2550 10:01:02 น.   
Counter : 435 Pageviews.  


อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๓

อันว่าเมืองไทย.... ตอนที่ ๓

ต่อจากเรื่อง "อันว่าเมืองไทย...ตอนที่ ๒"
ที่เขียนเมื่อวานนี้

ข้าพเจ้ามองหน้าคุณป้าคนที่ถามอย่างมีไมตรี และกล่าวช้าๆโดยไม่ลืมยิ้มว่า
ในเมืองไทย หากเป็นพระสงฆ์ก็ต้องอยู่วัด ไม่มีหน้าที่แส่ส่ายชี้นำให้สาธุชนก่อความไม่สงบทั้งปวง
ข้าพเจ้าใช้คำพูดง่ายๆในภาษาญี่ปุ่นว่า
โอโบ้ซัง ดัตตะระ โอเทระ นิ อินาไซ
แปลได้ความตามนั้น คือหากเป็นพระ จงอยู่วัด
คนที่รู้ภาษาญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่าข้าพเจ้าใช้ประโยคคำสั่ง คืออินาไซ
เป็นการตอกย้ำว่า นั่นเป็นวัตรปฏิบัติที่รู้กันทั้งพระทั้งฆราวาส
การมายุ่มย่ามทำให้เกิดความไม่สงบ และยุแยงให้แตกแยก มิใช่กิจของนักบวชหรือศาสนิกที่ดี...

ส่วนในสมัยโบราณนานมา วกกลับไปแค่สมัยอยุธยาก็เอาละนะ เพราะข้าพเจ้าถนัด ประหนึ่งกลับชาติมาเกิดก็ไม่ปาน...
ขณะที่ยังไม่มีประเทศไทย อาณาจักรอยุธยายังมีสงครามกับอาณาจักรรายรอบไม่ว่าจะเป็นเขมร ล้านช้าง เชียงใหม่ หรือไกลไปถึงเวียตนาม
ก่อนออกรบ พวกทหารก็จะไปวัดเพื่อขอเครื่องรางของขลังกับพระเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ
พระสงฆ์ก็เห็นจะมีบทบาทเป็นที่พึ่งทางใจเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนวางแผนรบ หรือสั่งใครติดระเบิดพลีชีพแล้วเข้าไปในกองทัพพม่าแต่ประการใด...

คุณป้ายิ้มอย่างพอใจในคำตอบ แล้วคุณลุงอีกคนก็ยิงคำถามว่า

ได้ยินมาว่า พระมหากษัตริย์ในเมืองไทยนั้น ประชาชนไม่สามารถติฉินนินทาได้ เหมือนกับเทนโนหรือจักรพรรดิของญี่ปุ่นในสมัยก่อนใช่หรือไม่

กรุณา(คือชื่อข้าพเจ้า) ก็บอกว่าใช่ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพมิได้ จะถูกตำรวจจับ ทราบแล้วเปลี่ยน

บรรยากาศเครียดขรึมตามเนื้อหาสนทนา คุณลุงแว่นตารับไมค์ไป ก็พอดีกับเวลาเสวนาครึ่งชั่วโมงในหัวข้อประเทศไทยจบลง

ต่อไปก็เป็นคิวของหนุ่มเวียตนาม ชื่อนายตรัง แกอายุ ๒๗ ปี ข้อความที่ต้องการจะพูดนั้นเขียนเตรียมมาใส่กระดาษด้วยลายมือของแกเองยาวสามหน้ากระดาษบี ๕

แกบอกว่า...

ผมเป็นชาวเวียตนามอพยพ... (นัมมิง)
ครอบครัวของผมอันประกอบด้วยพ่อแม่น้องสองคนแล้วก็ผมมาอยู่ญี่ปุ่นกันหมด ผมเพิ่งมาได้ ๓ ปีครึ่ง ผมมาเป็นคนสุดท้ายในครอบครัวเพราะติดต้องเรียนหนังสือให้จบก่อน

ข้าพเจ้าพยักหน้าตามไปทุกวรรคเช่นกัน สำเนียงภาษาญี่ปุ่นแกปัดๆเป็นภาษาเวียตนาม เหมือนกับสำนวนภาษาญี่ปุ่นของข้าพเจ้าที่ปัดเป๋เป็นภาษาไทยและเหมือนจะลงท้ายว่านะคะทุกคำไป

หนุ่มนามว่า ตรัง สอนทุกคนให้พูดภาษาเวียตนาม
เช่นฉันรักเธอก็บอกว่า "อิ๋ว" จำได้แม่นเพราะสั้นแต่ได้ใจความเยอะดี
คำว่า "เท้อะ" แปลว่าขอบคุณ จำได้อยู่แค่นี้ในเหตุผลเดียวกันคือสั้น

แกพูดถึงเรื่องอะไรบ้างก็เลือนๆไปแล้วในความทรงจำของข้าพเจ้า เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของแก
คำถามที่แกโดนยิงภายหลังจบการแนะนำตัว ทำให้ยิ้มของข้าพเจ้าต้องเจือไปด้วยอารมณ์ปลอบประโลมและเห็นใจเป็นที่ยิ่ง

ต่อพรุ่งนี้

สร้อยสัตตบรรณ




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 2 สิงหาคม 2550 10:01:31 น.   
Counter : 474 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

majoreenu
 
Location :
Chiba Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข้อความในหน้านี้
เป็นของที่เจ้าของสงวน
ห้ามเอาไปไม่บังควร
จงคิดครวญให้จงนาน

อาจโดนตบกะโหลก
เอาหัวโขกเสียบประจาน
เพราะเจ้าของเป็นคนพาล
ทรงเสน่ห์และเล่ห์กล

ฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ
อีกฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ

สร้อยสัตตบรรณ
เจ้าของบล็อก

....................................................

สร้อยสัตตบรรณ หรือกรกุณารี
ก็คนคนเดียวกัน...

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


ความคิดถึงที่อ่านได้
[Add majoreenu's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com