และขอขอบคุณ ทกๆ คะแนนโหวตที่มอบให้ กับสายสะพายสองเส้นนี้ อีกครั้งหนึ่ง
ปีนี้ยังคงเดิมค่ะที่ยังไม่ห่างหายไปไหน จะยังคงอัพบล็อกให้ชมกันอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่รอคิวออกมาอัพ แต่บางเรื่องก็เก่าตามเวลา
ก็ถึงคราวที่อาจต้องพับบางโครงการเก็บไว้ในลิ้นชักกันไปก่อน
รอๆ ว่าเมื่อไหร่จะว่างก็เอามาอัพคั่นเวลากันดีกว่านะคะ
ระหว่างที่เดินทางไปนั่นไปนี่ เราก็มักที่จะมีจุดแวะเสมอๆ
เพราะเคยบอกกับตัวเองว่า เวลาออกเที่ยวก็ต้องเที่ยวให้คุ้ม
แต่พอมาตอนนี้ การที่เที่ยวคุ้มๆ อย่างที่คิดไว้นั้นก็เหนื่อยเอาการเหมือนกัน 555
วาบมายังที่นี่เลยค่ะ ... เชียงใหม่... ฮ่ะ อะไรจะมาบ่อยเยี่ยงนี้ จริงๆ จะบอกว่า จุดชมวิวเชียงใหม่จุดนี้เราก็ผ่านและแวะบ่อยนะคะ แต่ไม่เคยเอามาลงเลย ซะงั้นนี้ เราเรียกจุดชมวิวนี้ว่า จุดชมวิวทางขึ้นดอยสุเทพค่ะ
เป็นจุดแวะระหว่างทางขึ้นไปพระธาตุดอยสุเทพ ถนนโค้งๆ หักเลี้ยวแล้วจอดเลย
ครั้งหนึ่งเรามาช่วงหน้าฝนหมอกขมุกขมัว และอีกครั้งหนึ่งเราก็มาช่วงหน้าฝนเหมือนกัน
ต่างกันต่างเวลา เฆฆก็ยังเยอะเหมือนเดิม แต่ครั้งหลังๆ รู้สึกว่าฟ้าจะโอกว่าเลยได้ภาพนี้มาลงไว้ ^^
ภายในศาลาแวะพักจะมีของที่ระลึกขายนะคะ ส่วนใหญ่ที่เห็นคือเป็นเครื่องประดับจากชาวเขาเผ่าต่างๆ ของเชียงใหม่ ราคาไม่แพง เรียกว่าเป็นราคาที่ซื้อได้ง่ายมากๆ อย่างเช่นสร้อยข้อมือลูกปัด เส้นละ 10 บาทก็ยังมีขาย ส่วนใหญ่เราก็ชอบซื้อนะ
แต่ซื้อแล้วมาเก็บอย่างเดียวนี่สิ ไม่ได้ใส่เล้ย
อีกมุมที่เราอดจะเก็บภาพมาฝากไม่ได้นั่นคือ ศิลปินที่เค้ามาวาดภาพเหมือนที่นี่
ชอบดูอะไรที่เราไม่ถนัดตามเคย ดูและได้ชื่นชมห่างๆ ก็พอใจแล้ว
เพราะความสุขของเรา ไม่เท่ากัน ^^
มาถึงล่ะ เซลฟี่กันหน่อยน้าาาา อ่าว ใครไม่รู้อะ แอบถ่ายเค้ามา เก็บภาพเป็นที่ระลึก สูดอากาศบริสุทธิ์บนดอยกันมั่ง สดใสๆ ดีเหมือนกันนะเออ
หลังจากมองดูเบื้องล่าง นี่คือเชียงใหม่นะ ไม่ใช่ กทม. ถ้า กทม.มองลงมาจะเห็นแต่ตึกสูงกว่านี้มาก และสีเขียวๆ ก็จะน้อยกว่านี้
โอเค เดินทางต่อไปได้ อ้อ จุดแวะพักนี้ มีมะพร้าวเผาอร่อยอยู่เจ้าหนึ่งด้วยค่ะ ยังติดใจ คิดถึงมะพร้าวเผาเจ้านั้นอยู่เลย อิอิ
