การให้ผลของกรรม (42) - พระพรหมคุณาภรณ์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
อรรถกถาที่อธิบายบาลีแห่งนี้ (ม.อ.3/660) ไขความโดยใช้คำว่า ทิฏฐธรรมเวทนียะ อุปปัชชเวทนียะ และ อปราปริยเวทนียะ อย่างชัดเจน นอกจากนั้น จะเห็นเค้าของอาสันนกรรม (กรรมที่ทำหรือระลึกในเวลาใกล้ตาย) อีกด้วย
คัมภีร์อปทาน ซึ่งเล่าประวัติในอดีตของพระสาวกทั้งหลาย ได้กล่าวถึงอาสันนกรรมกระจายอยู่หลายแห่ง เช่น ประวัติอดีตชาติของพระเถระท่านหนึ่งว่า เคยเป็นพรานเนื้อ วันหนึ่งเห็นพระติสสพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใส ได้ถวายหญ้ากำหนึ่งเป็นที่รองนั่ง แล้วมีจิตใจผ่องใส ครั้นออกจากที่นั้นไปไม่นาน ก็ถูกราชสีห์กัดตาย เพราะกรรมที่ทำไว้ใกล้ตาย (อาสนฺเน เม กตํ กมฺมํ) คือการที่ได้พบ ได้ถวายหญ้า และมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้านั้น จึงได้เกิดในสวรรค์ จะเห็นได้ว่า ความคิดใส่ใจเกี่ยวกับกรรมใกล้ตาย และการใช้คำว่าอาสันนะในแง่ของกรรมนี้ ได้มีอยู่แล้วในยุคของคัมภีร์อปทาน
ทิฏฐธรรมเวทนีย (กรรม) มีกล่าวถึงในบาลีอีกบางแห่ง แต่มาคู่กับสัมปรายเวทนีย (ซึ่งพึงเสวยผลในเบื้องหน้า) ในชุดซึ่งมี 10 คำ อีก 8 คำ คือ สุขเวทนีย (ซึ่งพึงเสวยผลเป็นสุข หรือให้ผลเป็นสุข) ทุกขเวทนีย (ซึ่งพึงเสวยผลเป็นทุกข์) ปริปักกเวทนีย (ซึ่งพึงเสวยผลในอัตภาพที่พร้อมอยู่ หรือถึงคราวแล้ว) อปริปักกเวทนีย (ซึ่งพึงเสวยผลในอัตภาพที่ยังไม่ถึงคราว) พหุเวทนีย (ซึ่งพึงเสวยผลมาก) อัปปเวทนีย (ซึ่งพึงเสวยผลน้อย) เวทนีย (ซึ่งจะต้องเสวยผล) อเวทนีย (ซึ่งจะไม่ต้องเสวยผล)
คำว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม มีกล่าวไว้ชัดเจน คือเป็นรูปร่างบริบูรณ์ในคัมภีร์กถาวัตถุ ที่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระรจนาขึ้น ในสมัยสังคายนาครั้งที่ 3 ราว พ.ศ.218 ส่วน อโหสิกรรม มีอยู่ชัดเจนก่อนแล้ว ในคัมภีร์ปฏิสัม ภิทามัคค์ (ขุ.ปฏิ.31/523/414) ที่เคยอ้างแล้ว และอรรถกถานับว่าเป็นกรรม 12 อีกชุดหนึ่ง คือ
1.กรรมได้มีแล้ว วิบากได้มีแล้ว 2.กรรมได้มีแล้ว วิบากไม่ได้มี 3.กรรมได้มีแล้ว วิบากกำลังมีอยู่ 4.กรรมได้มีแล้ว วิบากไม่มีอยู่ 5.กรรมได้มีแล้ว วิบากจักมี 6.กรรมได้มีแล้ว วิบากจักไม่มี
7.กรรมมีอยู่ วิบากมีอยู่ 8.กรรมมีอยู่ วิบากไม่มี 9.กรรมมีอยู่ วิบากจักมี 10.กรรมมีอยู่ วิบากจักไม่มี 11.กรรมก็จักมี วิบากก็จักมี 12.กรรมจักมี วิบากจักไม่มี
