ภมรดอกงิ้ว ๑๔ (สองมือพ่อ .. จักโอบเจ้าให้เศร้าคลาย)
หลังจากที่ได้พูดคุยกับลุงชัยวัฒน์เมื่อคืนจนดึกดื่น ความรู้สึกของผมเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางใหม่นั่นก็คือ คิดปลงตกต่อเรื่องราวที่ผ่านมา ในช่วงพักรับประทานอาหารตอนกลางวันพี่วิภารัตน์เดินหน้าชื่นเข้ามาหาที่โต๊ะแล้วถามว่า “ เป็นยังไงบ้าง พอไหวไหมจ๊ะยอด..” ผมวางช้อนยกน้ำขึ้นดื่มหันไปยิ้มให้พี่วิภารัตน์ แล้วตอบว่า “ พออยู่ครับนี่ก็เหลืออีกไม่กี่วันก็กลับบ้านแล้ว” พี่วิภารัตน์ยิ้มเรี่ยแล้วพูดว่า“ ในช่วงปฏิบัติแรกๆ ทุกคนจะเหมือนกันหมดคือ อยากกลับบ้านทนไม่ไหวต่อความลำบากที่เกิดขึ้น เพราะถูกจำกัดความสบายอะไรหลายๆอย่างแต่พออยู่ไปอีกซักหน่อยก็จะสบาย สุขพิเศษที่หาไม่ได้ในทางโลก ..” ผมพยักหน้าเห็นด้วยแต่หลบสายตาพี่วิภารัตน์ที่มองมา .. ในใจคิดถึงแต่เรื่องที่รออยู่ข้างหน้าทั้งเรื่องการหย่า เรื่องงาน เรื่องลูกทั้งสอง และอื่นๆอีกจิปาถะ “ผมต้องทนได้สิครับพี่ ว่าแต่วันนี้มีกิจกรรมพิเศษอะไรหรือเปล่า” “ อ้อวันนี้หรอ.. จะมีพระอาจารย์จากข้างนอกมาบรรยายเทศนาธรรมให้กับพวกเราเป็นกรณีพิเศษซึ่งนับว่าโชคดีมากเลยที่ได้มาปฏิบัติธรรมใน tripนี้ น้อยครั้งที่ท่านพระอาจารย์จะมีเวลาว่างมาบรรยายเพราะกิจของท่านแต่ละวันเยอะแยะไปหมดเราโชคดีจริงๆ ” ผมก็เพิ่งรู้ว่าในตอนค่ำวันนี้จะมีพระวิปัสสนาจารย์ชื่อดังมาเทศนาเตือนสติเรียกขวัญกำลังใจ นับเป็นโอกาสพิเศษอย่างยิ่งยวดน้อยคนจะได้ฟังพระอาจารย์เทศน์สดๆโดยไม่ผ่านจอทีวี “ครับพี่ดีครับ” ผมตอบไปแค่นั้นก่อนจะขอตัวไปทำธุระส่วนตัวหลังจากพักเบรกตอนเที่ยงยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ผมจึงเดินมาที่โรงนอนตั้งใจจะนอนซักงีบแล้วค่อยตื่นไปทำกิจกรรมอื่นต่อไปในช่วงบ่าย พองีบหลับไปได้สักพักก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ผมฝันว่าบ้านของตัวเองมีคนมากมาย ทุกคนสวมชุดดำใบหน้าหมองเศร้าไม่มีความสุข ระรินเดินเข้ามาหาแล้วร้องไห้พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง นั่น .. ตาลูกออดวิ่งมาโผเข้ามาแล้วกอดไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นเล่าอะไรอยู่สองสามประโยค จนแล้วจนรอดผมก็จับใจความไม่ได้ ผมอุ้มเจ้าลูกชายขึ้นมาแล้วพูดปลอบอยู่นานจนดีขึ้น ก่อนจะเดินฝ่าคนรู้จักกลุ่มใหญ่ที่สนิทสนมรักใคร่กันดีหลายคน จนมาถึงกลางบ้านก็ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นโลงศพขนาดไม่ใหญ่ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สดสีสรรสวยงามมีแสงไฟสีกระพริบอยู่รายรอบ ผมจึงกวาดสายตามองไปจนมองเห็นรูปถ่ายที่ตั้งขาหยังอยู่ใกล้ๆ หยีตามองจนหัวใจหล่นไปที่เท้าซวนเซเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาทันทีทันใดเมื่อรู้ว่าบุคคลที่อยู่ในรูปถ่ายเป็นใคร ผมสะดุ้งตื่นจากความฝันในทันที เหงื่อกาฬไหลย้อยโทรมไปทั้งตัวจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาก็เปียกโชกเหลียวซ้ายแลขวาก็มีแต่ความเงียบงันเวลาเที่ยงวัน ผมจึงลุกขึ้นตรงไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมานั่งที่เดิม หลับตา ทำจิตนิ่ง กำหนดลมหายใจให้เป็นสมาธิเพื่อลืมเรื่องราวความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้หมด ครั้นนั่งไปได้ไม่ถึงสิบนาที หูแว่วยินเสียงพี่วิภารัตน์มาเรียกที่หน้าเรือนนอนจึงลืมตาขึ้นแล้วรีบเดินลงไปหา ผมขมวดคิ้วแปลกใจที่เห็นใบหน้าซีดเซียวของพี่วิภารัตน์เหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ใจประหวัดนึกถึงความฝันเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดก็แทบจะมลายหายไปจนหมดสิ้นในทันที ต้องเป็นข่าวไม่ดีแน่นอน พี่วิภารัตน์พูดขึ้นมาว่า“ ใจเย็นๆไว้นะยอด .. ” ตัวผมเริ่มสั่นไปเรื่อยๆจิตนึกอธิษฐานภาวนาว่าอย่าให้เกิดเรื่องเหมือนฝันร้ายเมื่อครู่เลย แต่คำอธิษฐานของผมไม่เป็นผล .. พี่วิภารัตน์เล่าออกมาด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตาไหลเป็นทางคล้ายสายน้ำ “ น้องถูกรถชนตอนนี้อยู่โรงพยาบาล” ผมตกใจหูอื้อได้ยินไม่ชัดจึงถามออกไปอีกครั้ง “ คะ .. ใครเป็นอะไรพี่” “ ลูก ลูกกบ..” พี่วิภารัตน์ก็พูดไม่เป็นคำเป็นประโยคร้องไห้ผสมกับเล่าเรื่องราวออกมาว่า .. ลูกกบถูกรถชนที่หน้าโรงเรียน อาการสาหัสขั้นโคม่าตอนนี้พักฟื้นอยู่ที่ห้องไอซียูโรงพยาบาลเอกชน .. ระรินยังพอมองเห็นน้ำใจจึงโทรมาบอกพี่วิภารัตน์ให้บอกผมว่าไปเยี่ยมลูกกบได้ที่โรงพยาบาลจังหวัด ผมฟังจนจบรีบเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าบอกให้พี่วิภารัตน์ไปแจ้งพระอาจารย์ว่าขอหยุดการปฏิบัติธรรมในวันที่2 เนื่องจากติดภารกิจเร่งด่วนจำเป็น เธอรีบไปดำเนินการตามคำสั่งในทันที ..ผมจึงรีบออกเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางด้วยใจเร่งร้อน พอถึงโรงพยาบาลผมรีบวิ่งไปยังห้องฉุกเฉินตามคำบอกกล่าวของพี่วิภารัตน์ ไถ่ถามพยาบาลที่อยู่แถวนั้นแจ้งชื่อคนไข้เสร็จสรรพ เธอมีสีหน้าประหลาดใจแล้วเดินไปประชาสัมพันธ์ชักสีหน้ายุ่งยากเดินกลับออกมาสงบนิ่งเหมือนกำลังข่มความรู้สึกให้เป็นปกติให้ได้มากที่สุด “ ฉันขอแสดงความเสียใจด้วยที่ไม่สามารถช่วยชีวิตลูกสาวของคุณเอาไว้ไม่ได้.. น้องมาถึงที่นี่ช้าเกินไป เราพยายามจนสุดความสามารถ แต่น้องก็สู้กับอาการบาดเจ็บไม่ไหวเลยจากไปอย่างสงบ เสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ .. ” ผมยืนนิ่งเหมือนถูกสาป น้ำตาไหลพรากไหลทะลักออกมาจนเปียกเสื้อผ้าไปหมด นึกหวนไปคิดถึงลูกสาวที่น่ารักแต่ไม่ค่อยพูดคุยสนิทสนมกับผมมากนัก ลูกกบเกิดมาในช่วงที่ผมกำลังเริ่มก่อร่างสร้างตัวจากการทำกิจการร้านกาแฟที่ชื่อ serway love coffeeเวลาทั้งหมดของผมจึงทุ่มเทกับการเปิดร้านกาแฟทั้งหมด จนลืมว่ายังมีลูกสาวตัวน้อยๆทายาทคนแรกที่เกิดขึ้นมาในเวลานั้น หน้าที่หลักในการดูแลลูกกบทั้งหมดจึงเป็นหน้าที่ของระริน ความสัมพันธ์ของลูกกบกับผมจึงเหมือนคนแปลกหน้าในบางครั้ง ความผูกพันระหว่างกันจึงไม่ค่อยมีทั้งๆที่ผมเป็นพ่อให้กำเนิดมาแท้ๆ กระทั่งธุรกิจกาแฟไปได้ดี ลูกออดจึงเกิดมาลืมตาดูโลก เป็นสมาชิกใหม่ที่ใครๆก็เห่อ เพราะเป็นหลานชายคนโตต้องสืบสกุล ผมเลี้ยงลูกออดด้วยตัวเอง หอบหิ้วเขาไปด้วยทุกที่ แม้กระทั้งออกทำงานต่างจังหวัดเคยนอนข้างบูทประชาสัมพันธ์กาแฟก็มี จนหลายคนแซวอยู่เสมอว่า .. ลูกกบเป็นลูกของระริน ส่วนลูกออดเป็นลูกยอดชายผมได้แต่หัวเราะกลบๆคำถามไป ผมเร่งเดินทางไปถึงวัดที่ตั้งบำเพ็ญกุศลมองลึกเข้าไปด้านในก็เห็นศาลาที่สามกำลังมีงานจัดพิธีรดน้ำศพ รีบเร่งเดินเข้าไปเห็นระรินเดินหน้าเศร้าตรงมาแล้วผายมือให้รีบเข้าไปข้างใน ผมปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มจนเสื้อผ้าเปียกไปหมด น้ำตาแห่งความเสียใจไหลลงมาไม่อายใคร ความเสียใจครั้งนี้เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ด้วยเลือดเนื้อเชื้อไขจากไปในเวลาอันไม่ควร อ้อมกอดที่สวมกอดร่างที่สงบนิ่งดูไร้ค่า ไร้ความอบอุ่นจากคนที่ชื่อว่า ผู้ให้กำเนิด ผมกอดร่างที่ไร้วิญญาณของลูกกบไว้แน่นอยู่นานกระทั่งมีคนคนหนึ่งมาสะกิดอยู่ข้างหลัง ผมมองไปก็เป็นพี่วิภารัตน์นั่นเอง “หักอกหักใจบ้างเถอะยอด อย่าร้องไห้แบบนี้เลยโบราณเขาถือ อย่าเอาน้ำตารดผู้วายชนม์เขาจะไม่เป็นสุข จะมีห่วงต่อจากนี้ ..” ผมเพิ่งได้จึงถอยออกมามอง ลูกกบดูเหมือนคนกำลังนอนหลับปกติไม่เหมือนคนที่จากไปชั่วนิรันดร์ ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้รู้สึกกำลังอ่อนระโหย พี่วิภารัตน์เดินตามมาแล้วยื่นยาดมให้ผมสูดเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ครั้นได้ยินเสียงร้องเรียกเจื้อยแจ้วมาแต่ไกลได้กำลังใจขึ้นมากโข “คุณพ่อคุณพ่อมาแล้ว” เสียงนี่แหละคือ เสียงสวรรค์ ช่วยปัดเป่าความทุกข์ยากไปหายคลายสิ้น