การให้ผลของกรรม (30) - พระพรหมคุณาภรณ์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
ขอให้ดูง่ายๆ คนมีการเคลื่อนไหวชนิดที่ไม่เป็นไปเพียงเรื่อยๆ ลอยๆ ไม่เหมือนอย่างกิ่งไม้ใบไม้ที่ถูกลมพัด ก็สั่นไหวแกว่งไกวไปมา ตามลมตามแรงอื่นข้างนอก ไม่ใช่อยู่ๆ ก็แกว่งขึ้นมาเอง แต่คนสั่นขาแกว่งแขนเองได้ หรืออย่างว่า เมื่อชายคนหนึ่งเดินมา พอดีจังหวะกิ่งไม้ผุร่วงหล่นลงมาถูกศีรษะแตกบาดเจ็บ นี่ก็ไม่เหมือนกับมีคนอีกคนหนึ่งหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาแล้วตีลงบนศีรษะของชายคนนั้น หรือแม้แต่ว่าคนผู้นั้นตกต้นไม้ลงมาทับศีรษะชายคนนั้นพอดี
อะไรเป็นความแตกต่างระหว่างใบไม้ร่วงหรือกิ่งไม้หล่นโดนศีรษะคนแตก กับคนที่แกว่งแขนไกวขา หรือหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาตีศีรษะคนอื่น ก็ตอบง่ายๆ ว่า กิ่งไม้ใบไม้ไม่มีการกระทำ แต่คนมีการกระทำ
แล้วถามลึกลงไปอีกว่า คนต่างจากกิ่งไม้ใบหญ้าและบรรดาธรรมชาติอย่างอื่น ตรงที่มีการกระทำนั้น การกระทำของคนคืออะไร เกิดขึ้นเป็นมาอย่างไร ถ้าตอบอย่างชาวบ้าน ก็บอกว่าเพราะคนมีจิตมีใจ ไม่ใช่เป็นแค่อิฐแค่ปูน แต่นี่ก็ตอบกว้างเกินไป ถ้าตอบให้ตรงจุดเลย ก็บอกว่า เพราะคนมี "เจตนา" และการกระทำ คือกรรมของเขา ก็เกิดจากเจตนา หรือเจตนานั่นแหละเป็นการกระทำ เป็นกรรม เป็นตัวกระทำ
เจตนา คือ เจตจำนง ความจำนงจงใจ ความตั้งใจ การเจาะจงเลือกว่าจะเอา หรือไม่เอา จะเอาอันไหน จะเอาจะทำอย่างไร เป็นตัวหัวหน้านำแสดง ที่พาแรงจูงใจ ความดีความชั่ว โลภะ โทสะ โมหะ หรือตัณหา มานะ ทิฏฐิ หรือที่ตรงข้าม เช่น เมตตาและปัญญา ออกโรงมาแสดงตัวทำการต่างๆ ทั้งหลาย
เรื่องของคน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์ ตั้งแต่การตั้งสมมติ การวางกฎกติกา การบัญญัติ การจัดสรร การแต่งเรื่องราว กิจการงานอาชีพ การบ้านการเมือง เทคโนโลยี วัฒนธรรม อารยธรรม เกิดจากการกระทำของคน มีเจตนาเป็นตัวกำหนดจัดสรรบันดาลให้เป็นไป
คนเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง และเป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งในระบบแห่งเหตุปัจจัยของธรรมชาติ เจตนาในตัวคนนั้น ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่อยู่ในระบบเหตุปัจจัยของธรรมชาตินั้น แต่ในบรรดาองค์ประกอบ อะไรๆ มากมายในตัวคนนั้น เจตนาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เท่ากับเป็นตัวแทนของคนทั้งหมด เป็นที่หรือเป็นช่องทางแสดงตัวของคน โดยออกมาเป็นการกระทำ เริ่มแต่คิด แล้วก็พูด หรือลงมือลงเท้าทำ
ทีนี้ ในฐานะที่เป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งในกระบวนการของธรรมชาตินั้น เจตนาเป็นตัวแปรเจ้าใหญ่ ที่พลิกผันเปลี่ยน แปรความเป็นไปให้ปรากฏเป็นไปได้ในลักษณะและอาการต่างๆ หลากหลายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนกลายเป็นแดนใหญ่ในระบบเหตุปัจจัยนั้น อันควรใส่ใจพิจารณาศึกษาหรือจับตามองเป็นพิเศษ จึงจัดแยกออกมาเป็นกฎธรรมชาติส่วนย่อยอันหนึ่ง ดังที่เรียกว่ากรรมนิยาม หรือกฎแห่งกรรม ที่ได้แสดงหลักให้ดูแล้ว ข้างต้น
เป็นอันว่า โลกมนุษย์หรือสังคมนี้ เป็นแดนของกรรมนิยาม และเจตนานั่นแหละเป็นตัวทำกรรม หรือพูดสั้นๆ ว่า เจตนาเป็นกรรม หรือกรรมก็คือเจตนา อยู่ที่เจตนา
เมื่อวินัยจัดการในระบบแห่งสมมติของสังคมนั้น ก็จัดไปตามเจตนา หรือจัดด้วยเจตนานั่นเอง และไม่ว่าจะปฏิบัติจัดทำอะไร ทุกอย่างนั้น ก็เกิดจากเจตนา และ ถึงแม้จะเป็นเรื่องของสังคม แต่ในที่สุด ก็เป็นอันเข้าไปเป็นเหตุปัจจัยร่วมอยู่ในกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยของธรรมชาติ ไม่หายไปไหน
ทีนี้ มนุษย์ที่ดีมีปัญญา เมื่อใช้วินัยจัดการสมมติในสังคมนั้น ก็ต้องการให้สังคมดี คือให้มนุษย์ที่อยู่รวมกันนั้นอยู่ดีทำดีมีความเรียบร้อยสงบสุข คือให้เป็นสังคมที่ดำเนินไปถูกต้องตามธรรม พูดสั้นๆ ว่า ให้เป็นสังคมที่มีธรรม
ถึงตอนนี้ มนุษย์ที่ดีมีปัญญาดังว่านั้น ก็เอาวินัยมาจัดระบบสมมติของตัว ให้ประสานบรรจบกับระบบแห่งธรรมของธรรมชาติ ในทางที่จะเกิดเป็นผลดีที่ต้องการแก่คนหรือแก่สังคมมนุษย์นั้น
พูดง่ายๆ นี่ก็คือรู้จักจัดการเหตุปัจจัยให้ดีได้อย่างฉลาดนั่นเอง พูดอีกนัยว่าเข้าถึงเหตุปัจจัยซ้อน 2 ชั้น
ตอนนี้ พูดสั้นๆ ก็คือ คนมีเจตนาที่ดี หรือเจตนาเป็นกุศลแล้ว นี่ก็คือเขาทำกรรมดีอย่างหนึ่งนั่นเอง แต่ทำอย่างไรจึงจะเกิดผลสำเร็จตามเจตนาที่ดีนั้นได้ คือจะทำอะไรให้เหตุปัจจัยในกระบวนการของธรรมชาติ ในระบบของธรรมนั้น ดำเนินไปจนให้เกิดผลดีที่ตนต้องการ ก็ตอบง่ายๆ ว่า ต้องรู้เหตุปัจจัยที่จะให้เกิดผลอย่างนั้น แล้วก็ทำเหตุปัจจัยนั้นๆ
หน้า 27
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์
สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ
Create Date : 30 กรกฎาคม 2557 |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2557 10:08:01 น. |
|
0 comments
|
Counter : 758 Pageviews. |
|
|