|
๓๘๔ - อาลัย หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ
บ่ายวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2555 ข้าพเจ้าเปิดฟังวิทยุคลื่นสังฆทานเพื่อฟังธรรมะ หลังจากขาดหายไปร่วมหนึ่งเดือน ก็พบสิ่งผิดปกติบางอย่างที่ทำให้ทราบว่า หลวงพ่อสนองท่านละสังขารเสียแล้วเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2555 อารมณ์เศร้าใจเข้ามาเยือนอีกครั้ง ความหดหู่ใจมาจากไหนก็ไม่รู้ได้ ฟังครั้งแรกก็ไม่อยากจะเชื่อนัก แต่สักพักหนึ่งก็เป็นอันว่ายืนยัน ลองตรวจข่าวทาง เว็บไซต์ก็เป็นข้อมูลที่ตรงกันเชื่อถือได้ นับได้ว่าเป็นการสูญเสียครูบาอาจารย์ทางด้านวิปัสสนาและเผยแผ่ธรรมะองค์สำคัญไปอีกรูป
หลวงพ่อสนอง ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี เป็นผู้ที่บูรณะวัดสังฆทานจากวัดเล็ก ๆ ให้กลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียง จนกระทั่งมีวัดสาขามากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท่านเป็นผู้ริเริ่มในการเผยแผ่ธรรมะให้ทันต่อยุคสมัยเช่น การใช้สื่อทางเวบไซต์ ทางสถานีวิทยุซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วประเทศ หนังสือพิมพ์ และล่าสุดเมื่อสามปีที่ผ่านมาก็มีสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเป็นของวัดเอง และธรรมะของท่านก็เน้นไปในแนวทางปฏิบัติอิงตามสายพระป่าของพระอาจารย์มั่น นอกจากนี้ยังมีการช่วยเหลือสังคมทางด้านอื่น ๆ เช่น การสร้างโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย คือการช่วยรักษาผู้ป่วยด้วยการใช้สมุนไพร เป็นต้น การจัดบวชพระสามเณรภาคฤดูร้อน บวชเนกขัมมะ และการร่วมกิจกรรมทางสังคมสงเคราะห์และกิจกรรมทางศาสนาอื่น ๆ อีกมากมาย ที่น่าสนใจมากก็คือการที่หลวงพ่อมักจะนำศรัทธา ญาติโยม ลูกศิษย์ เดินธุดงค์ยังประเทศอินเดีย เนปาล อันเป็นดินแดนต้นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนา จวบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตหลวงพ่อ
ในช่วงแรกที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาธรรมะก็อาศัยฟังธรรมะจากคลื่นวิทยุของวัดสังฆทาน นั่นเอง จำได้ว่าช่วงนั้นฟังตลอด หลังจากกลับมาถึงห้องก็เปิดฟัง บางครั้งฟังจนกระทั่งหลับไปก็มี ธรรมะที่ได้จากกวัดสังฆทานนั้น ข้าพเจ้ายอมรับว่ามีอิทธิพลต่อการเดินสายทางธรรมของข้าพเจ้าอย่างมาก เพราะรายการธรรมะของคลื่นสังฆทานจะแตกต่างจากคลื่นธรรมะอื่น ๆ คือ มีความหนักเบาของการบรรยายธรรมะ มีการสอดแทรกพุทธประวัติ ชาดก นิทาน อยู่เสมอ ทำให้ธรรมะแบบนี้สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้มากมายหลายกลุ่ม มีแง่คิด มีธรรมะจากครูบาอาจารย์มากมายหลายท่านที่น่าสนใจ และสามารถนำไปประยุกต์และปฏิบัติให้เกิดผลได้ วัดสังฆทานจึงเป็นวัดอันดับต้น ๆ ที่ข้าพเจ้าสนใจและมักจะไปกราบพระในอุโบสถแก้ว นั่งสมาธิ และฟังธรรมะสด ๆ ที่ลานธรรมในวันหยุดเสมอ (แม้ว่าช่วงปีที่ผ่านมาจะไม่ค่อยได้ไป แต่อาศัยฟังจากวิทยุ) แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่มีโอกาสพบกับหลวงพ่อสนองเลยสักครั้ง บางครั้งก็นั่งนึกน้อยใจตัวเองอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งปลายปี 2554 ในงานพระราชทานเพลิงหลวงปู่คำสุข ข้าพเจ้าก็มีโอกาสพบกับหลวงพ่อ เพราะว่าหลวงพ่อมาร่วมพิธีด้วย และเมตตาแสดงธรรมะให้ฟังในตอนเย็นด้วย ตอนนั้นเป็นอะไรที่ปลื้มใจมาก ๆ เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสพบหลวงพ่อในวัดและจังหวัดบ้านเกิดของตัวเองอย่างนี้ ช่วงที่หลวงพ่อเดินลงมาจากศาลาแสดงธรรม ก็มีโอกาสเข้าไปกราบหลวงพ่อ และพูดกับหลวงพ่อว่า
