All Blog
ตอนที่ j158 นวนิยายเรื่อง"บ้านอานองเต"ภาค2


j158

ผมฟังเพลง
CHOPIN - Nocturne No 2 in E Flat Major
Op 9 No 2 (60 minutes)


จากการสนธิในเรื่องนวนิยายแห่งบ้านอานองเต
ที่เขียนมาถึงภาคสองนี้
จากอนุสนธิเริ่มที่การสืบค้นญาติ
และมีญาติทั้งหมดเป็นลบ
เลยทำให้ทุกอย่างเป็นลบไปหมด
จนผมเป็นบุคคลลี้ลับไป
มีบัตรประชาชนเท่านั้นที่มีความจริงของผมอยู่
และเท่าที่ผมมี

ที่จริงบัตรประชาชนผมมีประวัติสับสน
เพราะว่าย้ายไปย้ายมาเพราะชีวิตพลัดพราก
พร้อมการมีบารมีเทียมในสังคมที่ผมอยู่
จวบกับระบบยังไม่ไอที

สมัยนั้น


บางครั้งผมไปทำอะไรที่อำเภอเพียงบอกอะไรเขาไป
ไม่ต้องมีหลักฐานพยาน
เขาก็ทำให้

เพราะมีคนเดียว

คำว่าผืดไม่มี

ถ้ามีสมเหตุผล

มิใช่สินบนเพื่อเอาเปรียบสังคมอย่างใดไม่





และเพราะบารมีเทียมที่ผมมี
โชคดีที่ ยุค ไอ ที
มารองรับชีวิตผมอย่างถูกต้อง
ทุกอย่างจึง
ใช้ไอทีหมด



ความจริงคือ ไอ ที
คือ ดีเอ็นเอ

ที่แน่นอนมันตอบคำถามได้หมด

ถ้ามีอะไรตลก



ไม่มีอะไรสามารถไม่เป็นความจริงได้
เมื่อจะพิสูจน์อะไรใรยุค ไอที

ผมจึงสบายเท่าที่ผมเป็น


เอาละมาที่นวนิยายเรื่องบ้านอานองเต
ผมพยายามทำให้มันเป็นละครชีวิต
ทั้งจริงและสารคดีประกอบกันไป
เพราะอาศัยการอ่านเรื่องนวนิยาย
เรื่องละครแห่งชีวิต
ของท่าน มจ อากาศดำเกิง
และอ่านนวนิยายและงานของ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์
ที่เป็นนวนิยายชีวิต

ผมซึมซาบในชีวิตของม่านทั้งสองเป็น

จนไม่คิอยากจะเป็นอย่างท่าน

แต่ว่าชีวิตผมเป็นเช่ยนั้นเอง

คล้ายกับท่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว

เม่ิ่อเล่าให้หมดเปลือและไส้ใน

แบบผัดก๋วยเตี๋ยวจานสามช่าแห่งชีวิตจริง


ผมตีความว่าอย่างนั้น

แต่ว่ามาที่ผมผมมิได้เป็นเจ้า


แต่เป็นสามัญชนรากหญ้า

และ
เกิดมาในกองฟาง
แต่มีคนรู้จักและได้รู้จัก และสมาคมและมีสถาบันใน
วงนอกวงในมากพอสมควรทั้งมโเอาและที่ไม่มโนเอา

ว่าอย่างงั้นๆ



ในชีวิตที่แล้ว ๆ มา

แม้ว่าพ่อจะมี"แซ่แต้" ที่ท่านบอกว่าเป็นแซ่เดียวกับ
พระราชบิดาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซี่งพระองค์ท่านมีเชื้อสายจีน
เหมือนที่ผมเป็น


เพราะพ่อผมมาจากเมืองเดียวกับพระองค์ท่าน

ตามที่พ่อบอกและหนังสือกล่าวและประวัติศาสตร์เสริมครบ




และพ่อผมนับถือกราบไหว้ท่าน

และผมก็ไหว้ตาม

จากปกติผมไหว้อยู่แล้ว

เมื่อคำว่าเจ้ามาเหนือหัว


แต่ผมจะไห้หนักเข้าไปอีก เมื่อพบว่า

พ่อบอกว่าท่านแซ่เดียวกันกับเรา



และผมรักเจ้าส่วนในการเมืองและผมนั้นไม่เกี่ยวข้องแวะ

เพราะน่ากลัว



ผมทำมาหากินให้ดีเป็นพอใจ

ผมจึงมิใช่เจ้า


และไม่สามารถนับมานับไปและเขาไม่นับกัน


ถ้านับจะต้องนับ
มาทางราชการในสายงานท่านตั้งให้มิใช่นับเอาเอง
ส่วนประวัติศาสตร์
และพงศาวลีวิทยาพิสดารจะอย่างไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง


เอาละมาที่นวนิยายบ้านอานองเตนี้
นวนิยายนี้

มิได้ไปเกี่ยวกับเรื่องจักรๆวงศ์ๆ
แต่ว่าเกี่ยวกับชิวิต

ธรรมดาของคนธรรมดา

แบบราษฎรเต็มขั้นและรากหญ้าสุดๆ




นับเอาที่ทางคติชนวิทยา และมานุษยวิทยา และมนุษยศาสตร์สังคมมิติ

ของผม


กล่าวคือเรื่องนวนิยายนี้

จึงปรากฏมาดังที่ว่ามาทั้งหมดในภาคหนึ่ง
และภาคสองต่อมานี้เอง


ยอมรับว่าเรื่องมันสาละวน วกไปเวียนมา
บางครั้งสับสน
เพราะมันเป็นมโนคติแห่งานสร้างของผม



หนัง นำฉากสถานที่จริง

และบุคคลจริงบ้างมาประกอบแต่กรณีบุคคส่วนใหญ่ปกปิด


เพราะยังไม่สมบูรณ์พอที่จะเอ่ยอะไรออกมา


นิยายฝันเพ้อนี้แม้จะกระเด็นออกไปนอกกรอบบ้าง
แต่สรุปมันเป็นละครชีวิตว่าอย่างนั้น

ผมเป็นพระเอก

และเป็นผู้อำนวยการเองในการถ่ายทำและผู้กำกับเองไปในตัว
สาเหตุเพราะว่า
ผมไม่รู้ว่่าจะทำอย่างไร
ให้เรื่องที่ผมเขียนนี้

มันลงตัวและไม่มีปัญหา
นอกจากการใช้วิธีนี้

อย่าง่ายๆ



อันที่จรงผมได้ความคิด

มาจากตอนหนึ่ง

ที่ผมเคยแสดงหนังเป็นตัวประกอบที่เรียกว่า
สตันแมน

ซึ่งช็อตนี้ในหนังต่างประเทศ

ที่ผมเข้าไปตืด



เรื่ง  "เชือดนิ่มๆภาคสอง"
ฉากฉากเชียร์มวย

ผมจึงพบความจริงว่าหนังนั้นทั้งหมดไม้ใช่เรื่่องจริง
แต่เป็นการจัดฉากจากนิยาย
มีชีวิตจริงแทรกตามที่ตาคนดูเห็นเป็น



แต่ตาคนแสดงเขาไม่เห็น

เมื่อมันฉายในใรงขึ้นมา


มันจึงดูเป็นเรื่องจริงหมด



แต่ว่าทั้งหมดมันมาจากการจัดฉาก

เช่นที่ผมพบตอนร้องให้

หรือทำในโหมดคลิกเป็นตัวประกอบย่อย
มีสีหน้าเหมือนเรื่องจริง



อาทิเช่น


เวลาเขาให้ผมได้กลิ่นธูปทำให้ผม
มีอารมณ์เหมือนจริง

เมื่อ
ตอนถ่ายเข้าไปในหนัง
ทำให้ดูเป็นเรื่องจริง
ผมคิดว่าอย่างนั้น

ด้วยสีหน้าและอารมณ์เพราะกลิ่นธูปที่ทำให้ผมแสบตา


ผมว่าอย่างนั้น

ผมมิได้ถามว่าทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น





สรุป

เพราะฉะนั้นหนังที่เราดูเกิดจากการจัดฉาก
คือตัวละคนรต้องแสร้งทำให้เหมือนจริง
สมจริงที่สดจึงดีเด่นสนุก




และฟังบทถึงบท

ใครทันบทก็จะมีคนนิยม
คือแสร้งทำให้จริง
ได้เหมือนของจริง

เช่น ท่านเซ่อร์ชาลี แชปพลิน
คนนิยมหนังที่เขาแสดง
อันนี้ผมมาทราบทีหลังว่า
บทบาทเขาท่านไม่มีอะไรมาก

