Group Blog All Blog
|
ฟรีอ่าน มีปัญหาtechnical faultบทที่5ชาโตอานองเตที่สี่ ขออภัยในความไม่สะดวก marttrinii ฟรีอ่าน มีปัญหาtechnical faultบทที่5ชาโตอานองเตที่สี่ ขออภัยในความไม่สะดวก marttrinii บทที่ 4 จับได้ว่ากบดูดกัญชา เห่าดอกจันกินกระท่อม คางคกสูบบุหรี่ เพลง (เนื้อร้องทำนองตามสะดวกเพลงและคนเล่นดนตรีเป็น) จับได้ว่ากบดูญกัญชา เห่าดอกจันกินกระท่อม (คนพิเรนทร์ทำ ให้มันกินจริง อานองต์ไปเห็นมากับตา) คางคกมันสูบบุหรี่ อานองต์ไม่ได้แจ้งเบาะแส อานองต์ไม่ได้มาแจ้งเบาะแส แต่ว่าอานองต์เห็นเผ่ากิยองติน กำลังจับกบและคางคกให้ดูดกัญชา กัญชาจึงทำให้กบและคางคก ที่ทำให้มันร้องเพลงเป็น หน้าร้อนกบมันจะนอน จึงไม่ได้ยินเสียงกบ ส่วนคางคงคกกระโดดเล่นตามชายคาในเวลาค่ำคืน แต่ถ้าทำเสียงฝนตกพรำห้มันได้ยิน มันจะกระโดดออกมาจากรู และกบมันจะร้องขึ้นต้อนรับกับรัตติกาลของมันทันที แต่พอฝนมากบมันจะร้องเพลงให้เราฟังจริง ๆ อานองต์ไปเห็นมา เขาว่าเอายอดกระเต็นกัญชาบดใส่ ให้มันกินมันจะได้ร้องเพลงเพราะดี เพลงของมันคือสิ่งที่มันร้อง ดนตรีคือสิ่งที่นิ้งดีด มนุษย์ต้องสมองเลิศเพื่อจะตีความเอาเอง นั่นคือเสียงเพลงกบร้องที่อานองต์หมายถึง ไม่เชื่อลองมโนดู (ซ้ำ) อานองต์เชื่อว่าอย่างนั้น ถ้ากฎหมายกัญชาไม่ว่าอะไร ที่รู้คือสงสัยว่าเผ่ากิยองตินเอากัญชา มาให้กบกิน อานองต์จึงคอยแอบบจับพฤติการณ์นี้ดู เพื่อจะไปผทำรายงานให้อาจารย์ฟัง เอาเกรดเอาคะแนน (ซ้ำ) ที่ซ้ำหมายถึงให้ร้องซ้ำ จนกบและงูและคางคก มันใมตัวกันมาร้องหนวกหูที่สระหน้าชาโตอานองเต จนบางครั้งผมรำคาญ แม้จนเคร่องอัดวีดีโอมือถือกระเด็นจากเอวที่พกพา แต่อานองต์ชอบได้ยินเสียงกบร้องอย่างไปชีวิตจิตใจ กบมันร้องเพลงเสียง อ๊อบ ๆ ๆ เสียงนี้เมื่อได้ให้ฟังแล้วจะติดใจ มันดีกว่าคนเมาเหล้ามานั่งร้องไห้อานองต์และเฮเลนนาฟัง กบมันตัวอย่างไรกัญชามันคืออะไร คางคกมันคือตัวอย่างไร เปิดดูในวิกิพีเดีย www.wikipedia.com ชัดเจนดี งูเห่าดอกจันเผ่ากิยองตินเอากระท่มามามดให้มันกินกับ คางคกสด มันจะร้องเสียงเหมือนจิ้งหรีดในกลางคืน อานองต์ไม่เคยจับสิ่งเหล่านี้มันมาทอดพริกผัดกระเพรากิน อาหารป่าอานองต์ไม่ชอบจะชอบก็แต่แกงเลียง มีเห็ด ใบชะอม น้ำเต้า และปลาทูย่างผสมกะปิเคย ต้มให้ร้อนจนสุกและ สิ่งร้อนนั้นต้องแน่ใจว่า คาเตาแล้วก็สั่นกระดิ่ง เรียกมากินกัน เห่าดอกจันมันชอบหังคนเป่าปี่และมันจะมาเต้นระบำให้ดู แต่ถ้ามันกัดคือตายแน่นอนถ้าไม่รีบไปหาหมอไวไว คางคกมันชอบสูบยามวน ถ้ามวนยาให้มันสูบมันจะสูบจนเมากลิ้งติดดิน