กรรม ตามนัยแห่งพุทธธรรม (54) - พระพรหมคุณาภรณ์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
เมื่อวินัยจัดการในระบบแห่งสมมติของสังคมนั้น ก็จัดไปตามเจตนา หรือจัดด้วยเจตนานั่นเอง และไม่ว่าจะปฏิบัติจัดทำอะไร ทุกอย่างนั้นก็เกิดจากเจตนา และถึงแม้จะเป็นเรื่องของสังคม แต่ในที่สุดก็เป็นอันเข้าไปเป็นเหตุปัจจัยร่วมอยู่ในกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยของธรรมชาติ ไม่หายไปไหน
ทีนี้ มนุษย์ที่ดีมีปัญญา เมื่อใช้วินัยจัดการสมมติในสังคมนั้นก็ต้องการให้สังคมดี คือให้มนุษย์ที่อยู่รวมกันนั้นอยู่ดีทำดีมีความเรียบร้อยสงบสุข คือให้เป็นสังคมที่ดำเนินไปถูกต้องตามธรรม พูดสั้นๆ ว่า ให้เป็นสังคมที่มีธรรม
ถึงตอนนี้ มนุษย์ที่ดีมีปัญญาดังว่านั้นก็เอาวินัยมาจัดระบบสมมติของตัว ให้ประสานบรรจบกับระบบแห่งธรรมของธรรมชาติ ในทางที่จะเกิดเป็นผลดีที่ต้องการแก่คนหรือแก่สังคมมนุษย์นั้น
พูดง่ายๆ นี่ก็คือรู้จักจัดการเหตุปัจจัยให้ดีได้อย่างฉลาดนั่นเอง พูดอีกนัยว่าเข้าถึงเหตุปัจจัยซ้อน 2 ชั้น
ตอนนี้ พูดสั้นๆ ก็คือ คนมีเจตนาที่ดี หรือเจตนาเป็นกุศลแล้ว นี่ก็คือเขาทำกรรมดีอย่างหนึ่งนั่นเอง แต่ทำอย่างไรจึงจะเกิดผลสำเร็จตามเจตนาที่ดีนั้นได้ คือจะทำอะไร ให้เหตุปัจจัยในกระบวนการของธรรมชาติในระบบของธรรมนั้นดำเนินไปจนให้เกิดผลดีที่ตนต้องการ ก็ตอบง่ายๆ ว่า ต้องรู้เหตุปัจจัยที่จะให้เกิดผลอย่างนั้น แล้วก็ทำเหตุปัจจัยนั้นๆ
ตรงนี้ก็มาถึงเจ้าบทบาทสำคัญอีกตัวหนึ่ง คือปัญญา และปัญญานี้ก็อยู่ในตัวคนนี่เอง เป็นคุณสมบัติ เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของคน ปัญญาก็จึงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง และเมื่อมันออกโรง มันก็เข้าไปเป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งร่วมด้วยในกระบวนการของธรรมชาติ
ปัญญานี้สำคัญยิ่งนัก เพราะเป็นตัวที่รู้ธรรมชาติได้ ถ้าพัฒนาขึ้นไปๆ ก็ยิ่งรู้กว้างลึกเต็มรอบทั่วตลอดจนครบถ้วนบริบูรณ์ทั้งหมด เรียกว่าเข้าถึงธรรมเลยทีเดียว
เมื่อเจตนาดีอยู่แล้ว มามีปัญญารู้เหตุปัจจัยทั่วรอบถึงตลอด ปัญญาก็บอกให้ว่า จะต้องทำอะไรๆ แล้วเจตนาก็ทำเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดผลดีอย่างนั้น ก็ใช้สมมติในระบบของวินัยนั่นแหละปฏิบัติการให้การทำเหตุปัจจัยดำเนินไป จนเกิดผลที่ว่าจะให้สังคมดีมีธรรม
