จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
8 กันยายน 2553
 
All Blogs
 

กาหรือหงส์ ตอน ๔๒

กาหรือหงส์ ตอน ๔๒



พอรถเคลื่อนออกจากฟ้าเมฆา อิสรานิ่งเงียบไม่พูดไม่จาหรือสนทนากับใคร ไม่เลยแม้แต่จะหันไปมองหน้าผู้เป็นหม่อมยาย หม่อมน้า หรือวันวิสาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จนกระทั่งผ่านบ้านหลังเล็กกะทัดรัดที่ตอนนี้มีเจ้าหมาน้อยแสนซน เห่ากรรโชกทักทายผู้เป็นเจ้าของอย่างเริงร่าต่างอารมณ์กันอย่างสิ้นเชิง ...

“ มะยม มะยม โธ่ .. มะยม ...”

อิสราเอ่ยละเมอไปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับหลังไปมองบ้านหลังนั้นจนสุดตา แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงแหลมปรี๊ดของผู้นั่งข้าง ๆ ดังแทรกมาในมโนสำนึก จนต้องตื่นจากภวังค์ ..

“ อิสรา อิสรา หม่อมยายเรียกตั้งนานแล้ว ได้ยินหรือเปล่า ! คนอะไรนั่งเหม่ออยู่ได้ ..”

“ ไม่ได้หูตึงวิสา ...”

“ หยุดว่าน้องได้แล้วชายอิส ยายเรียกเราตั้งนานสองนาน ไม่ได้ยินหรือไง..”

ผู้อาวุโสติติงพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของอิสราอย่างไม่พอใจ ก่อนจะบ่นอุบไปตามประสาคนเจ้าระเบียบ เคร่งครัดไปซะทุกเรื่องแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ หยุมหยิม ...

“ ขอย้ำเตือนและบอกชายอิสอีกครั้งว่า การไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้คงไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะชายจะทำตัวเละเทะ ดื้อรั้นเหมือนอยู่บ้านนอกคอกนาที่นี่ไม่ได้ ยายจะเป็นผู้ดูแลชายอิสทุกอย่างอย่างที่รับปากคนฟ้าเมฆามาว่าจะดูแล อบรมให้เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว อย่างที่เขาเป็นกัน ฉะนั้นต่อไปนี้ชายอิสจะต้องเชื่อฟังและทำตามที่ยายสั่งทุกอย่างเข้าใจมั้ย”

“ เข้าใจครับ แล้วแต่หม่อมยายจะจัดการก็แล้วกันครับ..”

“ เชื่อฟังกันง่าย ๆ อย่างนี้ก็ดีแล้ว อ้าวยัยวิสาหล่อนเป็นอะไรไปอีก”

หม่อมราชวงศ์หญิงพักตร์พิลาสเมินพระพักตร์ไปจากนอกรถเสียตั้งแต่ออกมาจากไร่ฟ้าเมฆาโน่นแล้ว ด้วยเพราะรู้สึกรำคาญตากับท่าทีเหม็นเบื่อของคนตัวสูงที่นั่งเยื้องด้านข้าง ๆบุตรสาว กระทั่งเสียงแหลม ๆ ดังขึ้นมาจากข้างหลัง เป็นเสียงของวันวิสานั่นเอง ....

“ แหมทุเรศ !มองตาละห้อยเชียว อาลัยอาวรณ์นังบ้านนอกนั่นอยู่ใช่มั้ยอิส ต่อหน้าต่อตาท่านยายเลยนะ ”

คนพูดบีบน้ำเสียงให้เล็กคล้ายจะเสียดแทงใจดำอีกฝ่าย ซึ่งก็ได้ผลชะงัดจริง ๆ ..

“ หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ววิสา ... จะเอาอะไรจากฉันอีก บอกมาสิ..”

“ เอ๊ะ... อิสพูดแค่นี้ทำไมต้องตะคอกกันด้วย ฉันไม่ใช่นังมะยมบ้านนอกนั่นนะจะได้มาใช่กิริยาต่ำทรามเหมือนกำพืดพวกมัน ..”

