เราเป็นทั้งผู้ปฏิเสธและผู้ถูกปฏิเสธ (งานตะพาบครั้งที่ 286)


ตั้งแต่เล็กจนโตมา เราก็เป็นทั้งผู้ปฏิเสธและผู้ถูกปฏิเสธในหลาย ๆ เรื่อง บางเรื่องก็เป็นเรื่องเล็ก บางเรื่องก็เป็นเรื่องใหญ่ บางเรื่องเมื่อเลือกทำไปแล้วก็รู้สึกดี บางเรื่องเมื่อเลือกทำไปแล้วก็รู้สึกแย่ บางเรื่องมีผลกับชีวิตเรา บางเรื่องไม่มีผลกับชีวิตเรา

ขอยกตัวอย่างเรื่องที่มีผลกับชีวิตเราก็แล้วกัน แต่มีผลไปในทางที่ดีนะ ตอนเราอยู่ประถม เราเรียนโรงเรียนสายน้ำทิพย์ พอจะขึ้นมัธยมก็ใฝ่ฝันอยากเรียนสายน้ำผึ้ง เป็นโรงเรียนที่อยู่ตรงข้ามกัน นักเรียนหญิงของโรงเรียนสายน้ำทิพย์หลาย ๆ คนก็เลือกที่จะสอบเข้าที่นี่

เราเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนสายน้ำผึ้งหลังจบ ป.6 แต่ไม่ติด ไปติดสำรองที่โรงเรียนมักกะสันพิทยา แต่เราก็ไม่ได้เรียนที่นี่ เราจำไม่ได้ว่าที่เราเลือกไม่เรียนที่นี่นั้นเพราะอะไร สุดท้ายเรามาเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนศรีวิกรม์ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชน แต่ถึงจะเป็นโรงเรียนเอกชนที่เขารับหมด แต่เราก็ต้องสอบก่อนเข้านะ เพราะเขาจะได้จัดห้องได้ถูกว่าเราควรจะได้อยู่ห้องไหน ผลปรากฏว่าเราได้อยู่ห้องคิง เพื่อน ๆ ก็ดีนะ แต่เรียนยากชะมัด เพราะเขาเน้นให้ห้องนี้ไปเรียนต่อสายวิทย์ คณิต พอเราเรียนจนจบถึงม.3 เราก็อยากที่จะไปสอบเข้าโรงเรียนสายน้ำผึ้งอีกครั้ง

เมื่อไปสอบเข้าโรงเรียนสายน้ำผึ้งอีกครั้งเพื่อจะไปเรียนต่อมัธยมปลายที่นั่นก็ปรากฏว่าสอบไม่ติดอีก คราวนี้ไปติดสำรองที่โรงเรียนศรีพฤฒา เมื่อรู้ว่าติดที่นี่ เราก็ให้แม่พาไปดูโรงเรียน บอกเลยโรงเรียนน่าเรียนมาก รู้สึกชอบบรรยากาศ แต่แม่ก็บอกว่ามันไกลเกินไป แค่เดินทางก็เหนื่อยแล้ว ทีนี้ก็ต้องหาโรงเรียนใหม่ เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่อยากเรียนที่ศรีวิกรม์ต่อ ปรากฏว่าทางพ่อแม่เราก็ได้มีโอกาสคุยกับแม่เพื่อนสนิทของเรา (เพื่อนสนิทสมัยประถม) แม่เพื่อนก็บอกว่าให้ลองไปคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนสายน้ำผึ้งดูเผื่อว่าจะเข้าได้

ก็ปรากฏว่าเมื่อได้ไปคุย ทางผู้อำนวยการก็บอกว่าตอนนี้เหลืออยู่สายเดียวที่รับได้ คือ สายคหกรรม ตอนเราอยู่ในห้องผู้อำนวยการ เราก็นั่งคิดไปว่าถ้าเรียนต่อที่นี่ เราไม่มีความสุขแน่เลย เพราะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ ถึงเราจะไม่รู้ว่าชอบอะไร แต่เราก็ไม่เคยทำอาหาร งานประดิดประดอย เราก็ไม่ถนัด เพราะรู้ตัวตั้งแต่ตอนเรียนประถมแล้ว นั่งเย็บใบตองอะไรอย่างนี้ไม่ถนัดจริง ๆ สุดท้ายเราก็ปฏิเสธ

ผู้อำนวยการโรงเรียนสายน้ำผึ้งก็แนะนำโรงเรียนหนึ่งมาว่าให้ลองไปสมัครดู เพราะตอนนี้กำลังเปิดรับสมัคร โรงเรียนนั้นคือโรงเรียนพระโขนงพิทยาลัย ซึ่งโรงเรียนนี้อยู่ใกล้บ้านเรามาก เราก็เลยไปสมัครที่โรงเรียนนี้ ห้องที่เราได้อยู่เป็นห้องสายศิลป์ ภาษาเยอรมัน ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะยากหรือไม่ยาก แต่ยังไงก็ดีกว่าเลือกไปเรียนสายคหกรรมที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ถ้าเราเลือกที่จะเรียนสายคหกรรม มันจะต้องเป็น 3 ปีที่เราทุกข์แน่ ๆ

แต่สุดท้ายห้องสายศิลป์ ภาษาเยอรมันก็กลายเป็นห้องสายศิลป์ ภาษาฝรั่งเศส เพราะปีที่เราเข้าปีนั้นเป็นปีที่ครูสอนภาษาเยอรมันไปเรียนต่อพอดี ไม่มีครูสอนภาษาเยอรมัน มีแต่ครูสอนภาษาฝรั่งเศส เราเลยได้เรียนภาษานี้

นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เราปฏิเสธแล้วมีผลกับชีวิตเรา เป็นไปในทางที่ดี เมื่อเขียนถึงเรื่องปฏิเสธ ก็ขอเขียนถึงเรื่องอื่น ๆ ที่เราปฏิเสธต่ออีกสักหน่อย ตอนที่เราอยู่มัธยมปลายที่ปฏิเสธเพื่อนก็คือการไปเที่ยวหลังจากเลิกเรียน ที่เพื่อน ๆ ชอบไป คือ ห้างซีคอนสแควร์ ที่เราไม่ไปนอกเหนือจากที่บ้านไม่อยากให้ไปก็คือเรารู้สึกว่ามันไกล และเดินทางกลับลำบาก เลยไม่ไป แต่เราก็เคยไปกับเพื่อนครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นจำต้องไปเพราะเพื่อนชวนไปถ่ายสติกเกอร์รวมกลุ่มเพื่อเอามาแปะใช้ทำงานส่งครู (จริง ๆ งานนั้นครูไม่ได้บอกให้ต้องถ่ายสติกเกอร์ แต่มันเป็นความคิดของกลุ่มเราเอง) ขากลับเจอน้าชายพอดี เลยได้กลับรถน้าชาย ไม่อย่างนั้นคงต้องกลับเองก็คงงง ๆ อยู่

ตอนเด็กปฏิเสธที่จะไปเที่ยว ตอนโตมาก็ปฏิเสธที่จะไปงานแต่งงาน งานสังสรรค์ เพราะเป็นงานกลางคืน อยากบอกว่ารู้สึกผิดอยู่เหมือนกันนะที่บางคนอยากเจอและให้การ์ดเชิญมา

ส่วนเรื่องที่เราปฏิเสธและรู้สึกผิดมากสุด คือ เรื่องที่หัวหน้าห้องตอนมัธยมปลายเขาทำอาชีพขายตรง เขาอยากจะนัดเจอเราและขอชื่อเราไปอยู่ในลิสต์อะไรสักอย่าง แต่เราปฏิเสธไม่ไป ยังไม่พอ ยังไปบล็อกเขาอีก ตอนที่ทำก็แค่ไม่อยากให้เขามายุ่งกับเรา แต่เมื่อเวลาผ่านไปคิดได้ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรทำ ก็ไปปลดบล็อก แต่หลังจากปลดบล็อกเขา ก็ยังไม่ได้เคลียร์ใจกันเรื่องนี้ เราคิดว่าเขาต้องรู้สึกกับเราไม่ดีไปแล้วแน่ ๆ คิดว่าถ้ามีโอกาสได้เจอตัวกันสักวันจะไปขอโทษ ถ้าเขายังเคืองหรือรู้สึกไม่ดี ก็คงต้องทำใจ เพราะเราก็ทำอะไรที่ไม่สมควรทำไปจริง ๆ

เล่าบางเรื่องที่เราปฏิเสธไปแล้ว ขอเล่าเรื่องที่เราถูกปฏิเสธบ้างแล้วกัน เดี๋ยวจะไม่ตรงโจทย์ เรื่องที่เราถูกปฏิเสธแล้วรู้สึกเจ็บก็เป็นเรื่องของความรัก

ที่เราถูกปฏิเสธและรู้สึกว่าไม่ชอบ เกิดขึ้นตอนที่เราอยู่มัธยมปลาย ตอนนั้นเราชอบผู้ชายต่างห้อง ผู้ชายคนนี้เขามาที่ห้องเรียนเราบ่อย ๆ เพราะเขาสนิทกับเพื่อนผู้ชายในห้องเรามาตั้งแต่มัธยมต้น เราก็ชอบแอบมองเขาและเราก็เห็นว่าเขาไม่มีใคร เราไม่เคยเห็นเขาเดินมากับใคร ไม่ว่าจะเวลาที่มาห้องเรา หรือเดินสวนกันระหว่างเปลี่ยนตึกเปลี่ยนห้องเรียน เราก็บอกเพื่อนในกลุ่มเราว่าเราแอบชอบเขา ก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะรู้ แต่สุดท้ายเขาก็รู้ วันต่อมาเขาก็ควงผู้หญิงมาเลย เราเดินสวนกัน แล้วเขาก็มองเรา ซึ่งปกติเขาจะไม่เคยมองเราด้วยสายตาแบบนั้น สายตาประมาณว่าฉันมีแฟนแล้วนะ อะไรประมาณนี้ เป็นการถูกปฏิเสธที่เรารู้สึกว่าไม่ชอบ เราว่าพูดกันตรง ๆ ดีกว่าว่าไม่ชอบ อย่าใช้สายตาแบบนั้นเลย สายตาที่ดูเหมือนเหยียด ๆ

การถูกปฏิเสธอีกแบบที่เรารู้สึกไม่ชอบก็คือเงียบ แล้วไปทำดีกับคนอื่น แต่กับเราเฉยชา ก็เข้าใจนะว่าอยากให้เราลืม อยากให้เราเลิกยุ่ง แต่อยากบอกว่ามันเจ็บปวดว่ะ ตอนอยากรู้จักก็เข้ามาทัก พอไม่อยากรู้จักแล้วก็ไม่อยากสื่อสาร มันคืออะไร ความเป็นเพื่อนไม่มีหลงเหลือแล้วหรือ

การถูกปฏิเสธในเรื่องความรัก บางทีเจ็บมาก บางทีเจ็บน้อย จะบอกว่าไม่เจ็บเลยคงเป็นคำตอบที่โกหก ถ้าไม่เจ็บเลย แปลว่าเราไม่ได้รักมากพอที่จะเจ็บ

ถ้าไม่อยากเจ็บ ก็ควรเผื่อใจไว้บ้าง หรือรักเขาให้น้อย รักตัวเองให้มาก เมื่อถูกปฏิเสธ เราจะได้ไม่เจ็บ


ทั้งหมดที่เราเขียนมานั้นเป็นแค่เรื่องราวบางส่วนในชีวิต เราคิดว่าเรายังต้องเป็นผู้ปฏิเสธและผู้ถูกปฏิเสธในอีกหลายครั้งคราวในอนาคต ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องไหนบ้าง ถ้ามีแล้วอยากเขียน เราก็คงจะนำมาบันทึกในโอกาสต่อ ๆ ไป ถ้าเรายังรักและอยากที่จะเขียนอยู่



Create Date : 24 กันยายน 2564
Last Update : 24 กันยายน 2564 2:02:29 น.
Counter : 1087 Pageviews.