นอกจากหนวด และเครื่องแต่งตัว และลีลา

แต่เพราะเทคนิคการถ่ายทำ

ทำให้เขาดูตลกมากและสนุกจนติดใจผมอย่างไม่ลืมลง


คือหนังที่ท่านแสดงออกมาเหมือนการ์ตูน
แมวไล่จับหนู



คนดูชอบอันนี้เป็นต้น
และผมก็ชอบ

ผมเข้าใจอย่างนั้น



ส่วนที่ผมเคยแสดง
อันนี้ผมเล่นได้ช็อตเดียวนะ

และแนวคิดที่ผมสร้างนวนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา
นั้นเลยทำ
อย่างที่มะนเป็น



ผมจึงทำให้ผมทำเป็น

ด้วยการจัดฉากตัวเองให้เป็นหนังในละคนเรื่องบ้านอานองเตนี้ไปในตัว
ที่ตามนิยายที่ผมเขียนขึ้น


เรื่องราวนีื้จึงกลายเป็นนวนิยาสร้างหนังเรื่อง
"บ้านอานองเต" ว่าอย่างนั้น


ผมไมทราบว่าทุกคนที่เจอกันกับผมโดยบังเอิญครึ่งทางนี้

จะรับได้หรือไม่


แต่ตอนนี้ผมตรวจพบว่า
มีคนติดตามให้กำลังใจผมประมาณสามหมื่นคน
ซึ่งคาดว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับความไวของเนตทั้วโลก




ผมพบตัวเลขนี้ได้จากสามเดือนที่ผ่านมา
เมื่อผมทยอยพานิยายเรื่องบ้านอานองเตนี้มาขึ้นแท่น

ที่ผมลืมเลือนไปหมดแล้ววัยสนธยามาถึง

มีอะไรผ่านไปบ้างที่แล้วๆมา



ชีวิตผมนับตามสภาพอยู่ได้

มาถึงหกแผ่นดินทีเดียว



แต่นับเอาความจริงอยู่ได้สองแผ่นดินเท่านั้น
ส่วนแผ่นดินที่สามในชีวิตผม
ผมไม่ทราบ
และไม่รู้จักที่จะทำนาย
เพราะผมไม่ได้เป็นหมอดู
ว่าผมจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่

แต่ขอให้พระองค์ท่านจงมีพระชมายุยืนนาน

ในแผ่นดินที่ผมสังกัดอยู่ตอนนี้



เชื่อว่าที่ขอเป็นต้องยาวเกินกว่าการสืบค้นญาติผมแน่นอน
เป็นเพราะว่า
อันที่จริงความในและความนอกในการสืบค้น



ของผมพบว่าในส่วนของผมยังไม่เคลียร์
แม้ผ่านไปหลายเล่มเกวียนแล้วเมื่อผมเทียบเทียมเอา



ต้องว่าไปอย่างนี้
มันจึงยาวอย่างนี้

มันจึงยาวอย่างนี้



จึงพบความทั้งสองได้
คือนอกและในได้เม่อใช้วิธีนี้



วันนี้เผ่าดิบองจิมาจ้งว่า
ผมจึงพบว่า
สาเหตุที่ต้นอินจันขอองแม่ตายไป

เพราะหมอยาบางคนไม่มีคุณธรรม
มาขุดเอารากไปทำยาขาย
ขณะขุดแม่ไม่มีเวลาไปดู
ต่อมาต้นอินจันต้นนี้ของแม่ตายไป



เรื่องต้นอินจันนี้แม่รักมากและแม่ดูแแลเป็นพิเศษ

ผมจำได้

ผลอินจันหอมเย็นนะผมว่า





และจนต้นใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงสิบแปดนิ้ว
ผมเห็นแม่รักมาก



เลยซื้อมาใหม่อีกหนึ่งต้น

เพื่อทดแทนต้นที่ตายไป
คาดว่าอีกนานมากจึงจะ
โตเส้นผ่าศูนย์กลางได้อีกเหมือนต้นเก่าคือสิบแปดนิ้ว
ของแม่