“ เธอไม่มีสิทธิ์จะไปดูถูกเขาอย่างนั้น ฉันอยากจะถามเธอหน่อยว่าความเป็นผู้ดีของคนเรา มันสามารถวัดกันที่ชาติกำเนิดอย่างเดียวใช่มั้ย แล้วไอ้การพูด การกระทำต่ำๆ ของคนบางคน ... มันบอกได้ยังไงว่าคนคนนั้นเป็นผู้ดี ทั้งที่มีพฤติกรรมบางอย่างยิ่งกว่าพวกละครน้ำเน่าเสียอีก...”

“ กรี๊ด ๆ ๆ หยุดว่าฉันได้แล้ว หยุด ๆ ๆ ”

เสียงกรีดร้องปานแผ่นดินจะถล่มทะลายซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าของวันวิสา หาได้ทำให้อิสราที่สะบัดหน้าเหม่อมองทุ่งนาไกลสุดลูกหูลูกตาสนใจไม่ จนหม่อมศิรินทิพย์ที่นั่งนิ่งทนฟังสองคนโต้คารมมานานต้องปรามไปด้วยสุ้มเสียงอันดังกว่าที่ผ่านมา ...

“ หยุดทะเลาะเป็นเด็ก ๆ กันได้แล้ว ทั้งสองคนเลย ... ยายจะเป็นลม ขอความเงียบสงบหน่อย..”

“ แต่หม่อมยาย .... อิสราว่าหนูก่อนนะคะ..ฮือ ๆ ๆ ”

คนพูดน้ำหูน้ำตาไหลมาท่วมท้นใบหน้าทันทีที่เห็นว่าตนเองมีภาษีเหนือกว่าอีกฝ่าย จึงฟ้องโต้หวังว่าจะได้รับความเห็นใจเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ผล เมื่อผู้เป็นยายสรุปสั้น ๆ ด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายสุดสุดแล้ว ..

“ หยุดทำตัวมีปัญหาได้แล้ววิสา ยายขอร้องว่าต่อไปนี้ห้ามไม่ให้พูดถึงเด็กคนนั้นอีกแล้ว รู้กันใช่มั้ยว่าตอนนี้เรากำลังจะไปอยู่กรุงเทพ ฯ ไปอยู่เมืองศิวิไลซ์บ้านเก่าของเรา ... จงลืมอดีตร้าย ๆ ที่นี่ให้หมด แล้วไปเริ่มต้นใหม่กันที่นั่น .... แล้วสองคนก็จำไว้อย่างว่า เมื่อพวกเราจบมหาวิทยาลัยจะต้องแต่งงานกันทันที ไม่มีการบ่ายเบี่ยงหรือเกี่ยงงอนใดใดอีกแล้ว เข้าใจมั้ยอิสรา เข้าใจมั้ยวิสา ถ้าเข้าใจที่ยายพูดก็เงียบเสียงซะ ยายจะนอนแล้ว เหนื่อย ..”

“ ครับ ..ค่ะ.. หม่อมยาย..”

กว่าอิสราจะข่มตาหลับจากภาพฝันอันสับสนของตนเองลงได้ รถตู้ก็เคลื่อนสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้า เมื่อเวลาใกล้แสงอรุโณทัยสาดจ้ามาเต็มท้องฟ้า แสงประกายสีทองเปล่งประกายระยิบระยิบคล้ายความหวังของวันไหม่ แต่ภายใจของเด็กหนุ่มตอนนี้กลบตรงกันข้ามทุกอย่าง มันหดหู่ สิ้นหวัง ไร้ตัวตนและหัวจิตหัวใจ คิดนึกไม่ออกว่าชีวิตในวันข้างหน้าต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ....

------------------------

วันเวลาผ่านเร็วไปเหมือนสายลมพัด นับเวลาตั้งแต่อิสรากับวันวิสาย้ายเข้าไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ เมื่อสามเดือนก่อน ชั้นมอห้าทับหนึ่งก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง ...