พอหายเมาแล้วมันก็จะกระโดดไปหากินแมงเม่าต่อไปที่มี หรือถ้างูเห่าดอกจันมาเห็นมันเข้า ก็ชอบกินมัน คางคกและงูเห่าดอกจันชอบกินมันเป็นอาหาร ตรงไหนที่มีคางคกชุมแสดงว่าตรงนั้นมีงูเห่าดอกจัน ที่ชาโตอานองเต ที่ชาโตอานองเตนี้เอง ถามว่าอานองต์ว่า นี่บ้า ไปรึป่าว ที่มาลอกเรื่องนี้ให้คนฟัง เปล่า บ้า ผมพลันตอบ เพราะอันนี้เป็นนวนิยายที่แต่งขึ้นจากความทรงจำ ที่อานแองต์ไปประสบมา ส่วนปลวกไม่ชอบน้ำทะเล และปลวกไม่ชอบน้ำ มดก็ไม่ ชอบน้ำเหมือนปลาที่ชอบที่สด ที่เคยเห็นมา เมื่อลองเปรียบเทีบยบและคิดดู เพราะฉะนั้นเทพเจ้าแห่งทะเลคือปลาจึงไม่ถูกกับเทพเจ้าแห่งดินคือจอมปลวกแน่นอน เพราะฉะนั้นบ้านอานองเตหรือชาโตอ่านองเตจึงเหลือเท่านี้เอง เมื่อเดินดินไปทั่วไปทุกซอกมุมอย่างละเอียดละออ แต่ปราสาทร้างอานองเตนั้นอยู่ใต้ทะเลลึก ที่จมทะเลไปแล้วเมื่อล้านปีก่อนเท่าที่ผมคาดว่าไม่ผิด อานองต์คาดว่าคาดว่าต้องรอน้ำทะเลลดอีกล้านปีจึงจะเห็นปราสาทร้างอานองเต คงตั้งสูงตระหง่านให้คนและนักท่องเที่ยวเห็นอีกครั้ง เอกสารเรื่องนี้สูญหายช่วงอานองต์ไปตะวันตกและ กลับมาจึงได้พบความจริงอันยิ่งใหญ่ยนี้ว่า ความฉิบหายทั้งปวงมันคืออะไร คือว่ามันฉิบหายทีละนิดจนหมดไปทั้งหมดต่อมาไม่ว่าอะไรทั้งเพ พบว่าพายุใหญ่พัดผ่านอานองเตเเละตอนนั้นทุกอย่างสลาย ไปกับสายลมแรง แต่ถ้าถามว่าเมื่อผมไปที่ปราสาทร้างอานองเตที่ใต้ดิน "อานองต์ต้องแปลงเป็นเป็นมนุษย์กบก่อนแน่นอน" แต่ที่จริงไม่ใช่ ทุกสรรพสิ่งต้องมโนยเอาด้วยมนตรา เหมือน คนอาลาดินเหาะกับพรมแล้วบินมา อานองต์ไปปราสาทอานองเตทุกครั้งที่ทะเลตอนนี้ อานองต์ไปด้วยจิตและความฝันด้วยคิดนึกจินตนาการและลงไป แต่มีความจริงแนบท้ายอยู่ภายในความฝันนี้ ด้วยอภินิหารอะไรไม่ทราบแต่ว่ามันมีอยู่ เป็นเอกเทศที่มิใช่ สสารนิยมหรือจิตนิยมในปรัชญา อานองต์จะเล่าให้ฟังเมื่อคิดได้ แต่ว่าปราสาทร้างอานองเตนี้มีอยู่จริง เคยมีนักประดาน้ำดำระเบิดสมัย สงครามที่นั่น เคยเข้าไปเห็นแต่ไม่สามารถเข้าไปในตัวประสาทได้ คือคนที่จะเข้าไปปราสาทร้างอานองเตนี้ได้ ต้องมีกุญแจวิเศษ อานองต์เท่านั้นที่ถือกุญแจวิเศษนี้ที่จะเข้าไปที่ปราสาทร้างนี้ได้ มีคนพยายามลักกุญแจวิเศษนี้จากอานองต์หลายครั้ง โดยเฉพาะสมาชิกและขบวนการก่อการร้ายสายอนุพันธุ์ที่ชื่อเผ่ากิยองตินแต่ไม่เคยสำเร็จลงได้ลุล่วง อานองต์เองก็ไม่ทราบชัดว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นอะไร อายนองต์จึงพาไปไว้ที่ตู้นิรภัยที่ธนาคารอานองเต ที่แสนแพงมีทั้งเงินมัดจำและค่าเช่ารายปี