เนื่องจากเป็นวันหยุดช่วงเทศกาลทางศาสนา เราจึงขึ้นมาต่อยังที่นี่
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
มาถึงแล้ว ขอเลือกขึ้นรถรางค่ะเราแก่แล้วขี้เกียจเดิน อิอิ คนละ 10 บาทค่ะ
เราเอารถจอดไว้ที่ลานจอดรถฝั่งซ้ายมือของทางขึ้นดอยสุเทพ ซึ่งเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก จอดฟรี ฝั่งนี้ของกินเพียบด้วยนะคะ อิอิ
ว่าแล้วก็ขึ้นรถรางขึ้นไปไหว้พระด้วยกันดีกว่าค่า
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดราชวรวิหารค่ะ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพ ซึ่งเป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ เพราะเป็นหนึ่งในคำขวัญของจังหวัดเชียงใหม่ด้วย (ดอยสุเทพเป็นศรี. ประเพณีเป็นสง่า. บุปผชาติล้วนงานตา. นามล้ำค่า นครพิงค์)
วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ก่อสร้างตามแบบศิลปะล้านนา มีเจดีย์ทรงเชียงแสน ฐานสูงย่อมุมระฆังทรงแปดเหลี่ยมปิดด้วยทองจังโก 2 ชั้น
(ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
พระธาตุดอยสุเทพ สีทองอร่ามงามสดใส
ซึ่งวันที่เราไป คนจะเยอะมากเป็นพิเศษเลยค่ะ
จึงต้องแพนกล้องหามุม เน้นข้างบนเกือบตลอด
เอ๊ะ ท้องฟ้าที่มีเฆฆแจมๆ ด้วยเราเห็นว่าสวยไปอีกแบบหนึ่งนะคะ เราไปค้นหาบทความเกี่ยวกับพระธาตุดอยสุเทพ จากในเน็ตเห็นว่ามี 10 ข้อควรรู้เมื่อมาชมที่นี่ด้วยนะคะ ก็อปมาข้อหนึ่งจากเวปสนุก นั่นคือ
...ห้ามสตรีเข้าใกล้องค์พระธาตุ เพราะคติทางพุทธศาสนาถือว่าสตรีผู้มีรอบเดือนนั้นเป็นสิ่งสกปรก คตินี้สืบมาตั้งแต่ครั้งที่พุทธศาสนาเข้ามาในดินแดนแถบนี้เมื่อพันปีก่อน ด้วยลักษณะความเชื่อของพุทธศาสนาที่ค่อยข้างกีดกันผู้หญิงเข้าถึงศาสนา ปัจจุบันวัดทางภาคเหนือส่วนใหญ่เคร่งครัดกฎข้อนี้มาก
จริงๆ จะเห็นว่า สตรีสมัยนี้ที่มาเที่ยวสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะวัดหรือสถานที่ทางธรรมชาติจะนุ่งสั้นกันนะคะ
ทางวัดเค้าเลยมีผ้าพันแข้งพันขา หรือให้นุ่งซิ่นก่อนเข้าชมสถานที่ ซึ่งเป็นการให้เกียรติของสถานที่นั้นๆ
ส่วนเราเมื่อตั้งใจจะไปวัดอยู่แล้ว จะควรรู้เองดีกว่าใส่กางเกงขายาวไปนั่นแหละคล่องตัวที่ซูู๊ด..
