การพักผ่อนของเราคือจะมีช่วงหนึ่งคือการได้ออกเดินทางค่ะ ไปไหนแบบไม่ใกล้ไม่ไกลมาก
ประเด็นคือ แค่หาที่กินอร่อยๆ ที่นอนดีดี และที่เที่ยวระหว่างทางขากลับแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ไม่ต้องรีบนอนเพื่อตื่นเช้าๆ ไม่ต้องเร่งรีบอะไรทั้งสิ้น เพราะนี่แหละเป็นแบบฉบับของการพักผ่อนที่เราชอบนะ
อย่างน้อยก็ทำให้เราได้กินอิ่ม และนอนหลับสบายๆ ในที่นั้นๆ ด้วย
วันนี้เราจึงเลือกไปพักผ่อนกันที่ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเคยขับรถผ่านหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้แวะพักเลย
รู้สึกว่า จังหวัดนี้ คนไม่พลุกพล่าน คนไม่เยอะ ที่สำคัญ รถไม่ติดด้วย
ที่พักของเราในทริปนี้ เราเลือกพักกันที่นี่
โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี
ที่อยู่ภายใต้แบรนด์แคนทารี คอลเลคชั่น บริหารงานโดยเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
มาพักผ่อนที่นี่สักคืนหนึ่งกำลังดี ขับรถไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ด้วย ราวๆ 2 ชั่วโมง
ไปค่ะ ไปพักผ่อนกับเรากันเหอะ ...
กว่าเราจะเดินทางออกจากบางนาได้ก็เลทมากมาย เกือบสายโด่งโน่น ไม่เป็นไรค่ะ คำว่ากะไปพักผ่อนนี่แหละทำให้เราไม่รีบร้อนมาก
ไปได้เรื่อยๆ ขับรถตามเส้นบูรพาวิถี ตัดเข้าฉะเชิงเทราแล้วเลี้ยวขวายิงยาวๆ ไปจังหวัดปราจีน มาถึงได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี
หาที่กินกันก่อน เราแวะมาที่ Café Kantary ชื่อแบรนด์นี้เราไปชิมมาหลายสาขาและสามารถการันตีให้ได้ว่า ขนมอร่อยมาก
ติดใจสุดๆ วันนี้เรามาแวะกันที่สาขา 304 ปราจีนบุรี ซึ่งอยู่ด้านหน้าโรงแรมแคนทารี 304 ปราจีนบุรี
แต่เป็นคนละที่กับโรงแรมที่เราจะได้ไปพักนะคะ (ปราจีนมี แคนทารี 2 แห่งค่ะ)
ว่ากันว่า Café Kantary สาขา 304 ปราจีนฯ เป็นคาเฟ่ในเครือแคนทารีทีสวยที่สุด!!