เพื่อรักษาเพียงกุญแจนี้ไว้ให้อานองต์เอง เพื่อไม่ให้จิตสมาธิวิ่งหนีไปจากภูมิปัญญาความทรงจำของอานองต์ต้องคิดมากและเป็นห่วงเป็นใย ตามที่เฮเลนนาแม่สั่งไว้กห่อนจากไปอย่างชนิดไม่หวนกลับมา ชาโตอานองเตนี้ มีไว้ตามที่แม่บอก เพื่อให้ผมนอนเล่นได้ เมื่อผมขึ้นมาอยู่บนดิน เหมือนเช่นบ้านอานองเตหลังจริงนั้นใหญ่มาก ขนาดเท่า รร. ประชาบาลสมัยโบราณทีเดียว แต่บังเอิญบรรพบุรุษทำมาแบบนี้ ผมจึงต้องสืบทอดไปอย่างนี้ จนกว่าทายาทของที่กำลังคลอดจากนางเอกของผม จะเก่งกว่าผม ค่อยมาจัดการมันอีกต่อไปให้ชาโตอานองเตร้างแห่งนี้ (หมายเหตุ) จะไปบอกตำรวจวากบดูดกัญชาและงูเห่าดอกจันมันกินน้ำกระท่อมก็ใช่ที่เพาะว่ามันไม่ใช่มนุษย์ บทที่5 หายไป ความทรงจำ ของอานองต์ถูกขโมยไป เมื่อทราบว่าบทนี้หายไป มันถูกสำเนามาจากง่นเขียนขึ้นแท่นแท่นแล้ว เพราะมันเป็นนัมเบอริค (เครื่องรันตัวเลขอัตโนมัติ) ในเมื่อมันหายไป คำว่าอภัยไม่มีสำหรับนักเขียน เพาะว่าคำ ว่าอภัยของนักเขียนที่จะะมีคือ การทบทวนความทรงจำ ที่เกิดขึ้นในบทนี้แล้วนำมาผสมกันใหม่ให้เหมือนเดิมที่หายไป คำ ตอบคือความจำ บทนี้ คือทะเล ความมืด จินตนาการ ปรัชญารากผักบุ้งที่ใช้กินเพื่อบำรุงสายตา เพื่อต่อสู้กับภัยแสงจากหน้าต่างคอมพ์ที่อานองต์กำ ลังใช้ เพราะเฮเลนนาและปีเตอร์ขี้ลืม (สบถ) ท่านที้งสองจึงเหลือมรดกตกทอดเพียพอสำ รับให้อานองต์ ได้นั่งทำส้มตำ แล ะนอนห้องแอร์ธรนมดาๆ ได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าความจำ ของท่านทั้งสองดีกว่าปกตินี้ ท่านจะไม่ถูกภัยคุกคามในเรื่องนิติกรรมอำ พรางและภัยจากการถูกริดรอนสิทธิมากมายตามาหลังท่านทั้งสองจนท่านตายไป แต่มาที่อานองต์ผู้เป็นทายาทด้วยสายโลหิตคือชอบธรรมทุกประการ มิใช่ความจำ ที่สืบทอดจาก ดีเอ็นเอของท่านทั้งสอง เฮเลนนาและปีเตอร์ ซึ่งไม่ห่างไกลมาก ตามกระบวนการของมัน ถ้าจะอ้างอิงถึง เป็นที่โชคดีที่ในยุคดิจิตอลนี้ ความจำ มิใช่สิ่งจำเป็นอีกแล้ว เพราะทุกคนมีความทำดีเลิศอยู่แล้วในตนเอง สิ่งที่สำ คัญคือสติ เพราะว่าสติมันเป็นเครื่องมือ เครื่องมือกำ หนดให้เราจำ ในสมัยดิจิตอล นี้คือจำ ใ ห้ได้เพียงว่า เปิดกับปิดของทุกอย่างมันอยู่ไหนเท่านั้น ชีวิตูวามทรงจำ ไม่มีภัยปัญหาอะไรเลยที่เราจะมาวอร์รี่ให้มากมายกับมัน หรือจะมีมีปมด้อยกับมันตัวนี้อีกต่อไป เหมือนคนอ่อนเลขแต่เก่งตรรกศาสตร์เท่านั้นเขาก็เก่งเลขได้เพราะจุดสุดยอดของมันตัวเดียวกัน สมัยดิจิตอลนี้ ขอให้เราได้เกิิดมาและสัมผัสกับโลกใบนี้ได้เท่านั้น เราก็สาามารถไปอะไรก็ได้ขอให้รู้ตนเองว่าจะทำ อะไร เหมือน อคีมีดีสยึคกรีกท่านกล่าวไว้ว่า เพียงให้เขามีจุดยืนสักนิดเดียว เขาสามารถหมุนโลกใบนี้ไปได้ด้วยมือของเขาคนเดียวได้ ถ้าอานองต์จำ ได้ไม่ผิด ทะเลสงบเมื่อฝนหมดไปเมื่อเย็นวันนี้ คิดว่าที่เป็นเช่นนั้น เพราะทะเลคงจะเหนื่อย ลมคงจะหมดแรงพัด ทะเลจึงเงียบไป สมิงสาวโทนา สางวในมโนคติของอานองต์คนหนึ่งที่ชาโตอานองเตที่สี่นี้ มาชวนให้อสานองต์ไปหาแมงภู่มาต้มกิน ให้อน่ยอยากได้อานองต์ไปทะเลกันเพื่อหาหอยแมงภู่มาจต้มกิน ตอบเธอไปด้วยความเห็นใจว่า ว่ากลัวงูทะเลกัด เธอจึงเงียบไป ทันที และทันทีที่่เห็นคนประมงเรื่มออกจากทะล ตอนหัวค่ำ ไปหาจับปูปลาและหอยทะเลมาให่้เรากิน เมื่อถึงจุดนี้จึงได้ความคิดนี้มาว่า ความมืดที่เราปฏิเสธหาได้ไม่ เพื่อที่จะไม่ให้ คือมิให้มันมี นี่ยังงัย ความมืดคือธรรมชาติที่เราไม่เคยชนะมัน แต่เชื่อว่าด้วยเงินเราสามารถชนะสิ่งนี้ได้แป๊บนึง แสงอาทิตบ์สามารถชนะความืดได้ แต่ก็เฉพาะในกลางวันเท่านั้น มนุษย์สามารถชนะความมืดได้ เพราะใช้แสงจากพลังงานไฟฟ้่า ไม่มีใครกล้าบ้าเดินในที่มืดได้ถนัดแน่ถ้าไม่มีอย่างต่ำ ไฟฉาย ในปรัชญาของสิ่งมี ชีวิต เช่น เรา เมื่อคิดแล้ว ไม่มีชีวิตมันจะมาจากจุดไหน มันก็เป็นคือว่ามันน่าจะจากปรัชญาการทั้งนั้น เคยมีึคนถามว่าปรัชญาคืออะไร คำ ตอบมีมากมายจนไม่รู้จะที่ตอบว่าอะไร เพราะถ้าขืนตอบไปมันกินเนื้อที่แน่นอน เ พราะคำ ตอบนี้ต้องกินเนื้อที่ สูตรเดิม คือคนรักในความรู้ การแสวงหาคือปรัชญา แต่ในทัศนะคติของอานองต์ ปรัชญาคือทุกสิ่ง เมื่อคิดมันและสมัผัสกับมัน มนุษย์ฝันก็เป็นปรัชญา อยากถูกรางวัลที่หนึ่ง ก็ปรัชญา คิดอะไรเป็นปรัชญาทั้งหมดแม้แต่หิวข้าวก็เป็นปรัชญาเพราะเมื่อเราหิอวเราก็ต้องขวนขวายหาข้าวมากิน คิดว่าอย่างนั้น เหมือนเคยมีคนถามว่า ต้นไม้อะไรที่เห็นได้ด้วยตา เป็นยา คำ ตอบคือต้น ไม้ทุกชนิดเป็นยาหมดท่านครูท่านตอบมาอย่างนั้นและถูก อันนี้ทีี่คำ ถามต่อไปว่า จะหาปรัชญาและเห็นปรัะชญาได้อย่างไรจึงจะเห็นตัวปรัชญา คำ ตอบมี คือมันมีวิธีีการ คือไปให้เขาจัดลำ ดับความคิดอย่างมีระเบียบให้ ให้เขาจัดสมองให้ไป ได้ จนหายอยาก เหมือนคนอยากเรียน เรียนๆ ไปก็อยากเลิก จบปรัชญาพอดีสูตรหนึ่งโดยนัยยะนี้ อาทิเช่น เช่นการดูหนังสือเพราะเราชอบก็เป็นปรัชญาแต่ที่อาจจะมองข้ามไป เพียงอยากรู้ว่าอะไรเพียงเท่านั้น นั่นคือ ปรัชญาเริ่มได้เลย กันที่ ในตัวสมองของคนเลย ไม่ต้อไปไกล อ านองต์าว่าอย่างนั้น และเชื่อว่าไม่ผิด เหมือนเราหิวข้าว คำตอบคือต้องไปหาข้าวกิน กินอิ่มจบไปเรื่องอื่นต่อแสวงหากันไปไม่มีที่สิ้นสุด