แม้นานเนาก็ยังห่วงยอดดวงเสน่หา...
 
 

อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๒

ต่อจากเรื่อง "อันว่าเมืองไทย..."
ที่เขียนเมื่อวานนี้

ชายใส่แว่นตาคนหนึ่งยกมือถามในทันใด ข้าพเจ้าไม่อาจคาดเดาได้ว่า จุดประสงค์หลังคำถามนั้นต้องการอะไร ด้วยมัวนึกหาคำตอบที่เหมาะสมอยู่
เขาถามว่าดังนี้

ประเทศไทยมีตัวเลขของประชากรที่มีโทรทัศน์ในครัวเรือนเป็นกี่เปอร์เซนต์

ก่อนที่จะถามประโยคนี้ เขารายงานตัวว่าชื่ออะไร และบอกว่าเคยไปอยู่เมืองไทยระยะหนึ่ง คือบริษัทส่งไปทำงาน

ข้าพเจ้าขยับไมค์ในมือ แล้วมองหน้าเขายิ้มๆ ตอบว่า ตัวเลขแน่นอนนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถให้ได้ในตอนนี้ แต่ถ้าอยากรู้จริงๆแล้ว จะไปค้นมาให้ อย่างไรก็ดี คนไทยอย่างข้าพเจ้าก็อยากจะถามเล่นๆคืนไปว่า
จำนวนโทรทัศน์ในบ้านคนญี่ปุ่นนั้นมีบ้านละกี่เครื่องเป็นอย่างต่ำ

เขาถามต่อไปว่า
ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ชาวนา เกษตรกร ก็มีโทรทัศน์ดูหรือ...

ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า เบื้องหลังคำถามนั้น ต้องการจะบอกกับคนอื่นๆในที่นี้ว่า ในประเทศไทยนั้น ไม่มีโทรทัศน์กันทุกครัวเรือนหรอกนะ

ข้าพเจ้ายิ้มรับคำถามนั้น คำถามที่ให้ความสนใจกับความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศเรา และคนถามคงนำไปเปรียบเทียบกับประเทศของตัวเอง เขาคงจะเห็นความเหลื่อมล้ำ และอดฉงนงำมิได้...

คำถามนี้ ไม่ว่าจะปรารถนาดี หรือปรารถนาร้าย หรือไม่ปรารถนาอะไรเลย ก็ไม่สามารถตอบได้ครอบคลุมและรัดกุม ข้าพเจ้าเลี่ยงไปในทันทีที่หุบยิ้มลง และกล่าวว่า
ข้าพเจ้าโตอยู่ในกรุงเทพฯ มีระยะทางแต่บ้านไปโรงเรียน ไปมหาวิทยาลับ และที่ทำงาน ตามลำดับ
ต้องขอโทษด้วยที่ไม่เคยไปสัมผัสชนบทขนาดที่จะรู้สภาพปัญหาเช่นนั้นได้

ข้าพเจ้าคิดว่า การตอบว่าไม่รู้นั้น ยังดีกว่าความพยายามที่จะตอบโดยเอาความโง่นำหน้า และขยายขี้เท่อไปเรื่อยๆ

เขาพยักหน้า ทำนองว่า เออๆ เอาก็เอา ถ้าไม่ตอบให้กระจ่าง ก็ไม่รู้จะถามอะไรต่อ ...

ข้าพเจ้าได้นึกรู้หลังจากเสวนาจบลงไปว่า ความเหลื่อมล้ำทางฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยนั้น เป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นนึกไม่ออก และนึกไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างนั้น จนอดที่จะถามมิได้

ชายวัยกลางคน น่าจะยังไม่เกษียณ เขาใส่เสื้อสีม่วง อันทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมาทันทีในสายตาข้าพเจ้า

คำถามเขาเป็นวิชาการน้อยกว่าคนแรกนิดหนึ่งว่า

กรุณาซังแต่งงานมาอยู่ญี่ปุ่นถึง ๑๕ ปี กลับไปเมืองไทยแล้วรู้สึกว่าเมืองไทยเมื่อ ๑๕ ปีก่อนกับตอนนี้ต่างกันอย่างไรบ้าง