ยิ่งกว่านั้น อย่างที่ว่า เมื่อมีเจตนาที่ดีบริสุทธิ์แล้ว ทีนี้ ปัญญาที่ทั่วชัดก็บอกปัจจัยต่างๆ ให้เห็นชัดไปทั่ว แล้วเจตนาในทางวินัยก็จัดตั้งวางลำดับการทำเหตุปัจจัยเหล่านั้นๆ ไว้ เป็นแบบแผน เป็นกฎระเบียบ ให้ทำกันไปได้เรื่อยๆ แม้แต่คนที่ไม่ค่อยจะดี ไม่ค่อยจะมีปัญญา ก็ใช้ระบบสมมติของวินัยเอาไปปฏิบัติ ให้เกิดผลอย่างที่ผู้มีปัญญาจัดตั้งวางไว้ ตอนนี้ กระบวนเหตุปัจจัยของธรรมก็มาเป็นบัญญัติในระบบของวินัย ให้ทำเหตุปัจจัย (ที่ดีๆ) เหล่านั้นกันไปได้อย่างกว้างขวางและยั่งยืนนาน
ถึงตอนนี้ก็มาบรรจบคำบอกข้างต้น ที่ว่า คนทำกรรมชั่ว ฝ่ายธรรมว่ามีกฎธรรมชาติเป็นกฎแห่งกรรม เขาจะได้รับผลตามกรรมของเขา แต่วินัยไม่รอ วินัยที่เป็นกฎมนุษย์ จึงตั้งกรรมสมมติขึ้นมา และนำ ผู้กระทำความผิดเข้ามาในกลางที่ประชุม และลงโทษ วินัยไม่รอธรรม จึงไม่รอกรรมตามธรรมชาติ วินัยจัดการทันที ด้วยกรรมสมมติ โดยใช้กฎมนุษย์ คำที่ว่านี้ ถึงตอนนี้ก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว
ดังเช่นว่า ถ้าพระเกิดทะเลาะกันขึ้นก็มีวิธีระงับอธิกรณ์ คือ ดำเนินคดี เพื่อตัดสินความผิดและลงโทษกัน โดยที่ประชุมสงฆ์ทำกรรมที่บัญญัติจัดวางไว้ เอามาทำให้เสร็จสิ้นไป ไม่ให้ต้องรออยู่อย่างนั้น
ถ้ามีคดีเกิดขึ้นแต่ไม่ดำเนินการ ก็เอาผิดกับพระที่ไม่ดำเนินการอีก จะไปอ้างว่า รอให้กรรมจัดการ พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต วินัยไม่ให้รอ เพราะวินัยก็มีกรรม ที่จะนำมาใช้จัดการได้ทันที (ดูเรื่องสังฆกรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงนิคคหกรรมจำนวนมาก ในพระวินัยปิฎก)
เป็นอันว่า มีหลักที่เป็นระบบใหญ่ 2 อย่าง คือ ธรรม กับ วินัย ในเรื่องของสังคม ถ้าผิด วินัยจัดการทันที หมายความว่า วินัยมีวิธีจัดตั้งสมมติและดำเนินการตามสมมติ เพื่อให้ธรรมสำเร็จเป็นผลในสังคม มิฉะนั้น ในที่สุดถ้าเราไม่เอาใจใส่ การปฏิบัติตามธรรมก็จะคลาดเคลื่อนไป และสังคมก็จะคลาดจากธรรม
อย่างไรก็ตาม จะต้องทำความเข้าใจลึกลงไปอีกขั้นหนึ่ง กล่าวคือ แท้จริงนั้น ที่พูดว่า "วินัยไม่รอธรรม" เช่น เมื่อมีภิกษุทำความผิด วินัยและสงฆ์จะไม่รอให้กรรมแท้ตามกฎธรรมชาติแสดงผล แต่สงฆ์จะนำเอากรรมสมมติตามวินัยมาใช้จัดการกับภิกษุนั้นทันที การที่พูดอย่างนี้ นับว่าเป็นสำนวนพูดในระดับหนึ่ง
หน้า 27
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์
สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ
Create Date : 01 เมษายน 2558 |
Last Update : 1 เมษายน 2558 10:09:21 น. |
|
0 comments
|
Counter : 348 Pageviews. |
|
|