บทที่ 6 สายตาอานองต์ล้าไปเพราะไฟคอมต์ สายตาอานองต์ล้าเพราะไฟคอมต์ แต่พยายามแก้ไขให้ดีขึ้น แว่นกรองแสงจากคอมต์ผมซื้อมาจากเกาะภูเก็ตไม่ทราบว่าวางไว้ที่ไหน อานองต์ลืมสนิท เมื่อจะหวนกลับมาใช้มันอีก แม้ข้าวเหนียวมะม่วง และปลาทูตัวงามเมื่อกินข้าวไปเอาไม่อยู่ นอกจากจักษุแพทย์และไปแสวงหาและไฝ่รู้ฝึกเอาเองเท่านั้น ที่ตนเองสามารถหาแสวงได้ดวยตนเอง ด้วยวิธีทางเลือก น้ำตาของอานองต์ไหล อานองต์ว่าจะมโนไปเองว่าเผ่ากิยองตินนั้นมีอยู่ ถ้าอานองต์ไม่คิดมันมันก็คงไม่มีอะไรอยู่เพราะอดนองมาก งานหนักสมองมาก แรงหลายแรงเพื่อต้านสงครามกับเผ่ากิยองตินในทุกรูปแบบ แม้อานองต์จะหยุดคิด แต่ว่าคิดมันดีกว่าเพราะจะอ้างอิงได้ เมื่อภารกิจมองทะเลของอานองต์หมดไป เหมือนการสร้างสมมุติฐานอะไรสักอย่างขึ้นมา เพื่อนมนุษย์ตนหนึ่ง สั่งสอนอานองต์ว่า "อย่าดื่มเหล้าและสูบยามวนใบตองแห้ง เพราะมันเป็นตัวทำให้เบาหวานกำเริบ" ทันทีที่เตือนอานองต์เอาหนักเข้าไปอีก เพราะถือานองต์อว่า "หนามยอกให้เอาหนามบ่ง" แบบวิจัยเชิงลองของอานองต์ อ่านเจอแล้วอย่าเชื่อผมนะ แต่อานองต์เชื่อว่าจงทำดีทุกชนิด จนกว่าความดีทุกชนิดจะหวนกลับมา และอานองต์ก็จะเป็นมนุษย์ที่จะได้ดี แล้วจะดีแน่นอน คือเอาว่าตอนนี้เคารพกฎหมายแล้วหลับสบาย เรื่องนี้น่าจะเชื่อและควรเชื่ออานองต์จากเผ่าดิบองจิ อันเผ่าฝ่ายดี ตามมโนคติในจินตนิยายนี้ ที่บอกให้เอาอย่างความดีสากลทุกชนิด เถิดเพื่อนเอ๋ย แล้วจะดี จะดี เหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งทุกงวดวัน และได้ข้อสรุปอันเป็นข้อยุติ ที่ไม่เสียอะไร และไม่เสียเวลาคิด อานองต์เชื่อมอร์เตอร์เวย์สายนี้ในกาลเวลาผ่านไปต่อ ๆ มา แม้ทางเลือกอานองต์ มีทางเดียวนี้คือ จะขอรอดอยู่และอยู่รอด เพื่อรักษามันคือความดีอันแสนคสเป็นคุณสมบัติอันดีงามติดตัวเหมือนความคมที่ติดมีด แต่อานองต์ไม่มีเวลาสำหรับสุขภาพของตัวเอง แต่ว่าเวลาไปทะเลมีมากมาย เพราะอานองต์เชื่อว่า ทะเลเป็นเพื่อนยากก่อนตาย เพราะคลื่นทะเลนั้นอมตะ ไม่เชื่าไปพิสูจน์ดู น้ำทะเลคือคลื่นที่ตาเห็นและนิยามมัน คลื่นมันซัดเข้าหาฝั่งดังโครม ๆ ครืนๆ ตลอดเวลา ที่มันอหังการทั้งวันไม่มีหยุดหย่อน และพักผ่อนเพื่อเปิดโอกาศให้มันได้สงบนิ่ง อย่างชนิดมิไหวติงสักวินาทีเดียว มันไม่เคยเหนื่อย แม้เพื่อนมันคือลมแรงพัดมาเยี่ยมมัน มันยิ่งสนุกกันใหญ่ เหมือนหมาพบแมวแล้วกอดกัน เพราะความหลังที่มันเคยพบกันอยู่กันในบ้านหญ่ที่เคยอดีตเคยตรึงตรา และน้ำคลื่นทะเลมันไม่เคยละเมิดแผ่นดิน เพื่อจะท่วมขึ้นมา