อรรถกถาอธิบายกรรม 12 ชุดนี้ ตามแนวกรรม 12 ชุดก่อนนั่นเอง (องฺ.อ.๒/๑๔๔-๕) สาระสำคัญของกรรมชุดนี้คือแสดงกรรมที่มีผล และกรรมที่ไม่มีผล ซึ่งมีฝ่ายละ 6 เท่ากัน พึงสังเกตว่า อโหสิกรรม ก็คือคำแปลท่อนแรกในหลายข้อว่า "กรรมได้มีแล้ว"
ส่วนกรรมอื่นนอกจากนี้ เช่น ครุกะ และ อาจิณณะ เป็นต้น เดิมเป็นเพียงถ้อยคำที่ใช้ในความหมายสามัญ ยังไม่มีชื่อเรียกเป็นกรรม และยังไม่จัดเป็นประเภท มาปรากฏในสมัยอรรถกถา ดังกล่าวแล้วข้างต้น
กรรม ที่ทำให้สิ้นกรรม (บทนำ)
ในหัวข้อว่าด้วยประเภทของกรรมข้างต้น เฉพาะหมวดสุดท้าย ได้จำแนกกรรมเป็น 4 อย่าง ตามสภาพที่สัมพันธ์กับวิบากหรือการ ให้ผล คือ
1.กรรมดำ มีวิบากดำ 2.กรรมขาว มีวิบากขาว 3.กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว 4.กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม
เรื่องการให้ผลของกรรมเท่าที่บรรยายมานี้ จำกัดอยู่ในวงของกรรม 3 ข้อต้น ที่มีชื่อว่า กรรมดำ กรรมขาว และกรรมทั้งดำทั้งขาว หรืออาจเรียกง่ายๆ ว่า กรรมดี และกรรมชั่ว จึงยังเหลือกรรมอย่างที่ 4 ค้างอยู่
กรรมอย่างที่ 4 นี้ มีลักษณะการให้ผลต่างออกไปจากกรรม 3 ข้อต้นอย่างสิ้นเชิง จึงแยกออกมาพูดไว้ต่างหาก
คนทั่วไป และแม้แต่ชาวพุทธส่วนมาก มักสนใจกันแต่เรื่องกรรม 3 อย่างแรก และมองข้ามกรรมข้อที่ 4 นี้ไปเสีย ทั้งๆ ที่กรรมข้อสุดท้ายนี้ เป็นหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา และเป็นข้อปฏิบัติที่นำไปสู่จุดหมายที่แท้จริงของพุทธธรรม
กรรมดำ และกรรมขาว หรือกรรมดี-กรรมชั่วโดยทั่วไปนั้น แสดงออกเป็นการกระทำในรูปแบบต่างๆ มากมาย ซึ่งประมวลลงได้ในขอบเขตของหลักที่เรียกว่าอกุศลกรรมบถ 10 และกุศลกรรมบถ 10 เช่น การทำลายชีวิต การละเมิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ความประพฤติผิดทางเพศ การพูดชั่วหรือทำร้ายกันด้วยวาจา เป็นต้น และการทำความดีในทางตรงกันข้าม กรรมเหล่านี้เป็นเหตุให้ผู้กระทำประสบผลดีและผลร้ายต่างๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้ว เป็นเครื่องปรุงแต่งชีวิต พร้อมทั้งวิถีทางดำเนินของชีวิตนั้น ทำให้เขาทำกรรมดีและกรรมชั่วอื่นๆ ต่อไปอีก หมุนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
หน้า 27
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ สิริสวัสดิ์ศุกรวารค่ะ
Create Date : 15 สิงหาคม 2557 |
Last Update : 15 สิงหาคม 2557 9:32:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 529 Pageviews. |
|
|