ภายในคาเฟ่ แคนทารี 304 จะมีสิ่งที่โดดเด่นแตกต่างจากสาขาอื่นๆ นั่นคือ มีภาพวาดของ หนูน้อยสามตานามว่า"มาร์ดี"
โดยฝีมือ Alex Face ศิลปิน กราฟิตี้ ชื่อดังของเมืองไทยมาวาดทั้งชั้น 1 และ 2
โดยชั้นสองจะวาดตัวใหญ่ๆ กลางห้องโดยไม่มีโต๊ะใดๆ ไปกั้น เพื่อที่ให้ลูกค้าไปแอคติ้งถ่ายรูปกันได้อย่างอิสระ
ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกนะว่า เด็กน้อยสามตานี่คือใคร และ Alex Face เนี่ยคือใคร แต่ภาพเด็กน้อยสามตา
เราเคยเห็นตามในอินเตอร์เน็ตมาเยอะเหมือนกัน หลายแห่ง เพิ่งมาได้เห็นของจริง
และได้รู้ชื่อ รวมทั้งคนวาดจาก คาเฟ่ แคนทารี 304 แห่งนี้แหละค่ะ อิอิ
ภายในคาเฟ่มี 2 ชั้น บนล่าง ด้านล่างรับออเดอร์ มีขายของที่ระลึกเยอะมาก
ด้านบนจะมีที่นั่งชิลๆ เยอะเช่นกัน เราเลือกมานั่งด้านบนค่ะ สาขานี้มีห้องน้ำสะอาดๆ ให้ด้วยนะเออ สะดวกเลยนั่งนานได้
เราสั่งน้ำเสาวรสคั้นกากออกมาค่ะ เห็นที่นี่เค้ามีเมนูใหม่แปลกตาดี เลยสั่งมาลิ้มลองกันหน่อย
ตามด้วย Strawberry Waffle เมนูนี้เราโปรดปรานมากกกกกก
ติดใจมาหลายสาขาล่ะ มาที่นี่จึงไม่พลาดอีกเช่นเคย และก็ไม่ผิดหวังในรสชาติเช่นกันค่ะ
ตามด้วยข้าวกันเนอะ วันนี้ขอสั่งเป็น ข้าวไข่ข้นต้มยำกุ้ง และตามด้วย ข้าวหน้ากะเพราขาหมูเยอรมันทอด
อร่อยดีเหมือนกันได้เยอะมาก อิ่มถึงเย็นแน่นอน
เมื่อกินอิ่มอร่อยกันแล้วเราก็ไปต่อค่า ไปกันที่ โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี
ซึ่งห่างจาก Café Kantary สาขา 304 ปราจีนฯ ราวๆ 25 กิโลเมตรค่ะ
ขับรถเข้าไปเลยค่า
ลากกระเป๋าและตามไปเช็คอินกัน โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี มี 2 ตึกค่ะ ตัวอาคารสูง 12 ชั้น 1 อาคาร
และอาคารสูง 7 ชั้น 1 อาคาร มีห้องพักรวม 226 ห้อง
โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี ทำเลใจกลางกบินทร์บุรี ใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรมอย่างนิคมอุตสาหกรรม 304
นิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี และสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ใกล้กับสนามกอลฟ์ชั้นนำ 2 สนาม
คือ สนามกอล์ฟกบินทร์บุรีสปอร์ตคลับ สนามซึ่งยาวที่สุดในประเทศไทย และสนามฮิลล์ไซด์คันทรีโฮม กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท
วันที่เราไปเช็คอินนั้นเห็นมีถุงกอล์ฟวางเรียงกันเยอะมาก สอบถามพนักงานได้ความมาว่า
ลูกค้าเป็นชาวต่างชาติมาเล่นกอล์ฟกัน บางทีพักเป็นเดือนๆ ก็มีเยอะมากค่ะ
เมื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชอบเล่นกอล์ฟแล้ว พิกัดโรงแรมยังใกล้แหล่งนิคมอีกด้วย ทำให้มีชาวต่างชาติที่ทำงานในนิคม
มาเช่าพักกันเป็นรายเดือน รายปี ก็เยอะเหมือนกันนะคะที่นี่ เรียกว่า ตอบโจทย์ทางการตลาดได้เป็นอย่างดี
ข้อมูลโรงแรม
Kantary Hotel and Serviced Apartments, Kabinburi
349 หมู่ 8 เมืองเก่า กบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี 25240
โทรศัพท์: (66) 0-3728 - 2699, 0-3720-3193
แฟกซ์: (66) 0-3728 - 2655, 0-3720-3224
ภายในโรงแรมมีห้อง Executive Lounge ด้วยซึ่งเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของโรงแรมในเครือแคนทารี
ที่ให้ลูกค้าที่เข้าพักมานั่งพักผ่อนได้ฟรีๆ มีขนมและเครื่องดื่มให้ฟรีๆ ด้วยเช่นกัน
ณ เวลานี้กินอิ่มๆ มาแล้วง่วงนอน เข้าห้องไปพักผ่อนกันค่า
เห็นฟ้าขาวๆ ตอนมาแล้วเนี่ย อากาศก็น่านอนเหมือนกันนะเออ
มุมครัวมีโต๊ะทานข้าวด้วย อุปกรณ์เครื่องครัว แบบครัวเบาๆ ครบครัน มีเครื่องซักผ้าอีกด้วย
แบบนี้แหละเราชอบมาก แต่ก็ไม่เคยได้ซักเลยเช่นกัน 555
ถัดไปเป็นพื้นที่นั่งเล่น ห้อง Type นี้จะมีทีวีให้ 2 เครื่องที่ห้องน้่งเล่น และห้องนอนค่ะ
มีโต๊ะทำงานให้อีกด้วย แต่เรามาพักที่นี่ก็ไม่ได้ใช้เช่นกัน มาทีไร กะนอนยาวตลอด
สำหรับห้องพัก โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี มีทั้งหมด 3 แบบ
ได้แก่ Studio Suite , One Bedroom Suite และ Two Bedroom Suite
แต่ละแบบจะแตกต่างกันในเรื่องของขนาดห้อง จำนวนห้องนอน และเครื่องอำนวยความสะดวกภายในห้องค่ะ
เราพักแบบ One Bedroom Suite ค่ะ ที่แยกสัดส่วนห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องครัวออกอย่างชัดเจน
เปิดระเบียงไปจะเจอทุ่งหญ้า ป่าเขา และเรา!! เห้ยใม่ใช่ๆ เห็นสันเขามาแต่ไกล
และภายในห้องน้ำก็สะดวกมีสายชำระด้วย พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
ตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทั้งลูกค้าที่พักประจำ และพักรายวัน
ไม่ต้องถามกันล่ะว่า มีสายชำระหรือเปล่า อิอิ
มากันต่อที่พื้นที่ส่วนกลางของ โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี กันบ้างนะ
แสงเย็นกำลังลงพอดี เราพาไปที่่ห้องฟิตเนสค่ะ มีเทรนเนอร์คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
พร้อมอุปกรณ์การเล่นกีฬาภายในห้องแอร์ เรามาที่นี่เอาชุดออกกำลังกายมาด้วยเหมือนกันนะคะ
แต่ก็นอนแช่อยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิมจนได้
ทีเด็ด และเด็ดสุดที่ชื่นชอบมากกกของ โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี คือสระน้ำจากุชชี่นี่ไง
ล้ำมาก กะแช่ออนเซ็นอยู่ในร่มด้วย เหมือนพื้นที่ส่วนตัวสุดๆ
หากได้แช่ลงไปทั้งตัวแบบนี้คงฟินสุดๆ ไปเลยนะว่ามั้ยๆ
สระใหญ่กลางแจ้งเขาก็มีนะคะ มีลูกค้ามาใช้บริการบ้างประปราย
คนไม่เยอะด้วย แลดูสงบดีค่ะโรงแรมนี้
มื้อเย็นเราก็ไม่ได้ออกจากนอกตัวโรงแรมไปไหนกัน เราฝากท้องกันที่ห้องอาหารโรงแรมเลยดีกว่า
ที่นี่ ห้องอาหาร แคลิฟอร์เนีย สเต็ก ซึ่งจะเป็นห้องอาหารเดียวในโรงแรม ที่เป็นทั้ง อาหารเช้า กลางวัน และเย็นนะคะ
ห้องอาหารมี 2 ชั้น เราสอบถามจากพนักงานว่าถ้ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเยอะๆ ก็จะเปิดโซนชั้นสองค่ะ
ณ เวลานี้ยังรองรับลูกค้าในชั้นแรก เพราะสะดวก และใกล้ไลน์อาหารมากที่สุด
ห้องอาหาร แคลิฟอร์เนีย สเต็ก ส่วนใหญ่จะเน้นอาหารอิตาเลียน ญี่ปุ่น แลุะไทยบ้าง
Dinner มื้อนี้เราจึงได้ลิ้มรสชาติอาหารหลากหลายทั้งสเต็กหมู แกะ สลัดผักชามโต
ขนมปังกระเทียมและหอยนิวซีแลนด์ยักษ์ใหญ่แบบปรุงรสมาพร้อมทานได้ทันที
เราไม่ค่อยคุ้นอาหารแนวนี้เท่าไหร่นักค่ะ แต่ก็ทานได้นะคะไม่ถึงกับว้าวมาก
หรือว่าปากเราไม่ถึงก็ว่าได้อ่ะ แฮ่
แต่สิ่งที่ชอบคือ ภาชนะที่ใส่และการนำเสนอของเมนูเด็ดนี่สิ!!