ครั้งแรก (งานตะพาบครั้งที่ 285)


- โดนแกล้งครั้งแรกตอนป.1 คนที่คอยช่วยเหลือคือเปรมปรี

- ทัศนศึกษาครั้งแรกตอนป.2 ไปเที่ยวสวนสยาม (ถ้าจำไม่ผิดนะ)

- ท่องสูตรคูณกลับหลังครั้งแรกตอนป.3 ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องท่องสูตรคูณกลับหลังด้วย ท่องสูตรคูณปกติเราว่าก็พอแล้ว แต่ครูให้ท่องแบบกลับหลังด้วยหลังจากเลิกเรียน

- รักครั้งแรกตอนป.4 แต่ไม่เคยได้เขียนถึง เพราะจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ ถ้าจำไม่ผิด เขาชื่อธีรพงษ์ เราไปแอบรักเขา เขาเรียนอยู่คนละห้อง (จริง ๆ เราก็รักเปรมปรีนะ แต่มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายหลัง ตอนป.1 เราไม่รู้สึกอะไร)

- เข้าห้องผ่าตัดครั้งแรกตอนป.4 ผ่าไฝซึ่งคล้าย ๆ เนื้องอกตรงใต้ริมฝีปากด้านซ้าย ตอนนั้นโดนฉีดยาชาที่ใต้คาง ร้องไห้ยาวนานมาก เพราะกลัวหมอลงมือเร็ว กลัวยายังไม่ชา

- แกล้งเพื่อนครั้งแรกตอนป.5 แกล้งเอาหมามุ่ยโรยหลังเพื่อน ตอนนั้นห้องเราฮิตเล่นหมามุ่ยกัน ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ควรเล่น ตอนนั้นที่เราแกล้งเพื่อนก็โดนครูว่าไป

- เอาข้าวใส่ปิ่นโตมากินที่โรงเรียนครั้งแรกตอนป.6 เพราะไม่อยากไปทานที่โรงอาหาร เบื่อระเบียบ

- ทำอาหารครั้งแรกตอนป.6 ทำยำเห็ดฟาง โชคดีที่ได้ทำยำเห็ดฟาง เพื่อนบางคนทำผิดกฎเลยโดนทำยำมะเขือยาว โคตรซวยเลย เพราะต้องกินให้หมด หลังหมดคาบ บางคนถึงกับไปอ้วก

- โดดเรียนครั้งแรกตอนป.6 คือ พร้อมใจกันไม่เข้าเรียน เพราะครูผู้สอนติดประชุม แต่กลัวว่าถ้าเวลาเหลือจะมาสอนต่อ พวกเราไม่อยากเรียนวิชานี้อยู่แล้วก็เลยไม่เข้าเรียน แต่สุดท้ายก็โดนลงโทษทั้งห้อง เขกพื้นกันรัว ๆ

- ซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ให้คนที่ชอบครั้งแรกตอนป.6 เป็นอัลมอนด์เคลือบช็อกโกแลตกล่องละ 20 (คนที่ชอบคนนี้คนละคนกับตอนป.4) คนนี้ชื่ออนุสาสน์ เวลาร้องเพลงอยุธยาเมืองเก่า เราจะชอบร้องว่าอนุสาสน์เตือนให้ชาวไทยจงมั่น เป็นอีกชื่อหนึ่งที่อยู่ในใจ ปัจจุบันเขาแต่งงานมีลูกไปแล้ว (เคยไปส่องเฟซเขาเมื่อนานมาแล้ว)

- ซื้อเทปครั้งแรกตอนป.6 ของวง U.H.T.

- จับมือผู้ชายอย่างยาวนานครั้งแรกตอนม.2 ต้องจับเพราะเป็นกิจกรรมในงานกีฬาสี จำได้ว่าตื่นเต้น เหงื่อออกมือมาก จนพี่เขาบอกเอากิ่งไม้มาจับไหม

- สอบตกครั้งแรกตอนม.2 สอบตกเลข ถึงกับร้องไห้ เพราะไม่เคยสอบตกมาก่อนในชีวิต และที่สำคัญคือกลัวพ่อว่ามาก พ่อเก่ง แต่ลูกอย่างโง่ ไม่กล้าให้พ่อสอนด้วย กลัว ถ้าพ่อสอนจริงจังจะเครียดมาก เคยให้พ่อสอนแล้วไม่กล้าให้พ่อสอนอีกเลย โชคดีที่ม.ปลายย้ายโรงเรียนและไปเรียนศิลป์ภาษาทำให้ไม่ต้องเรียนเลขแล้ว

- ได้เงินจากงานเขียนครั้งแรกตอนม.5 ส่งเรียงความเข้าประกวด ได้รางวัลที่ 1 ได้เงินรางวัลมา 3,000 บาท

- เดทครั้งแรกตอนม.5 เดทกับพี่ณัฐ เป็นรุ่นพี่ที่เราชอบตั้งแต่อยู่โรงเรียนเก่าตอนม.ต้น ไม่ได้ไปเดทกันสองคนนะ แม่เราไปด้วย แม่นั่งคั่นกลาง ตอนนั้นหนังที่เราดูคือ Life is beautiful (ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง) เป็นหนังที่ดี ให้แง่คิดดี

- ไปต่างประเทศครั้งแรกตอนปิดเทอมปี 1 ไปของโครงการ UCE ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ไปอยู่บ้านโฮสต์ที่นิวซีแลนด์ เมืองโรโตรัว ไปกันหลายคนในครั้งนั้น และหนึ่งในนั้นคือ อาร์ต เคพีเอ็น ตอนนั้นน้องยังอยู่มัธยม

- ตามศิลปินครั้งแรกตอนอยู่ปี 4 เรียกว่าตื่นเต้นมาก ทุ่มเทเพื่อแฟนคลับ ทุ่มเทเพื่อศิลปิน ตอนนั้นเป็นหัวหน้าแฟนคลับเพราะแก่สุด ชื่อล็อกอิน comicclubs ก็ย่อมาจาก Comic Boyz Fanclubs

