อริยสัจ 4 (8) - พระพรหมคุณาภรณ์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
8 พูดให้ง่าย คือ รู้ว่า ทุกข์หรือปัญหาของเราคืออะไร, ทุกข์นั้นเกิดจากอะไร, เราต้องการหรือพึงต้องการผลสำเร็จอะไร และจะเป็นไปได้อย่างไร, เราจะต้องทำอะไรบ้าง
กิจญาณนี้ เป็นอย่างหนึ่ง ในญาณ 3 ที่เกี่ยวกับอริยสัจ 4 ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์สำหรับวัดความตรัสรู้ กล่าวคือ เมื่อใดรู้อริยสัจ 4 แต่ละอย่าง ด้วยญาณครบทั้ง 3 (รวมทั้งหมดเป็น 12 รายการ) แล้ว เมื่อนั้น จึงจะชื่อว่ารู้อริยสัจ หรือเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว
ญาณ 3 นั้น เรียกชื่อเต็มว่า ญาณทัสสนะ อันมีปริวัฏฏ์ 3 หรือปริวัฏ 3 แห่งญาณทัศนะ หมายถึง การหยั่งรู้หยั่งเห็นครบ 3 รอบ กล่าวคือ
1.สัจญาณ หยั่งรู้สัจจะ คือ ความหยั่งรู้อริยสัจ 4 แต่ละอย่าง ตามที่เป็นๆ ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือว่า ทุกข์ คืออย่างนี้ๆ เหตุแห่งทุกข์ คืออย่างนี้ๆ ภาวะดับทุกข์ คืออย่างนี้ๆ ทางแก้ไขดับทุกข์ คืออย่างนี้ๆ
สัจญาณ ในอริยสัจ ครบ 4 ข้อ ก็เป็นอันครบ 1 รอบ เป็น ปริวัฏ 1
2.กิจญาณ หยั่งรู้กิจ คือ ความหยั่งรู้หน้าที่ที่จะต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละอย่างว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละเสีย เป็นต้น ดังได้อธิบายแล้ว
กิจญาณ ในอริยสัจ ครบ 4 ข้อ ก็เป็นอันครบอีก 1 รอบ เป็นอีก ปริวัฏ 1
3.กตญาณ หยั่งรู้การอันทำแล้ว คือ ความหยั่งรู้ว่า กิจอันจะต้องทำในอริยสัจ 4 แต่ละอย่างนั้น ได้ทำเสร็จแล้ว คือ รู้ว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ ก็ได้กำหนดรู้แล้ว สมุทัยควรละ ก็ได้ละแล้ว นิโรธควรทำให้แจ้ง ก็ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว มรรคควรปฏิบัติ ก็ได้ปฏิบัติแล้ว
กตญาณ ในอริยสัจ ครบ 4 ข้อ ก็เป็นอันครบอีก 1 รอบ เป็นอีก ปริวัฏ 1
โดยนัยนี้ ญาณ 3 นั้น ก็เป็นไปในอริยสัจ 4 ญาณละ 4 รอบ จึงรวมเป็น 3 รอบ (3 ปริวัฏ) เรียกเต็มว่า ญาณทัศนะ มีปริวัฏ 3
เมื่อแจงนับอย่างละเอียด ปริวัฏ (วนรอบ) 3 นี้ แต่ละรอบ ก็คือเป็นไปในอริยสัจ 4 ครบทุกข้อ จึงรวมเป็น 12 รายการ เรียกเป็นคำศัพท์ว่า มีอาการ 12 จึงพูดให้เต็มว่า ญาณทัศนะ มีปริวัฏ 3 มีอาการ 12
พระพุทธเจ้าทรงมีญาณทัศนะตามเป็นจริง ในอริยสัจ 4 ครบปริวัฏ 3 มีอาการ 12 คือ ได้ความรู้แจ้งครบ 12 รายการแล้ว จึงปฏิญาณพระองค์ได้ว่า ทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
อนึ่ง มีข้อควรทราบเพิ่มเติมให้เห็นภาพกว้างออกไป ดังนี้