ใคร ๆ ดูแล้วเห็นเองได้ด้วยตาไม่ต้องส่แว่นห้หนักโหนกจมูกสักนิดเดียว วันนี้อานองต์ถือโอกาศไปดูทะเลมา พระอาทิตย์แสงมันร้อน ส่วนทะเลนั้นแจ่มใสอย่าบอกใคร สดชื่นมากภายใต้เงาปกคลุมของต้นสนทะเลที่มีกลุ่มหนึ่งที่ขึ้นอยู่ที่ชายทะเล "อนาตามัน"ที่อานองต์ไป ต้นไม้เพียงหนึ่งต้น ที่มันตระหง่านตั้งอยู่เพื่อคนร้อนๆ มา จะได้พักร่มและพักผ่อนและหย่อนจน ตอนเที่ยงแห่งกลางวัน เพื่อจะยืนกินลมทะเลไปทางทิศตะวันออกอันแสนที่น่าจะพอจ ถ้าแม้นได้กระทำ เพื่อให้อริยาบถแห่งความอยาก จะเสนอแวบคิดแบบจิตนึกขึ้นมา บรรยากาศ มันน่ายืนมองห้นานสุดแสนนาน เพราะน้ำสะอาดจะอาบมีไว้บริการตนเองตลอดเวลาที่ชายฝั่งทะเลตอนนี้ ไม่ต้องซื้อเอาได้ฟรี ส่วนครขจะให้อะไรตอบแทน เจ้าแห้งทะเลไม่เคยติดใจอะไรเลย และ เพราะถ้าลองคิดมองสักนิด ออกไปไกล ๆ สดลูกหูลูกตา ออกไปมาก ๆ จะพบมหาสมุทรแปซิฟิค มหาสมุทรแห่งสันติภาพ ที่ทำห้โลกแห่งอดีตเคยพบกัน ช้าางหน้า ยังไม่มีโอกาสมายืนรอนัดหมายเพื่อบางคนแล่นเรือมาเยี่ยมที่ชายฝั่งทะเลนี้อีกด้วย เพียงมือถือผ่านไปเท่านั้นเอง โอ้ย มันสะดวกจริงๆ ที่ อานองต์เคยวาดฝันเอาไว้ มาหาส้มตำกิน หอยยำ คงสนุกดีแน่นอน ไฟมี ฟืนมี รถสกู้ตเตอร์มีให้เช่าวิ่งไปตลาดข้างทะเล"อะนามาติ" นี้ไกลนิดเดียว โจรนะไม่มีที่นี้ เพราะมันไม่ขาเอาแรงเดินมาอีกแล้ว เพราะเทพเจ้าจับมันหมดแล้วเมื่อวานนี้ ที่สองเผ่าทำสงครามกัน และเผ่าดิบองจิฝ่านยดีชนะโลดแสนที่อานองต์จะสดุดี แต่สักวันหนึ่งต้องมี เพราะทะเลและท้องฟ้า และหาดทรายและเปลือกหอยที่นี่มันอมตะสำหรับอานองต์ ที่นี่มุมหนึ่งของ "อะนามาติ"ไม่มีเผ่ากิยองตินมาแกล้งอานองต์อีกแล้ว แต่เสียดายมันมีเพียงพันกิโลตารางเมตรกว้างเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่เป็นไร อานองต์ให้กำลังใจตนเอง เมื่ออานองต์หยุดคิดถึงมัน พลันภาพแห่งแม้เผ่ากิยองตินจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นเป็นพยานให้ลูบคลำได้ แม้แต่ว่าพฤติการณ์มีลักษณะที่อานองต์เอ่ยถึง ถือว่ามันเป็นทหารและทาสของความชั่วของเผ่านี้ทั้งหมดที่สูญหายไปหมดแบ้วกับความดีของเผ่าดิบองจิ ตามนวนิยายที่กล่าวมาแล้วสามสี่เล่มเกวียนนับเอา และขณะนี้ที่เผ่าดิบองจิ เผ่าฝ่ายดีก็ประทับอยู่บนขวัญและความฝันของอานองต์เองตลอดเวลา เมื่ออานองต์อารมณ์ดีขึ้นหรือร้ายลง ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการที่ เผ่าดเผ่าหนึ่ง คิดจะปกป้องหรือทำลาย ถ้าที่มันคอยปกป้องเอาชีวิตของอานองต์เพื่อการต่อสู้กับเผ่ากิยองติน