- สมัครงานครั้งแรก เขารับเลย ดีใจมาก แต่ไม่รู้ว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจที่ออกแนวแชร์ลูกโซ่ ทำไปประมาณ 2 อาทิตย์ก็ออก

- นิยายตีพิมพ์เล่มแรกครั้งแรกตอนปี 53 เป็นนิยายแนวอีโรติก แต่ไม่ค่อยกล้าเอาให้ใครอ่าน แค่เพื่อนสนิทกับแม่อ่านเขาก็อึ้งกันละ

- เลี้ยงแคคตัสครั้งแรกปี 58 หลังจากที่อกหักจากคนในพันทิป คิดว่าตัวเองต้องหาอะไรทำ และตอนนั้นยายยังไม่ได้ฟอกไต ทำให้เรามีเวลาเอาใจใส่ต้นไม้ ก็เลี้ยงจริงจังในช่วงนั้น แต่ตอนนี้ไม่ได้จริงจังแล้ว เลี้ยงตามสภาพที่เหลือและเป็นอยู่

- แอดมิทเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคทางจิตเวชครั้งแรกปี 62 ด้วยโรคหวาดระแวง หวังว่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว เพราะการแอดมิทครั้งหนึ่งก็มีค่าใช้จ่าย ต้องเสียเงินพอสมควร ตอนนี้เราจึงยังคงกินยาอยู่ แม้อาการของโรคจะไม่ปรากฏแล้ว


แถมท้าย (18+)

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเขียนลงบล็อกมาก่อน และคนที่บ้านก็ไม่เคยรู้ เรื่องนี้เป็นเรื่อง...

- จูบครั้งแรกและการโดนเล้าโลมครั้งแรก จำปีไม่ได้ แต่เกิดก่อนที่จะเขียนนิยายอีโรติก เพราะตอนนั้นเรายังทำงานประจำ และลางานมาเจอพี่คนนี้ คิดว่าจะเจอกัน คุยกันธรรมดา ไม่ได้คิดว่าจะเจออะไรที่ไม่คาดคิด

เรากับพี่คนนี้รู้จักกันตั้งแต่ตอนเราเรียนศิลปากร เราเจอกันที่ป้ายรถเมล์ พี่เขาเป็นทหารเรือ พี่เขาเป็นคนที่มาทักและขอเบอร์ ทำให้เราได้รู้จักกัน นาน ๆ เราจะเจอกันสักที เพราะปกติพี่เขาจะอยู่สัตหีบ นาน ๆ ถึงจะมาที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นที่เจอกันก็คุยกัน ทานข้าวกันบ้าง เราก็ไว้ใจพี่เขานะ แต่ไม่ถึงกับรักมาก เพราะไม่รู้ว่าพี่เขามีใครอยู่ที่สัตหีบหรือเปล่า

เราไม่เคยได้มีโอกาสได้อยู่กับพี่เขาสองต่อสองในที่ลับตา ไม่เคยเลย จนกระทั่งวันนั้นวันที่เราลางานเพื่อไปเจอพี่เขา ตอนแรกเราก็คิดว่าจะไปคุย ไปทานข้าวกันปกติ แต่ปรากฏว่าพี่เขาพาเข้าห้องพักในหอพักที่เขามาพักชั่วคราว ไอ้เราก็โคตรซื่อ โคตรบื้อ ยังคิดว่าพี่เขาพามานั่งคุย จนเขาพาเราไปนั่งที่เตียง และเอนตัวล้มทับเราลงมา

อ้าว อะไรวะเนี่ย คือ อะไรวะ แล้วเขาก็จูบ สอดลิ้นเข้ามา เราพยายามจะดันตัวเราให้ลุกขึ้น แต่ดันไม่ขึ้น ได้แต่นอนนิ่ง ตอนนั้นนึกในใจ ไม่น่ามาเลย รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดมาก การจูบเราเลยรู้สึกว่าเราไม่อิน ถ้าเรารักเขามาก เราอาจรู้สึกดีก็ได้ แต่เราไม่ได้รักเขามาก เราเลยรู้สึกแปลก ๆ แล้วเขาก็ขบใบหู เป็นครั้งแรกที่โดนผู้ชายขบใบหู ก็รู้สึกแปลก ๆ อีกแหละ แล้วเขาก็สอดมือเข้ามาในเสื้อ ก็จับ ๆ เราก็ภาวนาในใจว่าอย่าทำอะไรมากกว่านี้เลย ตอนนั้นเราก็ใจเต้นแรงมาก พี่เขาก็ถามว่ากลัวหรือตื่นเต้น เราก็ตอบว่ากลัว เพราะเรากลัวจริง ๆ คือ กลัวมาก เราก็ขอร้องเขาว่าไม่ขอมีเซ็กส์ ซึ่งเราโชคดี โชคดีมาก ๆ ที่พี่เขาฟัง และปล่อยเรา ถ้าเป็นคนอื่น เราไม่รู้ว่าเราจะโดนอะไรที่มากกว่านี้ไหม

หลังจากวันนั้น เราก็พยายามจะไม่คุยกับพี่เขา และเพื่อไม่ให้พี่เขามายุ่งกับเราอีก เราก็เลยโกหกไปว่าเรามีแฟนแล้ว ซึ่งจริง ๆ ตอนนั้นไม่มี แต่โกหกไป และบอกพี่เขาว่าไม่ต้องโทรมาหาอีก พี่เขาก็ไม่ได้โทรมาหาเราอีกเลย

ครั้งแรกเรื่องนี้สอนอะไรเรามากเลยทีเดียว อย่าคิดไว้ใจใครง่าย ๆ ถ้าเขาจะพาเข้าห้องพัก ต้องปฏิเสธ เพราะเขาไม่พาเราไปคุยกันแค่นั้นแน่ ต้องคิดไว้เลย


และนี่ก็เป็นหลากหลายเรื่องราวครั้งแรกของเราที่เอามารวบรวมไว้ จริง ๆ มันก็มีอีกแหละ แต่คิดไม่ออก จำไม่ได้แน่ชัด ก็ขอเขียนเอาไว้เท่านี้แล้วกันนะ



Create Date : 07 กันยายน 2564
Last Update : 7 กันยายน 2564 20:15:46 น.
Counter : 723 Pageviews.