พลอยใสที่ได้ขอย้ายไปเรียนในกรุงเทพฯ ทันทีที่จบเทอมแรกชั้นมอหก

สมาชิกสาวซ่าส์ที่มีผู้นำกลุ่มคนใหม่ก็คือ น้ำฝนยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับหนุ่มแสบทั้งหกคนโดยมีเดี่ยวเป็นผู้นำแก๊งอยู่เช่นเดิม ....

ทุกคนต่างแปลกใจที่เห็นมะยมเงียบเสียง สงบปากสงบคำมากขึ้น จนดูเหมือนผิดปกติจากที่เคยเป็นมา เพื่อน ๆ รวมทั้งทุกคนที่อยู่แวดล้อมต่างก็เข้าอกเข้าใจสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไปของเจ้าตัวดี ...


บทสรุปความรักต่างชนชั้นมักจะเจ็บปวดเช่นนี้เสมอ.... มันอาจเป็นสัจธรรมของโลกไปแล้ว ..


แต่ในความคิดของคณาจารย์โรงเรียนมัธยมท่าวังหินทุกคนต่างมีความเห็นว่าการที่มะยมเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้เป็นการดีแล้วสำหรับการจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เพราะถ้าหากยังเป็นมะยมที่ดื้อแก่นทโมนไพรเมื่อสี่ห้าปีที่ผ่านมาคงไม่ดีแน่เมื่อกำลังจะก้าวไปสู่โลกของผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า…

หลังจากพลอยใสได้ย้ายเข้าไปเรียนกรุงเทพโดยพักอยู่กับญาติผู้น้องของครูพลที่ไปทำมาค้าขายตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่นมานานนมทุกอย่างในบ้านครูพลเงียบลงจนเหมือนผิดปกติ เพราะสองพ่อลูกที่ดูเหมือนจะมีเรื่องให้สนทนากันน้อยลง ต่างคนต่างก็มีมุมให้คิดกันไป ...

จนวันหนึ่งมะยมเอ่ยทักผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นว่าวันเวลาได้เยียวยาจิตใจให้กล้าแกร่งขึ้นมาบ้างแล้ว ตลอดเวลาที่เฝ้าแต่คิดว่าความเงียบจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง แต่ก็ไม่เป็นดังที่คิดเลย ทุกอย่างกลับเลวร้ายจนเปลี่ยนแปลงสิ่งดีดีในชีวิตบางอย่าง บางเรื่องไปช้า ๆ อย่างรู้สึกได้ ...

“ พักนี้เราไม่ได้คุยกันเลยนะจ๊ะพ่อ..”

“นั่นสิมะยม พ่อก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมลูกถึงเอาแต่เก็บตัวในห้อง ไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อนเลย”

“ มะยมกราบขอโทษพ่อด้วยจ๊ะ มัวแต่คิดเรื่องตัวเองมากไปเลยไม่เหมือนเดิม จนเพื่อนๆที่โรงเรียน ก็บ่นกันทุกคนเหมือนกัน หนูเพิ่งจะรู้สึกว่าทำตัวแย่ๆมาตั้งนาน”

“ มันก็ไม่ถึงกับเลวร้ายอะไรหรอกลูก เพียงแต่พวกเรากำลังงุนงงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประเดประดังเข้ามาในตอนนั้น กะทันหันจนตั้งตัวไม่ติดกัน ... ตอนนี้ทุกอย่างก็เข้ารูปเข้ารอยแล้ว ฟ้าเลยในสว่างกระจ่างกว่าเก่าเยอะเลย ว่าแต่ว่าลูกได้ข่าวอิสรามั่งหรือเปล่า”

ครูพลถามประโยคเด็ดเจาะตรงใจลูกสาวคนโปรดจนอีกฝ่ายแทบจะวางถ้วยขนมหวานในมือลงกระแทกโต๊ะทานข้าว ... ก่อนจะทำสีหน้าปกติเหมือนเดิม ...