เผ่าชั่วที่น่ากลัวของอานองต์ตลอดมา แล้วความดีนั้นจงชนะมันและฝินทำไปเลย อานองต์จะไม่ว่าอะไรมันนั้นที่ดีแสนดี จั๊กแม้สักคำเดียว อานองต์ต้องชนะ หรืออาจชนะในนามของผู้แพ้ก็ยังดี แต่อานองต์ก็ถือว่าตนเองต้องชนะ เพราะคิดดีเป็นจิตวิทยาห้กับตนเองอันคมคาย แม้อานองต์จะตายลงอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางสายลมทะเลเย็นที่หาด "มิกาเมะ"นี้ก็พอใจ เมื่อทราบว่าความดีอันยิ่งใหญ่ได้ชนะความดีอันใหญ่น้อยและความชั่วแม้อันเล็กน้อยเท่าที่อานองต์เคยสะสมและทำมา อย่างนี้ในตอนเที่ยงวัน แต่อานองต์ เมื่อมาถึงทะเลก็ปล้ำแต่จะคิดถึงหอยแมงภู่ ที่เกาะตามไม้แห้งชายฝั่งทะเลที่เห็น เพื่อจะได้กินมันเพราะรสหวานหอมอร่อยดีเมื่อทำให้สะอาดแล้ว นี่มันคือมิติ มันเหมือนกับแนวคิดของเหล้าไวน์และปรัชญาและจินตกวี และเรื่องการกินการนอน อย่างอันอมราเลยทีเดียว อย่างแนวคิดปรัชญาและความทรงจำ ของท่านคาลิล ริบยาน นักเขียนอิสลามนามอุโฆษท่านหนึ่งที่อานองต์เคยอ่านเจอที่ห้องสมุดเมืองออกซฟอร์ดมา ท่านชื่อว่า คาลิล ริบยาน ถ้าตะเบ็งเสียและจำไม่ผิดครู วันนี้เมื่อวันนี้ไม่มีเทพอันเชิญให้อานองต์เลย แต่ตนเองเชิญตนเอง ดิ่งดำทะเลลงไปที่ปราสาทอานองเตทันทีด้วยมนตราที่พร่ำขยันท่องและท่องมาเมื่อวาน หลังจากนั้นหกถึงแปดชั่วโมงผ่านไป โดยมีแต่ภาพหลอนอันศักดิ์ของเทพเจ้ากัญญามาเพื่อนของเค้าเตสซูซิมะ เดินมาเพื่อนบำเรอ โดยที่เราไม่มีเพศสัมพันธ์ต่ากันแบบครึ่งเปลือยครึ่งเสื้อสวมส่เดินเล่นด้วยกันมา ตามเล่น ดำเล่นน้ำทะเลด้วยกันตลอดเวลาในบ่ายหลังเที่ยงวันนั้น หลังจากที่อานองต์เสร็จพิธีกรรมการท่องเที่ยวอันสดุดีและสนุกดีนี้แล้ว อานองต์จึงกลับมาที่ ชาโตและกระท่อมอานองเตภาคบนบก เพื่อฟังเพลงของ Bob Acri (ดูยูทูบ) และหลับไปอีก จนฝนห่าใหญ่ตามมาระหว่างหลับ จึงหลับต่อไปอีกอย่างหนักพอสุดแสนที่จะอธิบายห้ครฟัง เพราะเผ่ากิยองตินจะแอบอิจฉาเอา ทำให้อานองต์มีรายการที่จะต้องต่อไปอีก จิตสมบูรณ์คิดด้วยอารมณ์อันโปร่งใสเกิดขึ้นมา ได้หลังจากหลับและตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาที่มีแต่ภาพไม่มีเสียง ที่งวางไว้ที่ข้างเตียงนอน บอกเวลา พบว่า อานองต์หลับไปถึงสองวันติดกันอย่างสนิท เพราะพบว่าวันตามหน้าปัดนสากาโต๊ะที่เปลี่ยนไป ต่อมาเพื่อกินน้ำเมื่อตื่นขึ้นนช่วงนั้น คิดว่าจนกว่าสงครามชีวิตจะสงบ และขึ้นมาต้องทำอะไรจำเจอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า อีกแล้วอีกเล่าต่อไป อย่างชนิดไม่รู้จักเต็มนอารมณ์และกาลเวลา