วันที่สองที่เราได้ไปเที่ยวระหว่างอยู่เชียงใหม่ เราเลือกที่นี่ค่ะ ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่มอยู่อำเภอแม่ริม ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ราว 40 นาทีค่ะเราขับรถไปตามเคยไปด้วยกันเล้ยยยย
เดินขึ้นไปบนม่อนแจ่ม เห็นเด็กชาวเขาวิ่งมาต้อนรับเราล่ะ ใส่ชุดชาวเขาเก๋ดี เราเห็นมีโชว์ที่หุ่นด้วย เลยจัดมั่งๆ ค่าเช่าชุด 50 บาท ดีที่เราใส่กางเกงขาสั้นมาสวมทับทั้งเสื้อและกระโปรงง่ายหน่อย พอใส่แล้วถ่ายรูปมาดูรูปถ่ายก็ยังคิดๆ อยู่ว่า ลืมอะไรไปหรือเปล่า ลืมเครื่องประดับค่ะรอบนี้ 555 เครื่องประดับจำพวกสร้อยคอเก๋ๆ ไม่ได้เอามาให้เราใส่เล้ย >"<
ว่าแล้วก็เดินไปยลดงหมอกขาวๆ ในยามบ่ายเสียหน่อย
ย้ำว่า เวลาบ่ายโมงนะคะหมอกหนาแบบนี้แหละ โคตรฟินเลย และสิ่งที่เราจะเห็นอยู่ทั่วๆ ไปของม่อนแจ่มคือ ผักสลัดปลอดสารพิษค่ะ เก็บกันสดๆ เลย ร้านอาหารข้างบนคนมายลกันอย่างเยอะ
เห็นไหมคะว่า เจ้าถิ่นตามมาเทคแคร์ทุกย่างก้าวจริงๆ 555
เมื่อเราเดินไปที่ไหน น้องเค้าก็จะเดินตามไปด้วย นี่เลย สิ่งที่เค้าต้องการ ถ่ายรูปกันหน่อยดี้ๆ เค้าพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่นะคะ
ให้ค่าน้ำใจเค้าด้วยนะคะ รู้จักหาเงินกันตั้งแต่เด็กเล้ย อิอิ ไม่แค่นั้นนะคะ เนื่องจากในวันนั้นเราน่ะใส่ชุดม้งคนเดียวด้วย
จึงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาขอถ่ายรูปกับเราหลายคนเลย ราวกับเป็นซุปเปอร์สตาร์ยังไงยังงั้นเลยค่า เอิ๊กกกก อิอิ
ไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินะคะ เหมือนกับว่าเห็นของแปลกแหน่ะ อิอิ พอถ่ายรูปด้วยกันเสร็จ
นักท่องเที่ยวชูนิ้วโป้งแล้วบอกกับเราเลยว่า " So beautiful "
ม่อนแจ่ม มีอากาศเย็นสบายตลอดปีค่ะ อุณหูมิตอนบ่ายโมงที่เราไปเที่ยวช่วงฤดูฝนวันนั้น รู้สึกจะวัดได้ 17 องศาเรียกว่าเย็นสบายตัวมากๆ เลยล่ะค่า
ม่อนแจ่มจะมีหมอกยามเช้า สามารถมองเห็นวิวและทิวเขาสลับกันไป ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งสองข้างทางขึ้นม่อนแจ่มจะมีไร่สตอบอรี่ปลูกกันทั่วไป ถือเป็นจุดแวะอีกหนึ่งที่หลายคนมาเที่ยวกันเมื่อมาเชียงใหม่ ถนนหนทางขับรถมีคดเคี้ยวกันบ้าง แต่ก็เป็นถนนลาดยางสภาพดี รถเก๋งขึ้นมาได้สบายมากค่า
และก็มาถึงช่วงลอกคราบจากสาวม้ง
เอ้ยไม่ใช่ๆ
ช่วงเวลาที่ฟินที่สุดของเรา ณ ม่อนแจ่ม
เป็นอีกทริปที่เราได้มีโอกาสเลือกที่จะมาเชียงใหม่ ด้วยสายการบินใหม่ของอินโดนีเซีย Lion Air
ซึ่งตั๋วเครื่องบินนี่เป็นรางวัลที่เราได้รับจากการประกวดบล็อกจากเวป SkyScanner ค่ะและนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เราได้บินกับสายการบินนี้ด้วยนะคะ
และก็มีครั้งต่อมาอีกเรื่อยๆ ที่เราอยากบอกต่อแบบไม่ต้องโฆษณาไรมากมาย กับราคาที่อยากบอกว่า ใครๆ ก็บินได้นั้นถูกกว่า หางแดงด้วยนะคะ
อันนี้จริง คอนเฟริ์มให้เลยค่ะ
แต่งชุดม้งแล้วมีคนมาขอถ่ายรูป
น่าจะเก็บตังด้วยนะคะ 555 เลียนแบบน้อง ๆ เค้าไง
หรือไม่ก็ทำงานเป็นทีมเวิร์คไปเลย
มาลงชื่อไว้ก่อนนะคะ