คำถามนี้ตอบไม่ยาก ข้าพเจ้าตอบว่าเพิ่งกลับจากเมืองไทยมาได้เดือนเดียว ที่ได้เห็นชัดๆคือ สนามบิน มันเป็นสนามบินใหม่
เขาพยักหน้าแบบเข้าใจลึกซึ้ง เพราะเขาก็เพิ่งกลับมาจากเมืองไทยเหมือนกัน ประมาณนั้น

ข้าพเจ้าต่อไปอีกหน่อยว่า นอกจากนั้นก็มีการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ ซึ่งก็คงเหมือนเดิมหรืออาจจะมากกว่าเดิมก็เป็นได้
เขาพยักหน้ารับอีกครั้ง คงมีประสบการณ์รถติดช่วงถนนสุขุมวิทเยอะละซิท่า... ข้าพเจ้าคิดในใจ

นอกจากที่กล่าวมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว ข้อมูลความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เห็นด้วยตานั้น เป็นต้นว่าข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ ข้าพเจ้าก็อาศัยอ่านเอาจากเน็ต แม้ยามไม่ได้อยู่ในเมืองไทย

ก็ตอบๆไปตามแกน

คุณป้าคนหนึ่งยกมือขึ้น

คำถามคุณป้าน่าสนใจ แกถามว่า
ศาสนาพุทธที่ว่าเป็นคนละนิกายกับพุทธในญี่ปุ่นนั้น พระสงฆ์สามารถลุกขึ้นมาชี้นำประชาชนให้ดำเนินการต่อต้านรัฐบาล หรือชี้นำให้ทำก่อการร้ายได้หรือไม่

แม่บ้านญี่ปุ่น ใช่ว่าจะดูแต่ละครตบกันในทีวีอย่างเดียวเสียเมื่อไรเล่า คำถามที่บอกสติปัญญาคุณป้าก็มีให้ได้ยิน ข้าพเจ้านึกชื่นชมคุณป้าในใจขณะที่สมองสั่งงานให้พูดประโยคแรกว่า
ปัญหานี้เป็นปัญหาที่อยากจะหลีกเลี่ยงไม่ตอบลงลึกในรายละเอียดนัก แต่เมื่อถามมาก็จะตอบเท่าที่ปัญญาและความเหมาะสมจะอำนวย

คำตอบของข้าพเจ้า จะเขียนในวันถัดไป....

สร้อยสัตตบรรณ




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 2 สิงหาคม 2550 10:01:59 น.   
Counter : 399 Pageviews.  


อันว่าเมืองไทย... ตอนที่ ๑

ต่อจากเรื่อง "ไปร่วมเสวนากับเขาด้วยคน"

ข้าพเจ้าถูกต้อนให้นั่งตรงกลางโดยมีสาวฟิลิปปินส์ กับหนุ่มน้อยชาวเวียตนามขนาบซ้ายขวา ถัดไปเป็นบรรดาคุณลุงกิจกรรมนั่งกันรายเรียงไป

โต๊ะที่เอามาต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสนั้นมีกระดานดำอยู่ด้านหลังข้าพเจ้า เพราะเขาให้นั่งหันหน้าเข้าหากัน ทำนองประชุม ไม่ใช่เรียนหนังสือ

แผนที่ประเทศไทยกางหราอยู่บนกระดานดำ คุณลุงฟันปลอมขยับปากเป็นจังหวะเดียวกับฟัน เกิดเสียงดังเอือดๆอยู่เล็กๆพอได้ยิน หนุ่มเวียตนามน่าจะได้ยินชัดกว่าข้าพเจ้า เพราะเธอนั่งถัดมาจากคุณลุง
ช่างมันเถอะนะ...

คุณลุงแว่นตา พิธีกรหลักโยนลูกให้ข้าพเจ้ารับ แล้วทุกสายตาก็มุ่งมองมาที่ข้าพเจ้าเป็นจุดเดียว...