พบว่ากาลเวลาหนีออกไปจากตนเองตลอดเวลา แต่ตัวเองไม่เคยหนีจากตัวเองไปเลย เมื่อเวลาผ่านพ้นไป มันเป็นสัจธรรม อันนี้คือนวนนิยายของอานองต์ มิใช่อนุทินบันทึกประจำวันของอานองต์อะไรเลย และอานองต์ละเว้นสร้างสำนวน เพราะชาโตอานองเตเป็นนวนิยายสัจจนิยมใหม่ของอานองต์เอง ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาและสิ่งลึกลับศักดิ์สิทธิ์อะไรเลย แต่มันเป็นสำนวนที่คิดใช้ขึ้นมาจากความจำที่แนบแน่นและไม่เคยที่จะละติด และลืมเลือนมันจากความทรงจำและเสพเรื่องที่ผ่าน ๆ มา มันจึงเป็นเช่นนี้เอง เหมือนนกที่อยากจะจิกกิผลไม้สุกงอมคาต้น มันจึงพูดสียงนกได้เพราะพริ้งอย่างเสียงเพลงขั้นมาว่า "อยากกิน และอยากกิน" นกฮูกและนกกาผีเพื่อนใจของอานองต์ที่เขาพอใจเฝ้าสุสานของเฮเลนนา มันเกาะที่หน้าต่างสุสานทรงโรมันหลังคา มองห่างจากต้นมะละกอเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันเห็นอะไร ขณะที่นกโพระดกที่เผ่ากิยองตินแอบพาไปเลี้ยงหรือให้ไปแอบกินมะละกอ จนกินหมดสงสัย แต่โพระดกนี้อานองต์อนุญาตให้ละเมิดสิทธิที่นสุสาน"อะนะภัรตี" นี้ได้เพื่อที่จะกินอะไร สิ่งที่ประกาศไว้หน้าสุสานนี้คือ มีผีเสื้อหนี่ง นกสอง ที่ถูกอนุญาต และอ่นองต์ได้ขึ้นทะเบียนกับเทพเจ้เาแห่งความจริงนั้นเอาไว้ อานองต์สั่งจับคนรังแกมัน ตอนอานองต์ครึ่งหลับครึ่งตื่นภาวะ และได้ยินนกกวัก และนกต้อยตีวิด และกบ และตั๊แตน ร้องเพลงให้จ้อและแซ่ด และสงบอย่างมีจังหวะ ที่นี่เต็มด้วยเสียงไปหมด แม้แต่ความเงียบก็เป็นเสียงชนิดหนึ่ง แม้สมาธิก็มีเสียง ในปรากฎการณ์ที่ชาโตอานองเตที่สี่แห่งนี้ ที่น้อยคนนักจะเคยได้ยิน ปรากฏการณ์เช่นว่ามานี้ รวมมทั้งปรากฏการณ์นกฮูกฝูง และนกเค้าแมวฝูงบินมารวมตัวประชุมกันที่ที่สุสาน "กิละมะชาตา" อันเป็นสุสานใหญ่กลางเขา"คูมิ" ที่โลกของอานองเตปกปิดเอาไว้อีกด้วยและอีกด้วย ทั้งหมดสถานที่ที่กล่าวไว้ทั้งหมดเป็นอณาบริเวณอันกว้างใหญ่ที่ตั้งอยูกลางทุ่งของเมืองอานองเต ที่ห่างออกไปจาก "ชาโตอานองตีที่สี่ " เพียงสองกิโลเมตรมอง |
สมาชิกหมายเลข 3538694
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] จึงจือหยาง (jjy) จบไฮสกูล ได้ปริญญาสองใบในไทย เคยเป็นนักเรียนเก่าในอังกฤษและฝรั่งเศส สอบได้ Dip-in-JourจากLondon School of Journalism,MIOJ.ในประเทศอังกฤษ สอบได้นักวาด ว.อ.(แนวนามธรรม)... เป็นสมาชิกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย..มีสัญชาติไทย (แซ่แต้) พ่อมาจากมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
Friends Blog |