แต่ผมจะพยายามทำรดน้ำและปุ๋ยตามหลักนีโอเกษตรกรรมของผม


เรื่องหมอยาและพฤติกรรมและความจำเป็น
ผมไม่มีความคิดเห็นและเป็นอนุญาโตตุลาการให้



เพราะผมไม่มีหน้าที่

แต่การมีพฤติกรรมผิดปกติของหมอยา

แน่นอนมีปัญหาเช่นกัน

ผมเชื่อว่า



ปัจจุบันแพทย์แผนปัจจุบันหรือแผนวิทยาศาสตร์ที่ผมเข้าใจ
เจริญมาก


แต่ยาแผนไทยแผนโบราณก็ยังจำเป็นอยู่

คือหมอยาพิ้นบ้านทุกชนิดยังจำเป็นอยู่



ปกติที่บ้านอานองเตเอง


มีเครื่องยาครบชุดเพื่อรักษาตนเอง
และบางครั้งเพื่อนบ้านมาขอ


เมื่อมรดกตกทอดมาถึงผม
พบว่าเครื่องยาที่บ้านนี้สูญหายไปเกือบหมดแล้ว



ส่วนที่เหลือผมมอบให้หน่วยงานบุคคที่เชื่อถือได้ไปรักษา
และผมเป็นทายาทที่ไม่กลับมาใช้มันอีก
แม่ว่าแพทย์แผนโบราณนั้นยังจำเป็นอยู่

เท่าที่ผมเชื่อ

อันนับเรื่องด้วยเรื่องเวลาและวารีของผม



เมื่อไม่มีเวลาไปหาหอแผนใหม่ที่โรงพยาบาล

หมอพิ้รย้านจึงเป็นทางเลือก




อนึ่ง
มันก็เป็นทางเลือกของผม

เหมือนกันเมื่อแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถช่วยได้

การมายืมมาเอาต้นไม้ไปทำยานั้นมันธรรมต้องพึ่งพากัน
ตามอัตภาพ
ชนิดน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า

ซึ่งเป็นธรรมดา

แต่ทราบว่าเผ่ากิยองตินมีแผนทำลายบ้านอานองเต
จึงแสร้งเป็นไข้เพื่อเข้ามาเอาต้นไม้หวงห้าม ต้นไม้สะสมของแม่


ที่


บ้านอานองเตให้้ได้


โดยแสร้งว่าเป็นไข้ชนิดนี้
แล้วให้หมอยาไปปรุงยา
และขาดเครื่องสมุนไพรซึ่งมีที่บ้านอานองเตแห่งเดียว
ผลคือเผ่ากิยองตินสามารถเอาและทำลาย
ต้นไม้หวงแหนของบ้านอานองเตไปได้



สมใจนึก

แต่ถ้ามันไม่บริสุทธิ์ใจ
เรื่อกฏแห่งการกระทำคงไม่อโหสิให้แน่


จะพบว่าลูกไม้เหลี่ยมของเผ่ากิยองตินนั้นลึกพอสมควร

ทางแก้คือเราต้องปลูกมาก   ๆ

ผมว่านะ



และส่งเสริมหรือเรียกร้องให้รัฐปลูกมาก ๆ

สุดแท้แต่การเมืองจะอำนวย


ผมจำได้ว่าตะไคร้หอมผมปลูกไว้อย่างดีจำนวนมาก
เป็นแถวเป็นแนวตามสูตร



ผมทิ้งบ้านไปสองปีกลับมา
เผ่ากิยองติน

อันเป็นเผ่าในมโนคติของผม



ที่จะใช่หรือไม่ใช่

แต่

ถ้าใคร

ประกอบตัวเองเป็นอันมีรูปแบบเดียวกันหรือคนนิสัยเสีย
ผมถือว่าเป็นเผ่ากิยองตินทั้งหมดโดยนามธรรมของผม



ที่ต้องระวังป้องกันและต่อสู่้กันต่อไป
เขามาเอาไปโดยพลการเพื่อทำยาประคบ

ในส่วนต้นตะไคร้หอมนี่




เมื่อถามไม่มีใครรับ

แม้บางครั้งจับได้

ผมเตือนบอกว่าอย่าทำอย่างนี้
แต่เขาก็ยังทำเพราะอ้างว่าป่วยหนัก
อันนี้ผมแนะให้เขาปลูกเพื่อมีไว้ใช้ต่อเนื่อง
และแนะให้เขาไปซื้อที่ในตัวเมือง

แต่เขามมักง่ายยังฝ่าฝืนตามเคย

ผมก็ไท่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ร้องไห้เป็นคำตอบก่อน

ที่จะว่าอย่างไรอื่นต่อไปอีก




อันนี้เป็นลักษณะเบี่ยงเบนทางมานุษยวิทยาที่น่าเป็นห่วง
ผมว่า


อีกเรื่องหนึ่งผมพบแล้ว

การที่บ้านอานองเตมีทรัพย์สินติดดินน้อยหลังแม่ตาย

สืบทอดและตกทอดมาถึงผม



เพราะเผ่ากิยองตินนำวัวมาเลี้ยงในสวนอานองเต

ถือวิสาสะในสวนอานองเตจนเกินกว่าเหตุ

ผมจำได้ว่า

เขา

และบุกรุกยามแม่ผมเผลอ
อันนี้ผมถือว่าผิด



เพราะทำให้คนอื่นสูญเสียสิทธิตามกฏหมาย
ผมว่าอย่างนั้น

ด้วยเหตุนี้เองแม่สั่งผม

ไว้ว่า

"ห้ามคนมาเลี้ยงวัวในสวนอานองเต"