มีควันเย็นๆ พวยพุ่งมาด้วย เรียกรอยยิ้มของเราพร้อมตาโตขึ้นมาทันที แบบว่า ว้าวๆ เพิ่งเคยเห็นแบบนี้
555 ชอบสไตล์การนำเสนอจริงๆค่า อดถ่ายคลิปตอนควันพวยพุ่งออกมาเลย เก๋ไก๋ดีค่า ชอบๆ
ตัดฉับมายัง ห้องอาหาร แคลิฟอร์เนีย สเต็ก ในตอนเช้าเลยนะคะ
และเกือบสายมากๆ ด้วยล่ะ เพราะทริปนี้เป็นทริปพักผ่อนเรากว่าจะลงมาก็เกือบ 10 โมงเช้าแหน่ะ อิอิ ห้องอาหารก็ยังเปิดบริการอยู่จ้า
ราคาห้องพักที่ โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี เริ่มต้นห้องละ 2,000 บาทค่ะ รวมอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย
เจาะกลุ่มลูกค้าอีกกลุ่มคือ กลุ่มสัมมนา เหมาะเหมือนกันนะคะถ้ามาใช้บริการที่นี่ทำกิจกรรมต่างๆ
ส่วนอาหารเช้าที่นี่จะเป็นมาตรฐานโรงแรมทั่วไปค่ะ
เป็นอาหารนานาชาติ ญี่ปุ่น เกาหลีไทยได้หมด มีเติมตลอด ฝากท้องมื้อเช้าไว้ที่นี่ก่อนแล้วค่อยไปต่อ
ออกมาเดินเล่นกันสักพักใต้ต้นไม้ทางเข้าไปยัง โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี จะเป็นซุ้มต้นไม้เหมือนอุโมงค์ด้วย
แลดูร่มรื่นๆ สมแล้วค่ะที่มาที่นี่เลือกพักผ่อนที่นี่ สงบและคนไม่พลุกพล่าน ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีจริงๆ
ขากลับออกมาจาก โรงแรมแคนทารี กบินทร์บุรี มีแวะกันต่อค่ะ
คือแวะเที่ยวด้วยทางผ่านพอดี ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เราเลือกไปที่นี่ๆ วัดปากน้ำโจ้โล้ หรือที่เรียกชื่อคุ้นเคยว่า อุโบสถสีทอง นั่นเอง
เรามาเยือนวัดแห่งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว
ถ้าถามว่าครั้งแรกและครั้งที่สองห่างกันราวๆ 4-5 ปีมีความแตกต่างกันหรือไม่ ถ้าเป็นตัววัดสีทองยังเหมือนเดิมมีการสร้างพระพุทธรูปสีทองเพิ่มขึ้น
และมีการจัดระบบที่จอดรถได้ดีกว่าเดิมเยอะมากมาย ที่เห็นได้ชัดคือมีร้านค้าของกิน อาหารมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวกันมากขึ้น วันที่เรามาเป็นวันอาทิตย์ด้วยค่ะ
วัดปากน้ำโจ้โล้ ตั้งอยู่ อ. บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ชมพระอุโบสถหนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่ทาสีทองทั้งหลัง