จุดเปลี่ยนของชีวิต (งานตะพาบครั้งที่ 283)


จุดเปลี่ยนของชีวิตของแต่ละคนก็คงจะแตกต่างกันไป บางคนอาจจะเป็นเรื่องเรียน บางคนอาจจะเป็นเรื่องงาน แต่สำหรับเรา เราขอพูดถึงในเรื่องของความรัก

ตั้งแต่เราเป็นเด็กจนกระทั่งโต เราชอบผู้ชายมาโดยตลอด เพราะเราเรียนแต่สหศึกษา ชีวิตเราเจอผู้ชายค่อนข้างเยอะ เราไว้ผมยาวตั้งแต่อยู่ม.ต้น เพราะโรงเรียนของเราให้ไว้ได้ เนื่องจากเป็นโรงเรียนเอกชน ขึ้นม.ปลาย เราย้ายโรงเรียนก็เป็นโรงเรียนรัฐ แต่ม.ปลายเขาให้ไว้ยาวได้ เราก็ไว้ยาวต่อ

ในตอนเรียนมัธยม ก็มีทั้งคนมาชอบเรา และเราไปชอบเขา ซึ่งทั้งหมดก็เป็นผู้ชาย เราไม่เคยมีความรู้สึกว่าหลงรักผู้หญิง หรือคิดว่าจะมีผู้หญิงมาชอบเรา เพราะลุคเราก็ไม่ได้เป็นไปในทางทอม จนกระทั่งเราขึ้นปีสอง สักเทอมสอง เราก็ซอยผมสั้น ตอนนั้นที่ตัดสั้นเพราะอยากเปลี่ยนทรง และคิดว่าผมสั้นดูแลง่ายกว่าจึงเปลี่ยนมาเป็นทรงนี้ แต่เราก็ไม่คิดอะไร ไม่คิดว่าจะมีคนมองเราเป็นทอม จนกระทั่งไปทานอาหารกลางวันร้านหนึ่งตรงท่าพระจันทร์ ไปกับแม่และเพื่อนแม่ (แม่ทำงานอยู่ธรรมศาสตร์ เราเรียนอยู่ศิลปากร) ตอนนั้นพี่พนักงานในร้านที่มารับออเดอร์ทักเราว่าสุดหล่อหรือยังไงนี่แหละ เราถึงรู้ตัวว่าเราคงเหมือนทอม ตอนนั้นเพื่อนแม่ก็ท้วงว่าเขาเป็นผู้หญิง ต้องบอกว่าสวยสิ เราก็วางหน้าไม่ค่อยถูก เพราะจริง ๆ เราก็ไม่ได้สวย รวมถึงไม่ได้หล่อ แต่จากเหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่าคนอื่นเขามองเรายังไง

ด้วยรูปร่าง ด้วยการแต่งตัว ด้วยทรงผม เวลาไปเจอเพื่อนสมัยประถม เพื่อนผู้ชายบางคนก็เข้ามากอดคอ คือ เขาก็คิดว่าเราเป็นทอม

ตอนทำงานที่ที่สอง ก็มีพี่ที่ทำงานถามว่าชอบผู้ชายหรือชอบผู้หญิง พอเราบอกว่าเราชอบผู้ชาย เขาก็ทำหน้าไม่เชื่อ เราก็ไม่รู้ว่าจะยืนยันยังไงว่าเราชอบผู้ชายจริง ๆ ก็ปล่อยให้เขาคิดกันไปว่าเราชอบผู้หญิง ในตอนนั้นเราไม่มีความรักกับใคร เราโสด จนมาทำงานที่ที่สาม ที่นี่ผู้ชายเยอะมาก เราก็แต่งตัวใส่กางเกงบ้าง ใส่กระโปรงบ้าง พี่ ๆ ที่นี่ไม่ได้คิดว่าเราเป็นทอม เพราะเราตั้งวอลเปเปอร์คอมเป็นรูปผู้ชาย มีคนคิดว่าคนนี้คือแฟนเรา แต่เปล่า คนนี้คือนักแสดง นักร้องของไต้หวัน และที่นี่ก็มีคนมาจีบเราด้วย ซื้อช็อกโกแลตมาให้เป็นกระบอกใหญ่เลย เราก็ชอบเขา ซื้อถั่วต้มให้เขาประจำ แต่เพราะเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันตรง ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นพี่น้อง

และช่วงเวลานี้เองเราก็เริ่มรักผู้หญิง อย่างที่เราก็ไม่คิดว่าจะรักได้ เราเริ่มตามวงโคฟเวอร์ แล้วก็เริ่มชอบน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนแรกคิดว่าเป็นการชอบเฉย ๆ ชอบความสามารถ ชอบหน้าตา จนกระทั่งมารู้ตัวว่ารักตอนที่เขามีแฟนที่เป็นผู้หญิงในตอนนั้น ตอนนั้นเราหึงหวงมาก จนรู้สึกเลยว่านี่แหละเรารักเขาแล้ว ทำให้เรารู้ตัวว่าเราชอบผู้หญิงได้นะ

น้องคนนี้ทำให้เราเกิดจุดเปลี่ยน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปซะเดียว เพราะเมื่อรู้ว่าน้องไม่ได้รักเราแบบนั้น เราก็เปลี่ยนมารักน้องแบบน้องสาว ความรักแบบหญิงรักหญิงก็ไม่เกิด

