คุณสมบัติของคนดี (1) - พระเทพคุณาภรณ์
ธรรมะวันหยุด พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร www.watdevaraj.com
ธรรมดาของทุกๆ คนในโลกนี้ ย่อมแตกต่างกันโดยฐานะ หน้าที่ เพศ วัย และชนชั้น แต่ในทางพระพุทธศาสนาแบ่งเป็น 2 พวกด้วยกัน คือ คนดี และ คนไม่ดี
คนดีมีความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีสติปัญญาความคิดเฉลียวฉลาด มีอัธยาศัยจิตใจดีงาม ส่วนคนไม่ดี ไม่มีความสงบเสงี่ยมเจียมตน โง่เขลาเบาปัญญา มีอัธยาศัยเลวทราม
คน 2 ประเภทนี้ ย่อมมีปะปนอยู่ในกลุ่มชนทั่วไป พระพุทธองค์ไม่ทรงถือชาติ ตระกูล ยศศักดิ์ และทรัพย์สมบัติ เป็นหลักเกณฑ์ในการวัดคน แต่ทรงวัดด้วยคุณธรรม ผู้ที่มีความประพฤติไม่ดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำตนให้เป็นคนก่อโทษเวรภัยต่อตนเองและผู้อื่น เรียกว่า คนไม่ดี ส่วนผู้ที่มีความประพฤติดีด้วยกาย วาจา ใจ บำเพ็ญประโยชน์ตนและผู้อื่น เรียกว่าเป็นคนดี
การถือความประพฤติของบุคคล เป็นเครื่องจัดสรรบุคคลว่า ดี หรือไม่ดี นั้น นับว่าเป็นการยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะไม่มีใครสามารถท้วงติงหรือคัดค้านได้ โลกนิยมยกย่องผู้ที่ประพฤติดีงาม ติเตียนผู้ประพฤติชั่วช้าเลวทราม
ดังนั้น บุคคลจะเกิดในตระกูลสูงหรือต่ำก็ตาม มียศศักดิ์หรือไม่มีก็ตาม มีทรัพย์สมบัติหรือไม่มีก็ตาม มิใช่เครื่องวัดความดี ดังบทประพันธ์ที่ว่า อันคนดีมิใช่ดีด้วยที่ทรัพย์ มิใช่นับพงศ์พันธ์ชันษา คนดีนั้นดีด้วยการงานนานา อีกวิชาศีลธรรมนำให้ดี
สำหรับคุณสมบัติของคนดี พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้มีมากมาย สุดแต่ใครจะมีอัธยาศัยน้อมไปในธรรมะข้อใด ก็เลือกปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมตามอัธยาศัยในธรรมะข้อนั้น ในที่นี้ได้ยกคุณสมบัติของคนดี 7 ประการ คือ 1.ความเป็นผู้รู้จักเหตุ 2.ความเป็นผู้รู้จักผล 3.ความเป็นผู้รู้จักตน 4.ความเป็นผู้รู้จักประมาณ 5.ความเป็นผู้รู้จักกาล 6.ความเป็นผู้รู้จักบริษัท และ 7.ความเป็นผู้รู้จักบุคคล
1.ความเป็นผู้รู้จักเหตุ คือ เป็นผู้มีหลักการที่ดี รู้เหตุแห่งความสุขและความทุกข์ รู้เหตุแห่งความเจริญและความเสื่อม พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนเรื่องเหตุผล ไม่ได้สอนให้เชื่ออย่างงมงาย สอนให้ตรึกตรองให้ดีก่อนแล้วจึงเชื่อ ให้เชื่อภายหลังที่เข้าใจเหตุผลดีแล้ว เหตุดีผลก็ดี เหตุชั่วผลก็ชั่ว พระพุทธองค์ตรัสรับรองความต่างของเหตุผลไว้ 2 ประการ คือ อธรรม หมายถึงเหตุชั่วนำไปสู่ความเดือดร้อน และธรรมะ หมายถึง เหตุดีนำไปสู่ความเจริญ
ดังนั้น ความเป็นผู้รู้จักเหตุ จึงเป็นคุณสมบัติของคนดี ทำให้เป็นคนรอบคอบ คิดก่อนแล้วจึงทำ หรือพูด ดังนั้น ควรคำนึงถึงพฤติกรรมที่แสดงออกทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในแนวทางสร้างเหตุที่ดี อันจะก่อให้เกิดผลที่ดีตามมา ผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้รู้จักเหตุ จัดเป็นคนดี น่ายกย่องนับถือ และน่าคบหาสมาคมด้วย
2.ความเป็นผู้รู้จักผล คือ รู้จักผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ รู้ถึงจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติอย่างชัดเจนว่า ปฏิบัติเช่นนี้จะได้รับผล อย่างนี้ เว้นจากธรรมะข้อนี้ จะได้รับผล อย่างนี้ รู้ว่าผลที่ตนหรือคนอื่นได้รับอยู่ในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้เกิดมาจากเหตุที่เรากระทำด้วยกาย วาจา ใจ พระพุทธองค์ทรงแสดง ความเป็นผู้มีบุญที่ได้ทำไว้แล้วในกาลก่อน ว่าเป็นอุดมมงคล ก็เพื่อให้ทราบผลที่ประสบอยู่นั้น ว่าสำเร็จมาแต่บุญที่ได้ทำไว้ ส่งผลให้มาเกิดเป็นมนุษย์ มีรูปร่างกายสมบูรณ์ มีความสะดวกสบายเรื่องที่อยู่อาศัย มีทรัพย์สมบัติมากมายไม่ฝืดเคือง เป็นต้น ล้วนเป็นผลดีซึ่งได้ทำเหตุไว้ในอดีตทั้งสิ้น
ความเป็นผู้รู้จักผลด้วยอาการอย่างนี้ เป็นทางให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในการสร้างเหตุที่ดี มีประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น ให้ไพบูลย์ในปัจจุบัน เพื่อเป้าหมายที่ชัดเจน ในการได้รับผลดีอันจะมีต่อไป
(อ่านต่อฉบับหน้า)
หน้า 23
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระเทพคุณาภรณ์
สิริสวัสดิ์โสรวารค่ะ
Create Date : 05 กรกฎาคม 2557 |
Last Update : 5 กรกฎาคม 2557 9:52:02 น. |
|
0 comments
|
Counter : 683 Pageviews. |
|
|