ภายนอกวัดมีเรือโบราณในสมัยก่อนที่อยู่ในยุค สมเด็จพระจ้าตากสิน โชว์ไว้อีกด้วย
นอกจากนี้ภายในอุโบสถยังสามารถลอดใต้ฐานพระประธานเพื่อความเป็นสิริมงคล
แต่เดิม วัดปากน้ำโจ้โล้เป็นสำนักสงฆ์ ปัจจุบันได้มีการสร้าง อุโบสถหลังใหม่เป็นสีทองทั้งหลังแทนค่ะ
ออกมาจากวัดปากน้ำโจ้โล้แล้วเราก็ไปกันต่อ แต่เดี๋ยวนะ ผลไม้ที่ขึ้นชื่อของชาวบางคล้า ณ ช่วงที่เราไป
คือมะม่วงเขียวเสวยค่ะ มันมาก อร่อยลูกใหญ่ด้วย ช่วงที่ไปเป็นช่วงเทศกาลมะม่วงของดีบางคล้าด้วยสิ มีเหรอจะไม่แวะซื้อติดรถกลับ อิอิ
โบสถ์สเตนเลส วัดหัวสวน ตั้งอยู่อำเภอบางคล้าเช่นเดียวกัน
รู้สึกว่าอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทราจะมีการก่อสร้างขึ้นใหม่ๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวกันได้มากขึ้นนะคะ
รวมทั้งที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่ที่นี่เราก็ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นักค่ะ
เวลานั้น อากาศร้อนมาก ตัวโบสถ์สแตนเลสสะท้อนเข้าตาเต็มๆ อีกต่างหาก 555
ยังไม่พอๆ พื้นหญ้าเทียมที่ปูรอบๆ ตัวโบสถ์นั้นเวลาแสงแดดสาดส่องมาเราต้องถอดรองเท้าขึ้นไปเหยียบ
จะร้อนแบบสุดๆ ไปเลย หินอ่อนเราว่ายังร้อนไม่เท่าพื้นหญ้าเทียมเลยนะ
รวมทั้งคำสอนที่พิมพ์และเขียนตามรอบๆศาลา และทางเดินต่างๆ ค่อนข้างเป็นคำด่าเสียดสีแบบแรงๆค่ะ
เราจึงไม่ค่อยชอบเป็นการส่วนตัวเท่าไหร่นักกับสถานที่ที่เรียกว่าวัดแห่งนี้ ส่วนพื้นที่อื่นๆ ไม่เป็นปัญหาสำหรับเราค่ะ
การสร้างอุโบสถสแตนเลส มาจากความคิดของพระครูภาวนาจริยกุลท่านเจ้าอาวาสวัด ที่เห็นว่าโบสถ์ หลังเก่ามีความชำรุดทรุดโทรมมากแล้ว
อยากจะสร้างขึ้น มาใหม่ให้คงอยู่ยาวนาน จากการศึกษาพบว่าสแตนเลส เป็นวัสดุที่สามารถอยู่ได้เป็นพันปี ในขณะที่ปูนจะมีอายุอยู่เป็นร้อยปี
ท่านจึงตัดสินใจออกแบบโบสถ์สแตนเลส ขึ้นมา
นับว่าเป็นอีกทริปบ่นๆ เอ้ย ทริปพักผ่อนใกล้กรุง ที่ขับรถไม่เหนื่อยมาก ได้กิน ได้เที่ยว ได้พักผ่อนสมใจ
เผื่อใครอยากตามรอยไปยัง กบินทร์บุรี กันนะคะ เมืองนี้เงียบสงบดีค่า
โรงแรมน่ารักดีนะคะ..
ชอบสระจากูซี่..ใหญ่ดี..
โหวตให้เลยคะ