ข้าพเจ้ากล่าวแนะนำตัว แล้วก็บอกว่า จะเรียกข้าพเจ้าว่าไซโต้ก็ได้ หรืออยากเรียกว่า กรุณา ก็ได้
ชาวญี่ปุ่นนั่นเรียกนามสกุลกันเป็นเรื่องปกติ เป็นที่น่าสังเกตว่า พวกเขามักจะเรียกชื่อข้าพเจ้ามากกว่าจะเรียกว่าไซโต้ซัง น่าคิดเหมือนกันว่า พวกเขาทรีตข้าพเจ้าเป็น "คนต่างชาติ" อยู่เสมอ... แม้ในวันที่พยายามจะ "เปิดโลกกว้าง"

ข้าพเจ้าเป็นคนเก็บรายละเอียดในด้านพฤติกรรมมนุษย์มาก และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกได้
ไม่ใช่เป็นการคิดเล็กคิดน้อยแต่ประการใด
พฤติกรรมละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้ทราบถึง "ความรู้สึกที่มีต่อข้าพเจ้า" อยู่ข้างใต้คำพูดทุกๆคำ และนั่นไม่เพียงแต่คนญี่ปุ่นเท่านั้น....

กลับมาที่โต๊ะเสวนา

ข้าพเจ้ากราดสายตาไปยังผู้ฟังที่อายุแก่กว่าข้าพเจ้าทั้งหมดในห้องนั้น พร้อมกับคิดคร่าวๆไปว่า คงไม่ต้องคุยเรื่องซีเรียสนักหนาอะไรนัก เสียแรงไปค้นคว้าเรื่องขนมไทยกับขนมญี่ปุ่น เพื่อพูดถึงอิทธิพลร่วมจากการติดต่อสัมพันธ์กับชาติโปรตุเกสแต่สมัยอยุธยามาก่อนหน้านี้

ก่อนหน้าวันเสวนา
คุณลุงฟันปลอมบอกว่า อยากให้ช่วยหาขนมไทยไปแกล้มน้ำชายามบ่ายช่วงพักเสวนา ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า หากมีขนมไทยให้ดู ให้ชิม ให้สัมผัส ก็คุยเรื่องขนมไทยไปเสียเลย เป็นการสัมผัสด้วยประสาททั้งห้า และเพิ่มเรื่องวัฒนธรรมและแทรกประวัติศาสตร์ร่วมกันลงไปเสียหน่อย
ประดับสมองน้อยๆทั้งคนพูดและคนฟัง

ข้าพเจ้านำหนังสือทำขนมไทยที่มีรูปประกอบสวยงามไปให้พวกเขาดูกันด้วย

แต่เมื่อดูจากบรรยากาศ เรื่องที่เตรียมไปก็พักไว้ ข้าพเจ้าไม่ชอบยัดเยียดอะไรให้ใครหากเห็นว่า คนรับไม่น่าจะมีศักยภาพพอ หรือไม่มีใจจะอ้ารับ
หรือบางที บรรยากาศก็บอกเราว่า "ช่างมันเถอะ..."

ข้าพเจ้าส่งหนังสือให้พวกเขาเวียนกันดู แล้วพูดติดตลกสำทับไปว่า
"อย่างที่พวกท่านคงจะคิดกัน ข้าพเจ้าไม่สามารถทำขนมที่ปรากฎสวยงามอยู่ในหน้าหนังสือที่ท่านเห็นได้แม้สักอย่างเดียวเลย"

ได้ผล เขาหัวเราะรับมุขข้าพเจ้าได้ทัน
มุขนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น "มุขสากล" ข้าพเจ้าคิด

จากนั้นข้าพเจ้าก็เปิดโอกาสให้เขาถามเรื่องที่เขาอยากรู้ แน่นอนว่าข้าพเจ้าตัดสินใจในบัดดลนั้นว่า ให้เขาถามเรื่องที่เขาอยากรู้ดีกว่า และข้าพเจ้าเชื่อมือตัวเองว่า สามารถคุมเกมไม่ให้ถามออกนอกเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะแตะต้องได้ เป็นต้นว่า
ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า
ทั้งสามเรื่องนั้นอยู่ในความสนใจของเหล่าคนวัยชรานี้ไม่น้อย และข้าพเจ้าต้องตอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย....