มันมาเกิดอีกทีก็ปี 60 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเราเลย มันเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะเราอกหักจากคนในพันทิป เราพยายามมูฟออนมาอยู่ในบล็อกแก๊งตั้งแต่ปี 58 แต่เรายอมรับว่าทำใจลืม ทำใจให้กลับไปดูเขาไม่ได้ เรายังคงกลับไปดูเขาเรื่อย ๆ ในพันทิป จนเรารู้สึกว่าไม่ได้ละ เราต้องหาคนรักใหม่เสียที แต่ปัญหาคือ เราจะหาจากที่ไหน ด้วยรูปลักษณ์ ด้วยทรงผม ถ้าผู้ชายเห็นหน้าก็ต้องคิดว่าเราเป็นทอม อย่ากระนั้นเลย เราไปหาคู่เป็นผู้หญิงดีกว่า น่าจะเจอคนที่ชอบเราง่ายกว่า เราก็เลยเข้าไปในเว็บ lesla เว็บของหญิงรักหญิง เข้าไปที่กระดานหาเพื่อน

เราเห็นว่ามีกระทู้หาคนเข้ากลุ่มไลน์ เราก็เลยเข้าไปในกลุ่ม เป็นกลุ่มหญิงรักหญิง ผู้หญิงหมด เราก็คุย ๆ แต่ยังไม่ได้มีความรัก หรือสนใจใคร จนกระทั่งพี่เสือทักจีบเราในไลน์กลุ่ม เราก็เลยแอดพี่เสือไปเป็นการส่วนตัว เพราะรู้สึกว่าเรารักคนที่เขารักหรือสนใจในตัวเราดีกว่า นี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญของเราเลย เพราะมันทำให้เราหันมารักผู้หญิงอย่างเป็นจริงเป็นจัง เรารักพี่เสืออย่างที่เขาเป็น พยายามทำความเข้าใจในทุก ๆ อย่าง ความรักครั้งนี้เป็นความรักที่ไม่ง่าย เราเคยผ่านการร้องไห้ และเคยคิดที่จะหยุดความรักมาแล้ว ด้วยเพราะความเหนื่อย แต่เมื่อได้มาทบทวน ลองปรับตัวเองให้สบาย ๆ มากขึ้น ไม่คิดมาก ไม่กังวล ไม่ทำอะไรเกินตัว ความรักมันก็ดูง่ายขึ้นมา เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา แค่นี้ความรักมันก็ไปต่อได้

เราไม่รู้อนาคตมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นหรือเปล่า เราไม่รู้ว่าพี่เสือจะได้ไปเจอคนที่ใช่กว่าเราไหม แต่เราอยากบอกว่าเราไม่เสียใจเลยที่เลือกมารักผู้หญิง รักพี่เสือ

ส่วนตัวเรา เราก็บอกไม่ได้ว่ามันจะมีจุดเปลี่ยนอีกหรือเปล่า ถ้าวันหนึ่งพี่เสือไม่ได้รักเราแล้ว เราจะกลับไปรักผู้ชายไหม เราก็บอกไม่ได้

รู้แต่ว่าตอนนี้เมื่อเลือกทางนี้แล้ว เลือกคนนี้แล้ว เราก็พยายามทำความเข้าใจในทุก ๆ เรื่องราว จะไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาหรือทำให้พี่เสือลำบากใจ

เราหวังว่าความรักครั้งนี้มันจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราก็จะไม่คาดหวังอะไรมาก จะเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับหากวันใดวันหนึ่งความรักมันสะดุดหรือหยุดลง


จุดเปลี่ยนของชีวิตบางคนเกิดครั้งเดียว บางคนเกิดหลายครั้ง
แต่ขอให้ทุก ๆ จุดเปลี่ยนทำให้คุณได้เรียนรู้ เติบโต
เข้าใจโลกมากขึ้น เป็นประสบการณ์ชีวิตให้คุณเป็นผู้ใหญ่


ไม่มีจุดเปลี่ยนไหนที่สูญเปล่า ถ้าคุณพยายามทำความเข้าใจ เรียนรู้ ยอมรับในสิ่งที่คุณเลือก




Cr. Youtube :: เหตุเกิดจากความรัก Ost.Club Friday The Series 7




Cr. Youtube :: Live And Learn -​ KengPor  

 



Create Date : 10 สิงหาคม 2564
Last Update : 27 กันยายน 2564 15:47:43 น.
Counter : 1366 Pageviews.

เพลงที่อยากร้องมากที่สุดในตอนนี้ (งานตะพาบครั้งที่ 282)


เพลงที่อยากร้องมากที่สุดในตอนนี้ คือ เพลงทุกวินาที ของเจมส์ เรืองศักดิ์ (เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์) สาเหตุที่อยากร้องก็คือ อยากเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน ขอให้ผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปให้ได้ เราเชื่อว่าสักวันมันต้องดีขึ้น มันต้องดีขึ้นแน่นอน

ถึงตอนนี้เธอจะยิ้มไม่ออก ยิ้มไม่ได้ แต่เราก็อยากให้เธอยิ้ม ยิ้มแล้วอยู่รอวันที่ดีวันนั้นนะ





ไม่ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ไหน
รักของฉันจะส่งไปจนถึงเธอ
ใต้แผ่นฟ้าแห่งนี้
คงไม่ไกล
กว่าใจจะพบกัน

หากความคิดถึงของฉันลอยไป
ก็ขอให้เธอเก็บมันเอาไว้
เมื่อเธออ่อนล้าและกำลังร้องไห้
จะเป่าสิ่งร้ายไปจากเธอ

จะคอยเป็นกำลังใจให้เธอหายเหนื่อย
จะเป็นดังสายลมพัดมาห่วงใย
และเธอจะได้รู้ทุกวินาทีหัวใจ
ว่ายังมีฉันเข้าใจเสมอ

ไม่ว่าวันไหนเธอจะเปลี่ยนใจ
รู้เอาไว้เธอจะยังคงสวยงาม
ที่สุดในใจของฉันตลอดไป
ไม่มีใครทดแทน