“ สยามส่งข่าวมาให้รู้ตลอดเวลาจ๊ะพ่อ ตอนนี้อิสรากำลังเตรียมตัวไปเรียนศิลปะที่อิตาลีหลังจากจบเทอมนี้

” มะยมตอบผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงเรื่อยเอื่อย ก้มหน้าก้มตาตักขนมหวานด้วยอารมณ์ปกติ...


“ งั้นเหรอลูก ...นี่พลอยก็ส่งข่าวมาบอกพ่อว่าอยากจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชน เพราะได้โควตาเรียนฟรีที่นั่น พอ่ก็ตอบกลับไปว่าไม่ขัดข้อง ก็แล้วแต่เค้า ... ลูก ๆ ของพ่อต่างก็โตเป็นสาวกันหมดแล้ว อกไม่นานสีห้าปีพ่อคงได้อุ้มหลานแล้ว ฮ่ะ ๆๆ ..”

“ ไม่หรอกน่าพ่อจ๋า ..หนูจะไม่แต่งงานเร็วขนาดนั้นหรอก เพราะตอนนี้เจาบ่าวของหนูยังไม่เกิดเลย ...คงอีกนานพอดูที่จะมีวันนั้น ตอนนี้ปล่อยพลอยให้ขาหาหนุ่ม ๆ กรุงเทพฯ มาฝากพ่อดีกว่านะ”

“ แล้วคุณชายอิสล่ะ มะยมเอาเค้าไปไว้ที่ไหน ...”

“ วันเวลาเปลี่ยน ... คนอาจจะเปลี่ยนแปลงก็ได้ ก็ใครจะไปรู้ใช่มั้ยพ่อจ๋า หนูไม่เคยคาดหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อยากทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ สบายใจดีออก..”

“ คิดอย่างนั้นได้ก็ดีมากแล้วลูกจะได้ไม่ทรมานกับมัน จะว่าไปความรัหมันก็เป็นเรื่อองที่ดี มีแต่จะทำให้โลกเราดูสวยงามขึ้นกว่าทุกวัน แถมเราก็ทำอะไรที่ดี ๆ ได้ตั้งเยอะ ... ดูอย่างมะยมสิลูก ตอนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กกะโปโลเมื่อแต่ก่อนตั้งเยอะแน่ะ แถมดูเป็นผู้หญิงรักสวยรักงามมากขึ้นไปอีกต่างหาก..”

“ อ้าวๆพ่อมาชมกันเองแล้วนะจ๊ะเดี๋ยวมะยมก็ลอยขึ้นฟ้า แล้วใครจะทำอาหารเย็นวันนี้ให้พ่อกินล่ะ”



“ พ่อพูดจริง ๆ ลูกดูสวยน่ารัก เรียบร้อยเป็นผู้ใหญ่พอสมควร พ่อสบายใจถ้าลูกจะไปอยู่กับป้าที่เชียงราย ที่นั่นอาจจะไม่เหมือนที่นี่ แต่ป้าเครือคงจะดูแลเราได้ระดับหนึ่ง...”

“ ตกลงให้หนูไปเรียนพัฒนาชุมชนแน่แล้วเหรอพ่อ”

“ ถ้าเป็นความต้องการของมะยม พ่อเห็นด้วยเสมอ ... ไหน ๆ ลูกก็ไม่ได้เป็นแม่พิมพ์สืบถ่ายเจตนารมณ์อันดีของพ่อแล้ว เป็นไงเป็นกัน ”

“ โถ ๆ ๆ พ่อ .. ครั้งนี้ขอตามใจตัวเองสักครั้งนะแต่รับรองว่าจะกลับมาพัฒนาบ้านเราแน่น้อนไว้ลายลูกเสือสำรอง เอ๊ย เนตรนารีคนนี้ได้เลย..”