สร้อยสัตตบรรณ

มีต่อ





 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 2 สิงหาคม 2550 10:02:53 น.   
Counter : 1169 Pageviews.  


ไปร่วมเสวนากับเขาด้วยคน

จัดเรื่องนี้เข้ากลุ่มนี้ เพราะไปแล้วเขาให้สตางค์มา เลยหลับหูหลับตาเหมาเอาว่าเป็น "งาน" อย่างหนึ่ง

จะด้วยเหตุผลอันใดไม่ได้สืบเสาะให้กระจ่างใจ เมื่ออยู่ที่นี่ผ่านมาได้ ๑๕ ปี ชาวญี่ปุ่นในละแวกนี้หากมีธุระอันเกี่ยวข้องกับเรื่องของไทยแล้ว จะต้องติดต่อมาให้ข้าพเจ้าช่วยทุกครั้งไป

และคราวนี้ก็เช่นกัน

หัวข้อเสวนาเลิศหรูว่า "พบเพื่อนบ้านในภาคีอาเซียน"
สมาชิกที่สมัครเข้ามาฟังมี ๔๐ คน เป็นคนวัยเกษียณแล้วทั้งปวง เรียกคุณลุงคุณป้าได้ถนัดปากแม้วัยของข้าพเจ้าจะมีคนเรียกคุณป้าไปบ้างแล้วก็ตาม

คุณลุงคนที่เป็นตัวแทนการจัดกิจกรรม เมลมาหาและขอให้ไปพูดเกี่ยวกับเรื่องเมืองไทยให้ฟังหน่อย
นอกจากคนไทยคือข้าพเจ้าแล้ว จะมีคนฟิลิปปินส์ กับคนเวียตนามอย่างละหนึ่งเป็นเพื่อนรวมภาคี
ญี่ปุ่นเรียกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า "โทนันอาเจีย"
(สะกดตามเสียงที่เขาอ่านกัน และหูได้ยินดังนั้น)

หัวข้อที่ให้พูดกว้างทั้งประเทศ สุดแต่ใจจะเจาะเรื่องใดมาพูดดี ประสบการณ์แนะนำประเทศไทยให้โลกรู้นี่ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และทุกครั้งต้องมีรายการอาหาร ที่ไม่ว่าจะสอนทำ หรือซื้อมาให้ได้ลิ้มลอง

เรียกว่างานเสวนาให้เก๋ไป ที่แท้มันก็เป็นการรวมกันของคนกลุ่มหนึ่งที่อยากจะทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งในวันเวลาที่มีอยู่ เรียกว่าใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
กิจกรรมรังสรรค์ปัญญาและเสียสตางค์นี้ เป็นที่นิยมกันในหมู่ชาวเกษียณและบรรดาแม่บ้านสูงวัย

เรื่องนี้เขียนแยกได้อีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามีใครยกมืออยากอ่านก็จะเขียน ถ้าไม่ก็แล้วไป...

กลับมาในบรรยากาศวันเสวนา

สถานที่จัดงานเป็นอาคารที่ทางเขตปลูกสร้างไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ เพื่อสัมมนา เพื่อจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อแสดงเต้นระบำ ในอาคารจะมีครบหมด
บอกแล้วไงว่า ต้องเขียนแยกไปอีกเรื่อง

ห้องที่คุณลุงยืมได้ ต้องจองล่วงหน้า จุคนได้ ๕๐ คนหลวมๆ แบบหลวมโพรก คือยังเหลือที่อีกมาก
คุณลุงกลุ่มกิจกรรมพากันจัดเรียงโต๊ะเป็นรูปสี่เหลี่ยมให้ทุกคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน

ข้าพเจ้ามีนิสัยคุณนายติดตัวน่าหมั่นไส้นัก จึงนั่งแปะลงไปที่เก้าอี้ตัวใกล้ที่สุด ประหนึ่งดูบริวารกำลังทำงานกันอย่างแข็งขันกระนั้น

คุณลุงฟันปลอม (เวลาพูดฟันปลอมขยับไปด้วยตลอด จึงเรียกดังนั้น)
คุณลุงเดินมาที่คุณนายคือข้าพเจ้า ยื่นจานกระดาษมาตรงหน้า บอกว่าให้ช่วยแจกไปตรงที่ว่างตามจำนวนเก้าอี้หน่อย
คุณนายเลยต้องลุก เปลี่ยนสถานภาพเป็นสาวใช้ในบัดดล พลางนึกในใจว่า ใช้คุ้มจริงๆ...