หากความคิดถึงของฉันลอยไป
ก็ขอให้เธอเก็บมันเอาไว้
เมื่อเธออ่อนล้าและกำลังร้องไห้
จะเป่าสิ่งร้ายไปจากเธอ

จะคอยเป็นกำลังใจให้เธอหายเหนื่อย
จะเป็นดังสายลมพัดมาห่วงใย
และเธอจะได้รู้ทุกวินาทีหัวใจ
ว่ายังมีฉันเข้าใจเสมอ

จะคอยเป็นกำลังใจให้เธอหายเหนื่อย
จะเป็นดังสายลมพัดมาห่วงใย
และเธอจะได้รู้ทุกวินาทีหัวใจ
ว่ายังมีฉันเข้าใจเสมอ




ขอบคุณรูปภาพจาก Pinterest
ขอบคุณเนื้อเพลงจากอินเทอร์เน็ต



Create Date : 03 สิงหาคม 2564
Last Update : 3 สิงหาคม 2564 18:32:34 น.
Counter : 1319 Pageviews.

0 comment
มหาลัยวัยซน (งานตะพาบครั้งที่ 280)


ต้องเท้าความก่อนว่าจุดเริ่มต้นในการเลือกมาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะโบราณคดี เอกภาษาไทย มันมีที่มาที่ไปอย่างไร

มันเริ่มต้นจากการที่ครูภาษาไทยอยากให้เราลองเขียนเรียงความส่งเข้าประกวดของกรมสุขภาพจิตเมื่อตอนม.ปลาย เราก็ลองเขียนส่งดู แล้วปรากฏว่าเราได้รางวัลที่ 1 เราจึงคิดว่าเราน่าจะไปได้กับทางภาษาไทย เราเลยมาทางนี้ ตอนแรกเรายังไม่รู้จักคณะโบราณคดีหรอก ไม่รู้ด้วยว่าเขามีเอกภาษาไทย ที่เรารู้จักในตอนนั้น และคิดอยากเข้า คือ คณะมนุษยศาสตร์ ของมศว ซึ่งมีทั้งเอกภาษาไทย และเอกวรรณกรรมสำหรับเด็ก ซึ่งเอกวรรณกรรมสำหรับเด็ก เขามีเปิดสอบตรง เราก็ไปสอบ เมื่อเข้าไปสอบ ทำให้เรารู้ว่ามันไม่ง่ายเลย เพราะมันมีสอบวาดรูปด้วย ถ้าใครเขียนเรื่องได้ วาดรูปไม่ได้ คุณก็ไม่ผ่านนะ ซึ่งเราวาดรูปไม่ได้เลยจ้า ก็รู้เลยว่าไม่ผ่านแล้วแน่นอน ใจก็เบนไปทางเอกภาษาไทย แต่เอกภาษาไทย เขาไม่มีเปิดสอบตรง ก็ต้องไปสอบเอนทรานซ์ แล้วเลือกคณะเอา

ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการสอบเอนทรานซ์ ก็จะมีการมาออกบูธของคณะต่าง ๆ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เราก็ได้ไปเดินและเก็บรายละเอียดมา ที่นั่นทำให้เรารู้จักกับคณะโบราณคดี ทำให้รู้ว่ามีหลายเอก และมีเอกภาษาไทยด้วย เราก็ตัดสินใจว่าจะเลือกที่นี่เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือมศว

และก็ปรากฏว่าเราก็สอบติดที่นี่ ที่เราเลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง เราไม่ได้เลือกจุฬา ธรรมศาสตร์ เพราะรู้ว่าคะแนนไม่ถึง ยังไงก็ไม่มีทางติด (ในตอนนั้นเวลาเลือกคณะใช้เกณฑ์ดูคะแนนของปีที่แล้ว แล้วก็ดูว่าคะแนนของเรา พอจะเข้าที่ไหนได้บ้าง)

เมื่อติดแล้ว ด่านต่อมา คือ ตรวจสุขภาพ และสอบสัมภาษณ์ ซึ่งเรามีปัญหาเรื่องการได้ยิน เราเพิ่งรู้ตัวเมื่อตอนไปตรวจสุขภาพเพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละ ซึ่งเราก็เป็นกังวลว่าเราจะได้เข้าเรียนไหมเนี่ย ถ้าสอบได้ แต่ไม่ผ่านเรื่องตรวจสุขภาพ ก็คงรู้สึกแย่ แต่สุดท้ายหลังจากสอบสัมภาษณ์ ซึ่งไม่ถามเรื่องการตรวจสุขภาพ เราก็ผ่านมาได้

เราได้มาเป็นนักศึกษาคณะโบราณคดี เอกภาษาไทย อย่างที่ใจเราเลือกไว้

เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ตอนที่รับน้อง ได้เพื่อนสนิท เพื่อนในกลุ่มตอนที่รับน้องนี่แหละ

มันจะมีรับน้องแบบโดยรวมทั้งมหาวิทยาลัยกับรับน้องแต่ละคณะ

การรับน้องโดยรวมทั้งมหาวิทยาลัย จะเป็นการรับน้องแรกเริ่ม คือ เราจะรับน้องกันที่วังท่าพระ แล้วก็ไปที่ทับแก้ว ไปค้างที่นั่นหนึ่งคืน จุดประสงค์ของการรับน้องแบบนี้ คือ เพื่อที่จะให้เรารู้จักทับแก้ว (วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์) อีกแห่ง ซึ่งเราก็ได้ไปที่นี่ก็ตอนช่วงรับน้อง และตอนจบรับปริญญา

ส่วนรับน้องแต่ละคณะ ก็จะมีความโหดที่แตกต่างกันไป โดยรวมแล้วก็จะรับน้องกันประมาณหนึ่งเดือน คณะจิตรกรรมก็จะโหดสุด เพราะนักศึกษาผู้ชายจะต้องโกนผม หัวเกรียนกันทุกคน ที่เขาให้ไว้ทรงนี้เหมือนเราเคยได้ยินมาว่าเพื่อที่เวลาผมยาวจะได้ยาวพร้อม ๆ กัน ส่วนนักศึกษาผู้หญิงก็ต้องมาแต่เช้าเพื่อที่จะครีเอททรงผมตัวเอง เราจะเห็นทรงผมของนักศึกษาผู้หญิงไม่ซ้ำเลยในแต่ละวัน