พอพูดจบประโยค มะยมหัวเราะร่า จนครูพลต้องนั่งจ้องมองด้วยความคลายใจว่า ลูกสาวคนเดิมได้ค่อย ๆ กลับมาคืนบ้านน้อยหลังนี้แล้ว จึงรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ..

“ อาทิตย์หน้าจะสอบปิดภาคเรียนที่สองแล้วใช่มั้ยลูก ..”

“ จ๊ะพ่อ ...แต่อาทิตย์นี้ติดแข่งกีฬาเขตการศึกษาที่จังหวัดอีกงานหนึ่ง หนูต้องวิ่งวุ่นอีกตามเคย .. ครูแหวนไม่น่าให้หนูเป็นดรัมเมเยอร์เลย งานประธานฯ ก็จะแย่อยู่แล้ว นี่จะให้ไปทำสวยเดินตากแดด ยิ้มร่าทั้งวัน น่าเบื่อจริง ๆ พ่อว่ามะยมควรทำอย่างไงดี ... ไม่ชอบไม่อยากทำเลย ”

มะยมทำท่าถอนหายใจหนัก ประหนึ่งว่าการทำหน้าที่เป็นดรัมเมเยอร์ของโรงเรียนเป็นงานแบกหิน ขนทรายประมาณนั้นไปนั่น ครูพลส่ายหัวช้า ๆ ยิ้มระบายใจดีที่ดวงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปแสดงความรักอย่างที่เคยทำ ...

“ การงานบางอย่างเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ ไม่มีสิทธิ์เลือกหรือเกี่ยงที่จะไม่ทำ ทางเดียวที่จะลดปัญหาทั้งหมดก็คือ ฝืนทำให้มันดีที่สุด ผลมันจะออกมายังไงช่างมัน อย่างน้อยเราก็ได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว เชื่อคำที่พ่อพูดสิมะยม ทำให้มันดีทุกกอย่างจะดีตามมาเอง..”

“ อันนั้นมันชัวร์อยู่แล้วจ้าพ่อจ๋า หนูซ้อมโยนไม้แขนแทบหักทุกวัน พรุ่งนี้ไม่รู้จะโยนขึ้นฟ้าแล้วไปพาดโดนพวกดาว เดือนที่อยู่ข้างหลังหรือเปล่าก็ไม่รู้ ...อิอิ...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คงวุ่นวายดีพิลึกเนอะพ่อ”

“ วุ้ย ! ไม่เอา ๆ อย่าคิดอย่างนั้นลูก ไปไปจะทำอะไรก็ทำ เดี๋ยวพ่อจะไปบ้านตาก้อนหน่อย ..”

ครูพลเดินจากไปพร้อมกับโบกมือไปมาเชิงไม่เห็นด้วยกับท่าทีทะลึ่งตึงตังของมะยม จนลับตาลงไปจากชานบ้าน ปล่อยให้สาวร่างบางหัวเราะขบขันอยู่ที่เดิมก่อนจะเดินไปลองเสื้อผ้าที่วางใบบนเตียงนอน ก่อนจะส่องกระจกเพิ่มความมั่นใจอีกครั้ง ...

เมื่อล้างจานและเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้กับราวนอกบ้านเข้ามาพับไว้เตรียมจะรีดในตอนค่ำเรียบร้อยแล้ว มะยมวางตะกร้าผ้าไว้ข้างบันใดบ้าน แล้ววิ่งขึ้นไปในห้องนอน ดึงลิ้นชักจากโต๊ะไม้เขียนหนังสือออกมาช้า ๆ จนมองเห็นจดหมายซองสีฟ้าสดใสจ่าหน้าด้วยลายมือตวัดสวยงามเป็นชื่อของมะยมที่น้อยคนจะรู้จัก มือเรียวเล็กค่อย ๆ ฉีกมุมซองออก ใจเริ่มเต้นโครมครามด้วยความอยากรู้ถ้อยความในจดหมายฉบับไม่รู้เท่าไหร่ที่เขียนมาถึงตัวเอง ....