ขนมของว่างถูกแจก (ใช้สำนวน พาสสีฟ วอยซ์ บอกอาการไกลบ้านและไกลภาษาไทยให้ได้รู้ ประโยคนี้ขึ้นมาในสมองเองโดยมิได้พยายามเลย อันนี้เรียกว่าประสบการณ์พลัดถิ่น ถ้ามีเวลาจะเขียนทีหลัง)

ข้าพเจ้าแจกขนมลงไปบนจานที่ตัวเองวางไปเมื่อสักครู่
แล้วก็หาที่นั่ง เนื่องด้วยผู้คนพากันทยอยมาลงทะเบียนกันแล้ว
คนญี่ปุ่นเป็นระเบียบจนน่าตกใจ แต่มันกลายเป็นภาพชินตาข้าพเจ้าไปแล้ว เขาเข้าแถวต่อกันไปเป็นหางยาวเพื่อลงทะเบียน แล้วก็เดินไปนั่งที่ๆว่างอยู่

งานชุมนุมคนชราที่ใฝ่ใจในโลกกว้างกำลังจะเริ่มขึ้น หลังจากที่คุณลุงหัวหน้ากลุ่มกล่าวเปิด จากนั้นคุณลุงฟันปลอมก็แนะนำประเทศไทยอย่างคร่าวๆให้สมาชิกได้รู้จัก
ข้อมูลพิมพ์มาเรียบร้อยแล้วในกระดาษที่แจกให้แต่ละคน เป็นต้นว่าเนื้อที่เท่าใด ประชากรเท่าใด ภาษาประจำชาติ ศาสนา ฯลฯ

มีเรื่องที่น่าสนใจสำหรับข้าพเจ้าอยู่หน่อย คุณลุงบอกว่า
ประเทศไทยใหญ่กว่าญี่ปุ่นเกือบสองเท่า แต่มีประชากรเพียงครึ่งหนึ่งของญี่ปุ่น

ข้อมูลด้งกล่าวไม่ใช่ไม่เคยรู้ เพียงแต่ไม่เคยเอามารวมกันในประโยคเดียว เลยพาให้รู้สึกว่าเมื่อพูดอย่างนี้แล้ว ทำให้ได้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยรู้สึกเลย
และดีใจอยู่ลึกๆ...

แนะนำประเทศไทยเสร็จแล้ว คุณลุงฟันปลอมก็พูดอย่างกลัวฟันปลอมหกออกนอกปากว่า

ต่อไป กรุณาซัง จะคุยเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยให้ฟัง
อันว่ากรุณาซังนี้ เธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องแคล่วขนาดด่าได้ไม่เว้นวรรคหรือแม้แต่ขอเวลาหายใจเผื่อผลัดย่อหน้าเลย ส่งเมลติดต่อกันกับกระผมก็เขียนได้ไม่ผิดไม่เพี้ยน ไม่รู้ทำไมถึงเก่งอะไรกันจะปานนั้น...

ข้อความแนะนำตัวข้าพเจ้าในย่อหน้าข้างบนนั่น อันไหนจริงอันไหนปลอม ก็ต้องคิดกันเอาเอง

หุหุหุ

สร้อยสัตตบรรณ

มีต่อวันต่อๆไป




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 24 กรกฎาคม 2550 22:38:08 น.   
Counter : 370 Pageviews.  