ส่วนคณะโบราณคดี เราไม่โหดขนาดนั้น แต่ถามว่าโหดไหม มันก็โหดอยู่ ในช่วงระหว่างรับน้อง เราจะไม่มีสิทธิ์เดินผ่านหน้าคณะ หรือนั่งหน้าคณะเลย ที่ที่เรานั่งได้ และสิงสถิตกันอยู่ คือ หน้าหอประชุม

เราจะมีการฝึกร้องเพลงคณะในห้องมืดตอนกลางวันก่อนจะไปทานข้าว และรับน้องหรือที่เราเรียกกันว่าขึ้นซ่อมตอนเย็นหลังเลิกเรียนที่ดาดฟ้าของคณะ เวลาจะไปขึ้นซ่อมเราจะต้องเรียงแถวและนับจำนวน ถ้ามีใครมาเพิ่มในระหว่างทาง เราก็ต้องบวกเพิ่ม เพื่อที่ว่าเมื่อขึ้นไปถึงจะได้แจ้งรุ่นพี่ถูก วันไหนนับผิด จะโดนลงโทษ บทลงโทษก็คือกอดคอกันลุกนั่ง พวกผู้ชายถ้าทำผิด บางทีก็จะมีวิดพื้นบ้าง แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะโดนลุกนั่ง

ถึงดูเหมือนจะโหด แต่ช่วงเวลานี้ก็ทำให้เรายิ้มได้อยู่บ้าง จากของเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือจดหมายจากสายรหัส เราจะเฝ้ารอจดหมายจากสายรหัสทุกวัน บางวันก็มี บางวันก็ไม่มี

หลังจากจบสิ้นการรับน้อง เราก็ได้เจอสายรหัสของเรา สายรหัสของเราเป็นผู้หญิงหมด และเรียนคนละเอกกับเรา สายรหัสของเราทั้งสามคนเรียนเอกประวัติศาสตร์ศิลปะ ซึ่งการที่เรียนคนละเอก เราก็จะไม่ได้ตำราจากสายรหัสเรามาเลย

ส่วนตัวเราเมื่อขึ้นปี 2 สายรหัสของเราที่เป็นรุ่นน้องปี 1 เขาเอกเดียวกับเรา เราก็จะส่งมอบตำรา หรือที่เราเลคเชอร์เอาไว้แล้วเราให้ได้ เราก็ให้เขาไป

ในมหาวิทยาลัยที่เรารู้สึกว่าขาดไปสำหรับเรา มันหายไปสำหรับเรา คือ ความรัก ความรักในแบบของหนุ่มสาว มันไม่มีเลย มีแต่ความรักระหว่างเพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้อง เราไม่รู้สึกว่าชอบใครเป็นพิเศษ และก็ไม่มีใครมาชอบเราด้วย ต่างจากสมัยมัธยมที่มีความรัก

ในมหาวิทยาลัย เราไม่ค่อยมีวีรกรรมอะไรเท่าไหร่หรอก แต่มีอยู่ครั้งเอาลูกอมเข้าไปกินในห้องเรียน แล้วฉีกห่อออก ลูกอมกระจายเต็มพื้น ตอนนั้นเป็นอะไรที่อายที่สุดแล้ว

ในส่วนของการเรียนวิชาการนั้น ก็เรียกว่านับหนึ่งใหม่กันทุกคน เพราะส่วนใหญ่วิชาที่เรียนในเอกสมัยนั้นจะเป็นวิชาที่เราไม่เคยเรียนกันมาก่อน อย่างการเรียนวิชาภาษาเขมร ซึ่งเป็นวิชาที่ทุกคนต้องเรียน เพื่อที่จะได้ไปเรียนอ่านใบลานได้ แล้วยังมีภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาถิ่นภาคต่าง ๆ เราได้เรียนวิชาภาษาถิ่นกันครบทุกภาคจากอาจารย์ที่เป็นคนจากภาคนั้น ๆ นี่น่าจะเป็นสิ่งที่แตกต่างจากคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาไทย ของมหาวิทยาลัยศิลปากร และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราต้องเรียนการอ่านศิลาจารึก นอกจากนั้นแล้วก็น่าจะคล้าย ๆ คณะอักษรศาสตร์ที่เรียนด้านสัทศาสตร์ ไวยากรณ์ วรรณกรรม แต่วรรณคดี เราไม่ค่อยได้เรียน แต่ไม่รู้ว่าปัจจุบันหลักสูตรใหม่เป็นอย่างไร
 
ตอนปี 4 ก็มีทำสารนิพนธ์ส่ง เราต้องไปจองตัวอาจารย์ที่จะมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ก็แล้วแต่ว่าเราจะทำในเรื่องอะไร ส่วนใหญ่แล้วจะทำทางด้านวรรณกรรม น้อยคนนักที่จะไปทำด้านไวยากรณ์ ด้านสัทศาสตร์ (ด้านสัทศาสตร์ไม่ค่อยมีใครทำ เพราะมันยาก)
 
สุดท้ายแล้วเราก็รู้สึกดีใจที่เราได้เลือกเรียนคณะนี้ และเรียนจนจบได้ แต่เราก็ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราเชี่ยวชาญภาษาไทย เพราะบางทีบางคำเราก็ยังใช้ผิด ๆ ถูก ๆ เอาเป็นว่าเราก็เรียนรู้กันต่อไป 'การเรียนรู้ ไม่มีวันสิ้นสุด'

และนี่ก็เป็นมหาลัยวัยซนในแบบฉบับของเราค่ะ



Create Date : 24 มิถุนายน 2564
Last Update : 28 มิถุนายน 2564 13:39:37 น.
Counter : 747 Pageviews.

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

comicclubs
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]



Group Blog
    All Blog
  •  Bloggang.com