ศีลกับเจตนารมณ์ทางสังคม (14) - พระพรหมคุณาภรณ์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
เมื่อเข้าใจศีลระดับวินัยดีแล้ว ก็จะรู้จักแยกได้ ระหว่างศีลที่เป็นธรรม กับศีลระดับวินัย ศีลที่เป็นธรรมก็รวมอยู่ในคำว่าธรรม ส่วนศีลระดับวินัยก็เรียกง่ายๆ ว่าวินัย แล้วก็จะเข้าใจว่าเหตุใด แต่เดิมท่านจึงเรียกพระพุทธศาสนาทั้งหมดว่า "ธรรมวินัย" และเหตุใด ธรรมและวินัยจึงเป็นส่วนประกอบทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
วินัยในความหมายที่กว้างใหญ่เลยจากศีล
เท่าที่กล่าวมานั้น แสดงความหมายของวินัยในขอบเขตที่ศีลคลุมมาถึงได้ หรือที่ยังเนื่องโดยตรงกับศีล แต่ที่จริง วินัยมีความหมายกว้างขวางมาก ถ้าศึกษาให้เข้าใจ จะช่วยให้มองเห็นแนวคิดและระบบของพระพุทธศาสนาชัดเจนขึ้น
ความหมายพื้นฐานของวินัยมี 2 อย่าง คือ
ก. การฝึกให้มีความประพฤติและความเป็นอยู่เป็นระเบียบแบบแผน หรือการบังคับควบคุมตนให้อยู่ในระเบียบแบบแผน รวมทั้งการใช้ระเบียบแบบแผนต่างๆ เป็นเครื่องจัดระเบียบความประพฤติ ความเป็นอยู่ของคน และกิจการของหมู่ชน
ข. ระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ ข้อบังคับต่างๆ ที่วางลงไว้เป็นหลัก หรือเป็นมาตรฐาน สำหรับใช้ฝึกคน หรือใช้บังคับควบคุมตน ตลอดจนเป็นเครื่องจัดระเบียบความประพฤติ ความเป็นอยู่ของคนและกิจการของหมู่ชนให้เรียบร้อยดีงาม
ในความหมายหลัก 2 นัยนี้ มองลึกลงไป มีความหมายแฝงและแยกแยะออกไปได้เป็น 5 อย่าง คือ
1.การฝึกตน และสอนคนให้ฝึกตน ที่จะประพฤติปฏิบัติให้ดีงาม ถูกต้อง เป็นระเบียบ มีแบบแผน เพื่อจะได้มีความเจริญงอกงาม พัฒนาชีวิตในด้านต่างๆ อย่างได้ผลดี นี่คือ การศึกษา
2.การดูแลบังคับควบคุมคนให้ประพฤติให้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน และใช้ระเบียบแบบแผนเป็นเครื่องจัดระเบียบ ความประพฤติความเป็นอยู่ของคน และกิจการของหมู่ชน นี่คือ การปกครอง
3.การบัญญัติจัดตั้งวางตราระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ ข้อบังคับต่างๆ ที่จะใช้เป็นหลัก หรือเป็นมาตรฐาน สำหรับใช้ฝึกหรือบังคับควบคุมคน ดังที่กล่าวมานั้น นี่คือ นิติปัญญา
4.ตัวระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ ข้อบังคับต่างๆ ที่วางไว้เป็นหลัก หรือเป็นมาตรฐาน สำหรับใช้ฝึกหรือบังคับควบคุมคน ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวแล้วนั้น นี่คือ นิติบัญญัติ
5.การวินิจฉัยตัดสินกรณีพิพาทอรรถคดี ให้ยุติตามระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่วางเป็นหลักไว้นั้น เพื่อคงความถูกต้องเป็นธรรมและความเรียบร้อยสงบสุข นี่คือ วินิจฉัยกรณ์ (ไทยว่า ตุลาการ)
ในแง่วิวัฒนาการของสังคม มองตามพุทธมติว่า สถาบันตามความหมายข้างบนนี้ เกิดมีขึ้นตามความจำเป็นให้ต้องการของสังคมมนุษย์ คือ เมื่อคนมาอยู่รวมกันมากขึ้น และต่างก็แสวงหาปัจจัยสี่และวัตถุเสพ เกิดการทะเลาะวิวาทขัดแย้งแย่งชิงกัน ทำให้ต้องมีผู้ระงับกรณีพิพาท และมีการปกครองขึ้น
ผู้ปกครองจะให้ผู้ใต้ปกครองอยู่กันด้วยดี ก็ต้องมีกฎเกณฑ์กติกาที่จะเป็นข้อยึดถือยุติ และเป็นเครื่องจัดระเบียบสำหรับบังคับควบคุม จึงเกิดมีการบัญญัติกฎระเบียบ ก็ตั้งเป็นข้อบังคับหรือกฎหมายขึ้น เกิดมีเป็นนิติบัญญัติ และเมื่อมีกรณีพิพาท ก็ตัดสินวินิจฉัย มีการลงโทษ
ทั้งนี้ การบัญญัติกฎระเบียบ ตลอดจนตัดสินวินิจฉัยกรณีพิพาทนั้น เดิมเป็นกิจของผู้ปกครองเอง ต่อมา สังคมเจริญเติบโตมากขึ้น ซับซ้อนขึ้น มีการวางระบบจัดกระบวนวิธีและขั้นตอนต่างๆ ขึ้น เกิดเป็นสถาบัน เป็นองค์กรขึ้นมาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และตุลาการ แยกออกจากฝ่ายบริหาร เพื่อสนองงานต่างหากออกไป แม้ระบบศาล กระบวนการยุติธรรม ก็เป็นความหมายหนึ่งของวินัยนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่พูดถึงวิวัฒนาการของสังคม เพื่อให้เห็นความหมายของวินัยในแง่การปกครองนั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ข้อที่ต้องการพูดในที่นี้ คือจะชี้ถึงการเปลี่ยนจุดเน้นแห่งความหมายของวินัยนั้น
จะเห็นว่า ตามวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์นั้น เพราะความจำเป็นในการอยู่ร่วมกัน จึงต้องมีการปกครองเกิดขึ้น โดยมาพร้อมด้วยการใช้อำนาจตัดสินกรณีพิพาท และการวางข้อกำหนดกฎกติกาที่เป็นเครื่องยุติในการปกครองรวมทั้งการตัดสินวินิจฉัยอรรถคดีนั้น แต่บนฐานของความต้องการโดยจำเป็นของสังคมนั้น วินัยเครื่องชี้นำของการปกครองอย่างที่ว่านี้ มุ่งหมายเพียงแค่ให้คนอยู่ร่วมกันได้เรียบร้อยดี ไม่เบียดเบียนกันนัก ประพฤติดี มีศีลธรรม ตั้งหน้าตั้งตาประกอบกิจอาชีพการงานให้ดำเนินไป ให้สังคมมั่นคงมั่งคั่งเจริญไพบูลย์ ถ้าได้ผู้ปกครองที่ดี ชาวประชามั่นใจในความมีธรรมเป็นธรรมและชอบธรรม ก็เรียกว่าได้ ผู้ปกครองที่เป็นจักรพรรดิธรรมราชา
หน้า 27
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์
สิริสวัสดิ์ภุมวารค่ะ
Create Date : 21 ตุลาคม 2557 |
Last Update : 21 ตุลาคม 2557 10:13:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 455 Pageviews. |
|
|