น้องคนเล็ก

ข้าพเจ้าเป็นน้องคนเล็กในจำนวนพี่น้อง ๕ คน และแน่นอนว่าเป็นมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อมาถึงวันนี้ ชีวิตข้าพเจ้าผันแปรให้ต้องมาอยู่ต่างประเทศเพราะให้บังเอิญชอบของนอก เอ้อ... คือแต่งงานกับสามีชาวญี่ปุ่น

โดยไม่รู้ตัว ข้าพเจ้ามีนิสัยต้องอาศัยพึ่งพาคนรอบๆข้างในการทำอะไรสักอย่างให้ลุล่วงไปอยู่เสมอ ยกเว้นบางเรื่องเท่านั้นซึ่งไม่ยอมให้ใครกล้ำกรายและออกความเห็นแม้สักน้อย เช่นการเขียนหนังสือ เป็นต้น

ด้วยความจำเป็นบังคับ ข้าพเจ้าไปหาหมอโดยมีสามีไปด้วย ราวกับลูกสาวไปโรงพยาบาลกับพ่อกระนั้น สามีจะยืนข้างๆ แล้วอธิบายอาการเจ็บไข้ของข้าพเจ้าให้หมอฟัง
เมื่อไปหาหมอสูตินรีเวช เธอก็ไปเป็นเพื่อน แทบจะเข้าห้องตรวจภายในไปด้วยนั้นเทียว

ในยามอยู่ญี่ปุ่น ดูจะมีเขาคนเดียวที่เห็นข้าพเจ้าเป็น "น้องคนเล็ก"

กลับเมืองไทยทุกครั้ง ทั้งแม่และพี่ๆ ก็จะพากันมารับที่สนามบินกันพร้อมเพรียง รวมพี่เขยและพี่สะใภ้เข้าไปอีกในบางครั้ง

คราวกลับเมืองไทยคราวนี้ นอกจากพี่สาวข้าพเจ้าแล้ว ยังมีหลานสาวคนโตและแฟนหนุ่มของเธอมารับข้าพเจ้าด้วย
แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีเพื่อนพี่สาวข้าพเจ้าซึ่งรู้จักก้นมากว่า ๒๐ ปีมาด้วยอีกคน
เรียกว่าถ้าไปแล้วไม่เห็นมารับ ต้องถามหากันทีเดียว

ขบวนรับขวัญข้าพเจ้า เป็นขบวนใหญ่เสมอ...

และขบวนเดียวกันนี้ ได้ไปร่วมยินดีกับข้าพเจ้าในงานวันประกาศผลรางวัลนายอินทร์ฯ ด้วยทั้งขบวนนั่นทีเดียว

พี่สาวข้าพเจ้ารับหน้าที่ถ่ายวิดีโอ หลานสาวคนเล็กถ่ายรูปให้แข็งขันในวันงาน บางทีก็ถือกระเป๋าให้ ส่วนสัมภาระอื่นๆ เช่นหนังสือที่ได้รับในวันงาน เสื้อสูทที่ข้าพเจ้าถอดออก อีกช่อดอกไม้ใหญ่ที่ได้รับมอบ เหล่านี้มีพี่เขยกับพี่สาวข้าพเจ้าคอยดูแลให้

ข้าพเจ้าอึงอลกับเหตุการณ์ตรงหน้า จนลืมที่จะกล่าวขอบคุณทุกๆคนในวันนั้น
และที่น่าตีที่สุด คือลืมจวบจนถึงวันนี้...

หลานสาวคนเล็กอัดรูปมาให้ก่อนวันที่ข้าพเจ้าจะกลับญี่ปุ่น และคอยถามว่าจะเช็คเมลมั้ยคะ
ระหว่างที่อยู่เมืองไทย ไม่ว่าจะไปไหน ไม่ใครก็ใครคนใดคนหนึ่งจะไปเป็นเพื่อนตลอดเวลา

วันเสวนานักเขียนนั้น ข้าพเจ้ามีพี่สาวเป็น "พี่เลี้ยงนางงาม" คอยอยู่เป็นเพื่อน และนั่งให้กำลังใจเมื่อข้าพเจ้ากำลังอยู่บนเวที อีกทั้งถ่ายรูปให้ด้วย

หลานสาวคนโต พาข้าพเจ้าขึ้นรถไฟฟ้า ไปเดินซื้อเสื้อผ้าข้าวของ ไปเป็นเพื่อนซื้อหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ เราร่วมเวลากันสองวันในวันหยุดงานของหลานสาว แทนที่แกจะไปกับแฟน
นั่นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า แกเต็มใจที่จะทำเพื่อข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก...