กระดาษสีขาวส่งกลิ่นกุหลาบระรวยโชยกลิ่นออกมา บ่งบอกความโรแมนติกของเจ้าของจดหมายได้เป็นอย่างดี มะยมอมยิ้ม อิ่มเอมไปกับตัวอักษรที่ร้อยเรียงยืดยาวเกือบเต็มหน้ากระดาษ ก่อนจะหลับตาพริ้มเอนตัวลงนอนบนฟูกหนานุ่ม นึกถึงถ้อยวาจาที่ถ่ายออกมาในใจความสรุปว่า ...


.... ตอนนี้ผมกำลังจะออกเดินทางไปอิตาลีในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้านับจากนี้ ท่านพ่อกับคุณแม่ลงมาหาที่วังพรหมมินทร์เทเวศน์อยู่บ่อย ๆ มะยมไม่ต้องเป็นห่วงว่าผมจะเหงานะ ... สยามส่งข่าวให้ผมททราบตอดว่าคุณกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน ... ขอแสดงความยินดีกับคนเก่งที่สอบได้โควตาแพทย์ชนบทหนึ่งเดียวในจังหวัดด้วยนะครับ มะยมของผมเก่งสมคำร่ำลือจริง ๆ ... วันวิสาจะไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสเดินทางไปพร้อมกับผม ส่วนพลอยใสพี่สาวของมะยมเห็นบอกว่าจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแถวบางเขน ... นี่คงเหลืออีกอาทิตย์เดียวมะยมก็จะจบจากโรงเรียนมัธยมท่าวังหินแล้ว ผมอดที่คิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขของเพื่อนของเราทุกคน รวมทั้งของผมกับมะยมไม่ได้ วันเวลาเหล่านั้นแจ่มกระจ่างอยู่ในหัวของผมตลอดเวลาที่คิดถึงมัน มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของพวกเราแล้ว
คิดนึกไปก็อดขำกับเรื่องราวมหัศจรรย์พันลึกเกือบเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลาย ๆ ครั้ง ของมะยมกับผม ต้องขอบคุณเวลาดี ๆ เหล่านั้นที่ทำให้เราได้เจอกันรักกัน และจะได้มีอนาคตร่วมกันในอีกไม่นานต่อจากนี้ ...
อยากจะบอกมะยมว่า รอผมหน่อยนะ อีกไม่นานแล้วที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน รักกันและไม่แยกจากไปไหนอีก ...ขอจงระลึกไว้เสมอว่า ผมรักคุณคนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง ...และจะรักอยู่อย่างนี้ตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ...


มะยมหลับตาพริ้มทั้ง ๆ ที่น้ำตาเริ่มปริ่มขอบตา สูดลมหายใจลึก ๆ เหมือนอยากจะซึมซับเอากำลังใจที่มีค่าจากถ้อยวาทีในจดหมายที่แนบไว้บนอกให้ซึซับและรำลึกอยู่เสมอว่า ในหัวใจดวงนี้มีเจ้าของและรอคอยหล่อหลอมใจสองดวงให้เป็นดวงเดียวกัน ในอีกไม่ช้าไม่นาน ...

--------------------------

ฮือ ๆๆ เศร้าเหลือเกินตอนนี้ เอาเป็นว่าติดตามตอนหน้าในวันศุกร์นี้ต่อนะครับ .. ตอนนั้นอิสรากำลังโตเป็นหนุ่ม เขาจะเป็นยังไงต้องติดตามนะครับผม .. ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านกันมาเหนียวแน่น .. ผมรักคุณๆๆนะครับ ..

นายอิส /เมฆชรา
๘ กันยายน ๒๕๕๓
สิบเอ็ดโมงครึ่งครับ




 

Create Date : 08 กันยายน 2553
0 comments
Last Update : 8 กันยายน 2553 11:35:31 น.
Counter : 1013 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


เมฆชรา
Location :
นครราชสีมา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




เข้าสู่ปีที่ 8
Friends' blogs
[Add เมฆชรา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.