ลูกออดวิ่งถลามาหาแล้วกอดผมไว้แน่น ก่อนที่จะดันตัวเองออกมา แล้วยกมือเล็กๆสองข้างค่อยๆปาดน้ำตาที่แก้มของผมอย่างช้าๆ “ พ่อจ๋าของออดต้องไม่ร้องไห้นะครับ.. ออดสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี จะไม่ดื้อจะไม่เกเรอีกแล้ว ออดสัญญาลูกผู้ชายเลย ..” ผม ... พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองร้องไห้แต่ก็ทำไม่ได้เหมือนเดิม ลูกชายตัวน้อย ... ดึงตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้ง เราสองคน ... ร้องไห้อยู่แบบนั้นอยู่นาน พิธีรดน้ำศพลูกกบผ่านพ้นไปด้วยดี ทุกคนที่เป็นญาติของเราเตรียมตัวพักผ่อนเพื่อรอต้อนรับแขกเหรื่อที่จะมาสวดพระอภิธรรมในการตอนกลางคืน ลูกออดกอดและอยู่ในอ้อมแขนของผมตลอดเวลาไม่ยอมไปไหนนับตั้งแต่ที่เจอกัน ระรินกับพี่วิภารัตน์นั่งพูดคุยกันเงียบๆอยู่ที่เก้าอี้หินอ่อนมุมต้นไม้ใหญ่ เท่าที่สังเกตระรินไม่ได้มาข้องแวะกับผมกับลูกออดเลยนับตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในวัดแล้ว ผมเหลือบเห็นพี่เค็มของระรินกำลังง่วนอยู่หลังครัวพูดคุยกับบรรดาแม่ครัวอย่างใส่ใจ ลูกออดหลับบนบ่าผมไปนานก่อนจะตื่นขึ้นมาก็งัวเงียและร้องไห้บอกว่าหิวหิว ผมจึงต้องเดินไปในครัวทันที .. ข้าวต้มร้อนๆถูกตั้งไว้รอแล้วสองถ้วยด้วยการจัดเตรียมของระรินผมจึงพยักหน้าขอบคุณแม่ครัวแล้วหยิบถ้วยเดินออกมานั่งกินสองพ่อลูกอยู่ด้านนอก ..พี่วิภารัตน์เดินตามมาพร้อมน้ำดื่มสองขวดถอนหายใจแล้วพูดว่า .. “น้องรินเสียใจมากที่ไม่สามารถดูแลลูกกบได้ จนเกิดเรื่องวันนี้ขึ้น เขาน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออกแต่ฝากมาบอกยอดว่าเสร็จงานแล้วจะไปอยู่สิงคโปร์..” ผมตกใจ “เขาจะไปเมืองนอก .. ” “ ใช่ .. คุณเค็มมีบ้านอยู่ที่โน้นอีกหลังแล้วช่วงนี้คนเช่าเดิมย้ายออกพอดี เขาคงอยากกลับไปดูแลบ้านพร้อมเริ่มต้นอะไรใหม่ๆที่นั่น” “ แล้วเรื่องการงานล่ะ.. นี่คงลงทุนลาออกจากงายเลยใช่ไหมครับ..” “ ใช่จ๊ะรินลาออกจากงานเรียบร้อย แล้วจะย้ายตามคุณเค็มไปอยู่ที่นั่นเป็นการถาวรเลยส่วนลูกออดคงจะให้ยอดเป็นผู้ดูแลต่อจากนี้ไป .. ” ผมหน้าแดง ความโกรธแล่นริ้วไปทั้งตัวเมื่อได้ฟังเรื่องราว ก้มมองลูกออดก็เห็นแววตาใสซื่อไร้เดียงสามองมาผมถึงกับต้องรีบปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด “ ก็ดีแล้ว .. เขาไปดีมีความสุขผมก็ยินดีด้วยครับ” ผมลูบหัวลูกชายเบาๆแล้วพรมจูบที่ตรงนั้นอีกครั้ง .. คิดในใจว่านับต่อไปจากนี้คงเหลือเราสองคนพ่อลูกที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไปแล้วสินะ “ เออยอด.. เรื่องการหย่าน้องรินย้ำว่าเธอคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” ผมถอนหายใจอีกรอบกดความรู้สึกเต็มที่ .. นี่ระรินจะเร่งสร้างครอบครัวใหม่ไปถึงไหนคิดแล้วน่าโมโหเสียจริง ปล่อยการการะทำไปตามความอารมณ์รุนแรงข้างในเสียดีไหม ..