เพื่อนรักข้าพเจ้าหยุดงานมาหนึ่งวัน เพื่อมาอยู่ด้วยกันในวันหนึ่ง ไปไหนก็ได้ แต่ขอเราร่วมเวลาด้วยกัน
แล้วเราสองคน ก็เดินวนในเซ็นทรัลอยู่ครึ่งวัน ซื้อเสื้อในลดราคากันมาคนละสองชิ้น แล้วแลกข้าวเย็นกับข้าวกลางวันกันในเซ็นทรัลนั่นเอง...

นายเก่าข้าพเจ้าพร้อมครอบครัว เลี้ยงแสดงความยินดีให้สำหรับการได้เฉลิมรางวัลนี้ในเย็นวันหนึ่ง

พี่สาวซึ่งเป็นญาติสนิท พาข้าพเจ้าไปต่อบัตรประชาชน
พี่เขยนั้นหาซื้ออาหารทะเลแห้งเพื่อให้ข้าพเจ้านำกลับญี่ปุ่น ส่วนหลานชายวัย ๑๘ นั่นไปซื้อวีซีดี "นเรศวรมหาราช" มาให้ข้าพเจ้าดูในคืนใกล้ๆกลับ
ส่วนหลานสาวอีกคน สละห้องนอนให้พร้อมคอมพิวเตอร์ให้ใช้ตลอดเวลาที่ไปพักด้วย

เพื่อนรุ่นพี่หลายคนโทรศัพท์ตามหาข้าพเจ้าเพื่อนัดเวลาพบกัน เพื่อนสูงวัยเหล่านี้ไม่ทราบเรื่องรางวัลใดๆทั้งสิ้น เราเพียงแต่อยากพบกันเมื่อข้าพเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านเท่านั้น...

เชอรี สาวใช้ชาวพม่า ซักเสื้อผ้า และรีดให้เรี่ยมเร้ เธอต้องดูแลข้าพเจ้าเพิ่มขึ้นอีกคน นอกจากนั้นยังมีหน้าที่จับหมาไม่ให้วิ่งมาชนข้าพเจ้าด้วยอีกงานหนึ่ง
หมาพันธุ์บางแก้วตัวนี้ ไม่เห็นข้าพเจ้าเป็น "น้องคนเล็ก" ในสายตามันเสียที... น่าให้กินยาเบื่อนัก
จะได้เบื่อกัดคนเสียบ้าง...

แฟนเพลงในบล็อกข้าพเจ้ามาพบ และมีของขวัญมากมายมามอบให้

ครูสมัยประถม พาข้าพเจ้าไปเที่ยวอยุธยา "จะได้เอาไปเป็นข้อมูลเขียนหนังสือไง"
ครูว่างั้น...

ข้าพเจ้าอบอุ่นกับความอาทรรักใคร่ ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสกว่าหรือเด็กกว่ายามกลับเมืองไทย
ข้าพเจ้าได้กลายเป็น "น้องคนเล็ก" ของทุกคนยามเมื่ออยู่"เมืองไทย" นั่นเทียว...


เขียนให้ทุกผู้ที่กล่าวไว้ข้างต้น
ด้วยระลึกรู้และตื้นตัน


สร้อยสัตตบรรณ




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 16 กรกฎาคม 2550 22:00:58 น.   
Counter : 466 Pageviews.  