1.ทุกข์ คู่กับกิจ คือ ปริญญา ในฐานะเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ดังนั้น ทุกข์ และธรรมทั้งหลายที่อยู่ในจำพวกปัญหา หรือเป็นที่ตั้งแห่งปัญหา จึงรวมเรียกว่า ปริญไญยธรรม (ธรรมที่ควรกำหนดรู้)
2.สมุทัย คู่กับกิจ คือ ปหานะ ในฐานะเป็นสิ่งที่ควรละ หรือกำจัด ดังนั้น ตัณหา และธรรมจำพวกที่ทำให้เกิดปัญหา เป็นเหตุแห่งทุกข์ เช่น อวิชชา โลภะ โทสะ อุปาทาน เป็นต้น จึงเรียกรวมว่า ปหาตัพพธรรม (ธรรมที่ควรละ)
3.นิโรธ คู่กับกิจ คือ สัจฉิกิริยา ในฐานะเป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง หรือควรบรรลุ ดังนั้น นิพพาน และธรรมจำพวกที่เป็นจุดหมาย หรือเป็นที่แก้ปัญหา จึงเรียกรวมว่า สัจฉิกาตัพพธรรม (ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง)
4.มรรค คู่กับกิจ คือ ภาวนา ในฐานะเป็นสิ่งที่ควรเจริญ คือปฏิบัติดำเนินการ ดังนั้น มรรคามีองค์ 8 และธรรมทั้งหลายที่เป็นพวกข้อปฏิบัติ เป็นวิธีการเพื่อเข้าถึงจุดหมาย จึงรวมเรียกว่า ภาเวตัพพธรรม (ธรรมที่ควรเจริญ)
ธรรมทั้งหมด หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงบรรดามี ย่อมจัดรวมเข้าในประเภทใดประเภทหนึ่ง แห่งธรรม 4 จำพวกนี้ ไม่มีเหลือ
ในมรรคาแห่งความดับทุกข์ หรือปฏิบัติการแก้ปัญหาทั้งหลาย ตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด ตั้งแต่ภายนอกจนถึงลึกซึ้งภายใน ผู้ศึกษาที่สนใจ อาจคอยจับธรรมที่ตนเกี่ยวข้อง จัดเข้าในธรรม 4 ประเภทนี้ได้เสมอ เช่น ในการปฏิบัติขั้นถึงแก่น เอาแต่สาระ พระพุทธเจ้าเคยทรงแสดงธรรม 4 ประเภทไว้ ดังนี้
1.(ทุกข์) : ปริญไญยธรรม ได้แก่ อุปาทานขันธ์ 5
2.(สมุทัย) : ปหาตัพพธรรม ได้แก่ อวิชชา และภวตัณหา
3.(นิโรธ) : สัจฉิกาตัพพธรรม ได้แก่ วิชชา และวิมุตติ
4.(มรรค) : ภาเวตัพพธรรม ได้แก่ สมถะ และวิปัสสนา
แนวอธิบายอริยสัจโดยสังเขป
อรรถกถาที่เคยอ้าง ได้เปรียบเทียบอริยสัจ 4 ไว้เป็นข้ออุปมานัยต่างๆ มีบางข้อน่าสนใจ เช่น
ก. ทุกข์ เหมือนโรค สมุทัย เหมือนสมุฏฐานของโรค
นิโรธ เหมือนความหายโรค มรรค เหมือนยารักษาโรค
ข. ทุกข์ หมือนทุพภิกขภัย สมุทัย เหมือนฝนแล้ง
นิโรธ เหมือนภาวะอุดมสมบูรณ์ มรรค เหมือนฝนดี
ค. ทุกข์ เหมือนภัย สมุทัย เหมือนเหตุแห่งภัย
นิโรธ เหมือนความพ้นภัย มรรค เหมือนอุบายให้พ้นภัย
ง. ทุกข์ เหมือนของหนัก สมุทัย เหมือนการแบกของ หนักไว้
นิโรธ เหมือนการวางของหนักลงได้ มรรค เหมือนอุบายวิธีที่จะเอาของหนักลงวาง
หน้า 27
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์
สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ
Create Date : 03 พฤศจิกายน 2557 |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2557 11:26:19 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2935 Pageviews. |
|
|