สะใจดีออก แต่ยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไรออกไปอีกระรินก็เดินตรงมาหาเสียก่อน พี่วิภารัตน์รู้งานดีจึงรีบอุ้มลูกออดออกไปทานไอศกรีมข้างนอกทันที ระรินเริ่มเรื่องว่า“ พี่วิภาคงบอกเรื่องราวทั้งหมดแล้วนะ .. ยังไงก็ตามนั้น ..” ผมพิศมองเสี้ยวหน้าเธออีกครั้ง.. ความพิศวาสเสน่หาตลอดสิบกว่าปีหายไปจนหมดสิ้นคงเหลือแต่ความทุเรศทุรังในความเห็นแก่ตัวเอาแต่ประโยชน์ของตัวเองอย่างเสียมิได้เข้ามาแทน “จะไปหย่ากันพรุ่งนี้เลยดีไหม” ผมโพล่งออกไปอย่างเหลืออด เธอเหยียดยิ้มสายตาแข็งกร้าวเย็นชา“ก็ได้นะ .. ไว้ตอนสายๆหลังถวายเพลพระก็แล้วกัน ” ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยของวันนี้ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป มันตื้อไปหมด “ตกลงตามนั้นเรื่องลูกออดคุณไม่ต้องห่วง ผมดูแลได้ .. ถ้าขืนไปอยู่กับคุณคงไม่มีความสุข เพราะลูกไม่ได้รักคุณเลย..” “ ไม่จริง .. เลี้ยงมากับมือทำไมมัน .. จะไม่รักฉัน” เธอเถียงตอบกลับทันที ผมสวนไปว่า “ ใครกันแน่ที่เลี้ยงก็ดูพฤติกรรมเอาสิ พอลูกออดเจอหน้าผมเขาก็วิ่งมาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา มันไม่น่าแปลกใจเลยถ้าคุณจะไม่เอาเขาไปสิงคโปร์.. ” เธอแค่นเสียงแหลมออกมา“ ใช่สิ .. เขาเป็นลูกรักของคุณ ฉันมีหน้าที่แค่อุ้มท้องให้มันมาเกิดเท่านั้น เอาไปเลยเลือดก้อนเดียวตัดขาดได้ .. ฉันไม่เสียดายหรอก..” ผมนึกถึงการบริกรรมสะกดอารมณ์ในขณะมีภาวะอารมณ์พิเศษเข้ามาปลุกเร้าตามที่พระอาจารย์สอนตอนที่อยู่วัด นี่คงได้เวลานำมาใช่แล้ว .. “ โอเค .. ตกลงตามนี้ส่วนเรื่องงานลูกกบ คงต้องเป็นเจ้าภาพช่วยให้ผ่านพ้นไปก่อน อย่างน้อยก็ทำเพื่อลูก.. เป็นครั้งสุดท้าย” ระรินพยักหน้าโดยไม่มองหน้า.. ผมรู้สึกรำคาญภาวะกดดันแบบนี้ จึงลุกยืนขึ้นทันทีแล้วเดินออกไปพูดคุยกับญาติพี่น้องของระรินที่พอจะสนิทสนมกันอยู่บ้าง กระทั่งเจอตัวแสบโผเข้ามาหาพอดี ผมยิ้มให้พี่วิภารัตน์แล้วอุ้มลูกออดมากอดไว้แน่นประหนึ่งว่าโลกทั้งโลก .. มีเพียงเราสองคนพ่อลูกเท่านั้น ----------------------------------- จบตอน
ขอบคุณที่ติดตามกันมาครับ เมฆชรา
Create Date : 22 มีนาคม 2557 |
Last Update : 22 มีนาคม 2557 17:34:51 น. |
|
0 comments
|
Counter : 767 Pageviews. |
|
|