ว่าด้วยเรื่องนามปากกา

สร้อยสัตตบรรณ เป็นชื่อของดอกบัวชนิดหนึ่ง

ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอยากมีนามปากกาเป็นดอกไม้อะไรสักดอกหนึ่ง และได้เพียรหาชื่อที่เหมาะสม เนื่องจากไม่สามารถใช้ชื่อ "กรกุณารี" ได้กับสำนักพิมพ์อื่นๆตามสนธิสัญญาฉบับปี ๒๕๔๙ (เรียกให้เวอร์ไปงั้นเอง) ที่ทำขึ้นระหว่างสำนักพิมพ์ที่พิมพ์ "ออกญา" ให้ข้าพเจ้าได้

ดอกไม้ในวรรณคดีชื่อต่างๆที่ค้นพบในนิราศธารโศก นิราศธารทองแดง เสภาขุนช้างขุนแผน อิเหนา ตลอดจนเพลงยาวต่างๆ ฯลฯ นั้น ข้าพเจ้านำชื่อมาลิสต์รายการเรียงลำดับที่ได้พบ แต่ไม่พบสักชื่อที่เหมาะใจ

พิกุล นั้นเรียบง่ายน่าใช้อยู่เพราะต้องการสื่อความเรียบง่ายของตัวเองอยู่ไม่น้อย ติดตรงที่ว่าเป็นชื่อเดียวกับคนเลี้ยงหลาน แล้วหน้าเธอหมองๆอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจสลัดภาพนั้นออกจากตาได้ จึงสลัดชื่อพิกุลออกไปแทน

เกด นั้นสั้นดี และดูเหมือนจะสั้นไปสำหรับจะเป็นนามปากกา

แก้ว ก็สั้นไปอีก

ยมโดย ข้าพเจ้าออกจะชอบชื่อนี้ไม่น้อย ด้วยติดหูกับโคลงที่ขึ้นว่า
" ยมโดยประดุจเจ้า จงโดย
ใบโบกคืออนุชโชย เรียกข้า
เรียมเห็นเกดเรียมโหย หาเกด นุชแม่......."

แต่เมื่อได้เห็นหน้าตาของยมโดยแล้ว เลยไม่เอาชื่อนี้

โยทะกามหาหงส์กาหลงโมก
โยทะกา นั้นท่าจะดี แต่เอาไว้ก่อน
มหาหงส์ อืม...
กาหลง ไม่เอาดีกว่า เอาคนหลงดีกว่า
โมก หอมดี แต่ชื่อนี้สั้นไปหน่อย...

ข้าพเจ้าถูกใจ "อัญชัน" มากๆ แต่ใช้ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเป็นนามปากกานักเขียนซีไรต์ เจ้าของเรื่อง "อัญมณีแห่งชีวิต"

ข้าพเจ้าถามต้วเองไปเรื่อยๆ จนมาถึงดอกปีบ กระถิน กระเช้าสีดา จำปา จำปี ยี่สุ่น ยี่โถ
ช้องนาง ช้างน้าว ทองกวาว เทียนกิ่ง ตะลิงปลิง ตันหยง ทรงบาดาล พุดตาน มะลิ ลำดวน ปาหนัน ฯลฯ

เมื่อเห็นไม่ได้ดังใจ จึงย้ายไปหาชื่อดอกบัว เว็บไซต์ที่คลำไปจนเจอนั้น มีดอกบัวหลายหลากมากพันธุ์ให้เลือกสรรได้ตามชอบใจ ทั้งยังมีรูปประกอบให้ดูอีกด้วย

แล้วข้าพเจ้าก็เด็ดมาได้ดอกหนึ่งสวยงาม

นามว่า...

สร้อยสัตตบรรณ




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 21:38:10 น.   
Counter : 818 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

majoreenu
 
Location :
Chiba Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข้อความในหน้านี้
เป็นของที่เจ้าของสงวน
ห้ามเอาไปไม่บังควร
จงคิดครวญให้จงนาน

อาจโดนตบกะโหลก
เอาหัวโขกเสียบประจาน
เพราะเจ้าของเป็นคนพาล
ทรงเสน่ห์และเล่ห์กล

ฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ
อีกฮุ ๆ ฮุ ๆ ๆ

สร้อยสัตตบรรณ
เจ้าของบล็อก

....................................................

สร้อยสัตตบรรณ หรือกรกุณารี
ก็คนคนเดียวกัน...

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


ความคิดถึงที่อ่านได้
[Add majoreenu's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com