เด็ดขาดหลังแม่ตายแล้ว

เพราะแม่และบ้านอานองเตให้เขาบุกรุกลิดรอนสิทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์นี้

มานับสามชั่วโคตรแล้ว

และมีเรื่องกินใจกันตลอดเวลา  ในระหว่างเพื่อนบ้านในประเด็นนี้


เท่าที่ผมจำได้
วัวบุก วัวขาด วัวหาย
ร้อยแปดอย่าง

สมัยก่อนควาย




แม่ผมจึงสั่งว่า


ถ้าลูกมีเงินทำรั้วลวดหนามกั้นสวนเสียอย่างต่ำสี่เส้นรอบสวน
ถ้าทำได้

จะดีนักแล



มิฉะนั้นผมจะมีเรื่องตลอดเวลา

ผมจึงออกกฎว่า
ห้ามคนผู้ใดมาเลี้ยงวัวในสวนผม
และแนะนำชุมชนและที่เป็นเผ่ากิยองตินและมิใช่เผ่านี้
ถ้าอยากเลี้ยงวัว
ใหปลูกหญ้าเองเลี้ยงเอง


มิใช่ไปพาวัวพเนจรเร่ร่อนเลี้ยง

แบบทำไร่เลื่อนลอยแบบคนเก่าๆทำ



ทำอะไรสมัยนี้ต้องมีหลักวิชา

ชนิดเร่ร่อนเหมือนสมัยก่อนยุค ไอ ที
เช่นเลี้ยงตามข้างทางรถไฟ


นั้นผมพบว่า



มีอุบัติเหตุเป็นประจำ
คือรถไฟชนวัวตาย
รถยนต์ชนวัวตาย



ผมทราบข่าวนี้เข้าผมพูดไม่ออก
ผมจึงยกให้เป็นกฏของการกระทำที่
ที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้

เหมือนแม่สูตรคูณที่ โรงเรียนกำหนด

ต้นตะไคร้หอมนั้น
ผมเห็นเช่นนั้น
ทำแผนใหม่
ผมต้องปลูกและจะปลูกไว้กันยุงและเพื่อขาย
ติดป้ายไว้ด้วยว่าอย่างนั้น


หญ้าเลี้ยงวัวจากนอก

ผมปลูกเช่นกัน

เพื่อรอขายคนเลี้ยงวัว
แต่ไม่ค่อยได้ผล
ผมคิดว่าเมื่อถึงคราวจนยาก
ผมต้องเลี้ยงวัวมันเสียเอง

การแก้ไขกันกับปัญหา

แต่อย่างไรก็ตามคุณธรรมและนิสัยคนนั้นมาก่อน
ก่อนที่การพัฒนาสังคมและชีวิตทุกส่วนจะมีความสุขอยู่ด้ยกันกันได้


และถ้าทำได้


เชื่อว่า

ความสงบสันติภาพจึงจะมีมา
ผมว่าอย่างนั้น

จึงสรุปว่าปัญหารากหญ้าที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจึง
ควรนำสู่ยุคไอ ที ปฏิบัติโดยทางใดทางหนึ่งที่ดีกว่า
ผมว่า



ในบานแผนกที่เป็นพระเอกในนวนิยายเรื่องบ้านอานองเตนี้

แล




Create Date : 24 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 13 มกราคม 2561 4:41:20 น.
Counter : 430 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3538694
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



จึงจือหยาง
(jjy)
จบไฮสกูล
ได้ปริญญาสองใบในไทย เคยเป็นนักเรียนเก่าในอังกฤษและฝรั่งเศส
สอบได้ Dip-in-JourจากLondon School of Journalism,MIOJ.ในประเทศอังกฤษ
สอบได้นักวาด ว.อ.(แนวนามธรรม)...
เป็นสมาชิกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย..มีสัญชาติไทย (แซ่แต้) พ่อมาจากมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
New Comments
MY VIP Friends