...ซาบา...



ตามหลักคำสอนของอิสลาม มีคำๆหนึ่งที่ท่านศาสดาได้สอนไว้คือ "ซาบา" แปลว่าให้วางเฉยกับเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราไปเสีย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีมากมายเพียงใดก็ตาม

เด็กๆฉันไม่เคยรู้ซึ้งถึงคำๆนี้เท่าใดนัก ในบางครั้งยังคิดเลยว่าเราไปโรงเรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ทุกๆคืนก็ต้องไปอ่านหนังสือคัมภีร์อัลกุรอาน แล้วทำไมเสาร์อาทิตย์ต้องไปเรียนศาสนาอีก ในวัยเด็กเราก็อยากเล่นอยากสนุกมากกว่าต้องอยู่กับหนังสือหนังหาตลอดเวลา ( ถึงแม้ว่าฉันในสมัยเด็กจะเรียนเก่งมากได้ที่1ทุกปีก็ตาม แต่ก็อยากเล่นสนุกอยู่ดี)

จนวันนี้เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมันทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าการที่ฉันต้องเรียนหนังสือมาทั้งด้านศาสนาและสามัญทำให้ฉันได้คิดอะไรต่างๆได้มากขึ้น

สมัยเด็กๆอายุ5-6ขวบ ฐานะที่บ้านฉันถือว่ายากจน บางวันแม่ต้องไปเชื่อร้านค้าไว้เพื่อซื้อข้าวสาร คนในหมู่บ้านที่มีฐานะดีกว่าหน่อยก็มองอย่างดูแคลน ครั้งหนึ่งฉันยังจดจำได้ดี หลังจากที่แม่คล้อยหลังออกจากร้านค้าไปไม่นานเจ้าของร้านก็เอ่ยขึ้น" มาทีไรหิ้วของกลับไปสองมือแต่เงินจ่ายให้ไม่เคยครบ" ตอนนั้นฉันอายุแค่6ขวบยังไม่เข้าเรียนด้วยซ้ำไปแต่ทุกประโยคที่แม่ค้าคนนั้นกล่าวมันทำให้ฉันรู้สึกวาบยังไงก็ไม่รู้ ฉันกลับออกจากร้านไปทันที และไม่เคยไปที่ร้านค้าแห่งนั้นอีกเลย พร้อมกันนั้นฉันก็คิดเสมอมาว่า"วันหนึ่งคนที่ดูถูกแม่ของฉันจะรู้สึก ฉันจะทำให้เค้าดูถูกแม่ฉันไม่ได้อีก ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาว่าแม่ฉันว่าไม่มีเงินอีกต่อไป"

หลังจากนั้นไปไม่นานฉันเล่าให้แม่ของฉันฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม่ฉันบอกว่า ไม่ต้องไปใส่ใจเค้าหรอก ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขา ฉันรับฟังแต่โดยดี แต่ในใจไม่ได้ดีด้วยหรอกตอนนั้นฉันยังยึดมั่นว่าใครจะมาว่าดูถูกแม่ฉันไม่ได้

จวบจนฉันเรียนจบได้กลับมาทำงานแถวบ้าน เป็นโรงงานรับซื้อน้ำยางพาราซึ่งเจ้าของเป็นสจ.ในตัวอำเภอ ที่สำคัญแม่ค้าคนที่เคยว่าดูถูกแม่ของฉันก็ขายข้าวแกงอยู่ข้างๆโรงงานภายในที่ดินของเจ้าของโรงงาน

ที่โรงงานพนักงานทุกคนจะทานข้าวที่ร้านนี้แล้วแม่ค้าจะไปเบิกจ่ายที่ออฟฟิตเอง แต่รู้ไหมทุกวันที่ฉันไปสั่งข้าวฉันคิดอะไร

ฉันสงสารแม่ค้าคนนี้ ทำไมน่ะหรือในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันเคยคิดว่าเค้าจะมาดูถูกแม่ฉันไม่ได้ ก็เพราะตอนนี้แม่ค้าคนนี้มีหนี้สินท่วมตัวรวมๆก็เกือบล้านกระมัง ลูกๆก็แต่งงานแต่งการกันไปหมดแล้ว สามีก็มีเมียน้อย ตัวเองก็เป็นทั้งโรคเบาหวาน หัวใจ ทุกอย่างๆดูเหมือนจะเลวร้ายสำหรับเขาตอนนี้ ฉันจึงบอกกับตัวเองว่า เรื่องที่เค้าเคยพูดให้เด็กวัย6ขวบคนนั้นฟังช่างมันเถอะถือซะว่าเด็กคนนั้นลืมไปแล้วก็แล้วกัน ฉันซาบาแล้วไม่คิดโกรธเขาอีก เพราะตอนนี้ฉันทำงานเลี้ยงพ่อแม่ได้แล้วรวมทั้งพี่น้องทุกๆคนก็อยู่อย่างสบายมีบ้านมีรถ บางคนก็มีสวนยางเป็นของตัวเองไปแล้ว(อยากมีบ้าง เหอๆ) ไม่มีใครมาดูถูกคนบ้านนี้ได้อีกต่อไป แล้วฉันจะโกรธเขาอีกไปเพื่ออะไร

มองในมุมกลับกันคำพูดของเขาอาจมีส่วนทำให้ฉันเป็นคนมุ่งมั่นขยันเรียนก็ได้ คิดได้อย่างนี้มันจะดีกว่าไหม

ตอนนี้ฉันออกจากที่ทำงานแห่งนั้นมาเกือบ2ปีแล้วที่ทำงานใหม่ก็ไม่ไกลกันนัก บางครั้งลูกน้องก็ไปซื้อข้าวยังร้านแม่ค้าคนนี้ แต่ที่แย่กว่านั้นเค้าเป็นหนี้ที่โรงงานแห่งนี้มานาน ทุกวันนี้เค้าเลยต้องชดใช้หนี้เป็นกับข้าวมื้อเที่ยงให้กับพวกฉันแทนเงิน ฉันสงสารเขานะตอนนี้ไม่มีเรื่องในอดีตมาทำให้ฉันโกรธเขาอีกแล้ว




Create Date : 01 มิถุนายน 2550
Last Update : 24 กรกฎาคม 2550 13:43:24 น. 1 comments
Counter : 873 Pageviews.

 
ชีวิตคนเราไม่เคยมีเส้นกำหนดตายตัวว่าจะต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น ไม่อย่างนั้นชีวิตของแม่ค้าคนนี้ก็คงไม่ต้องพลิกผันแบบนี้หรอก...จริงไหม? คิดเสียว่า...เราทำวันนี้ให้ดีที่สุดเป็นพอ...เต็มที่เสมอกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต...พอใจในสิ่งที่ตนมีที่สุดนั่นแหละดี...ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่พบเจอกับอุปสรรคหรอกค่ะ


โดย: มุมมอง IP: 125.25.71.154 วันที่: 1 มิถุนายน 2550 เวลา:22:49:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มัยดีนาห์
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]





เช็คหลังไมค์มัยดีนาห์
Color Codes ป้ามด
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
1 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มัยดีนาห์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.