“หลวงพ่อครับ ผมไปวัดสังฆทานหลายหนไม่เคยพบหลวงพ่อเลย วันนี้ดีใจมากครับที่ได้พบหลวงพ่อที่นี่...” ข้าพเจ้าพูด
“ดีแล้วนะ ดีแล้ว ได้พบแล้วน่ะ...” หลวงพ่อยิ้มและพูดเพียงสั้น ๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ข้าพเจ้าปลื้มในไปอีกนานแสนนาน
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ข่าวแว่ว ๆ จากลูกศิษย์ที่ติดตามว่าหลวงพ่อจะนำศิษย์เดินธุดงค์ที่อินเดียเหมือนเช่นปีที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่คาดคิดเลยว่านั่นจะเป็นการได้พบหลวงพ่อครั้งแรกและเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
ธรรมะหรือธรรมชาติแห่งความเป็นจริงในชีวิต อันมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องปกติธรรมดา สิ่งต่าง ๆ ภายนอกรอบ ๆ ตัวเราเอง หรือแม้ตัวเราเอง ความคิดของเราเองก็มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดาเช่นกัน หลวงพ่อสนองมักจะสอนเรื่องการเจริญ สติ และการระลึกถึงความตายอยู่เสมอ (จริง ๆ แล้วหลวงพ่อสอนหลายเรื่องมาก ) โดยเฉพาะเรื่องความตาย เรื่องมรณะสติ เท่าที่ข้าพเจ้าฟังหลวงพ่อจะพูดเรื่องนี้บ่อยมาก จนกระทั่งแม้สุดท้ายท่านก็แสดงบทอนิจจังแห่งสังขาร ให้เราได้เรียนรู้จากธรรมของจริงโดยท่านแสดงจริง ซึ่งเป็นความจริงแท้ที่ไม่มีใครสามารถจะหนีได้พ้น คนเราจึงไม่ควรประมาทในการใช้ชีวิตนี้เลย...
สุดท้ายขอกราบครูบาอาจารย์หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ ผู้ที่เปรียบเสมือนจุดเทียนแห่งธรรมให้กับข้าพเจ้า และให้ความสว่างแก่ดวงจิตอีกมากมายหลายดวงในสากลโลก กรรมชั่วอันใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกิน แม้ครั้งในอดีตและปัจจุบัน ณ ภพ ขอหลวงพ่ออโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยครับ... อัสติสะ
สารบัญ
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //a4.sphotos.ak.fbcdn.netมากมาย ครับ
Create Date : 27 สิงหาคม 2555 | | |
Last Update : 27 สิงหาคม 2555 21:28:11 น. |
Counter : 1242 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
๓๘๓ - มนุษย์และเพนกวิน
คุณชอบดูรายการสารคดีบ้างไหม ? ส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้วชอบดูมาก โดยเฉพาะสารคดีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และอวกาศ รองลงมาก็สารคดีชีวิตสัตว์ บังเอิญวันนั้นได้มีโอกาสดูสารคดีชีวิตของนกเพนกวินสายพันธุ์หนึ่ง ที่มีพฤติกรรมการปรับตัวเข้ากับมนุษย์ผู้บุกรุกพื้นที่ทำรังของมันเป็นอย่างดี โดยมันได้ใช้บริเวณบ้านของคนพักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นสวนหลังบ้าน ใต้โพรงบันได หรือแม้พื้นที่ซอกเล็ก ๆ ใต้พื้นบ้านเพื่อทำรัง แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของสัตว์กับคนจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ เจ้าหน้าที่รัฐจึงค่อย ๆ เวรคืนหมู่บ้านเพื่อใช้เป็นเขตอนุรักษ์เพนกวินโดยเฉพาะ จุดที่น่าสนใจของเรื่องนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งการจับคู่ เพนกวินเพศผู้จะพยายามนำกิ่งไม้หรือเศษวัสดุ(ในสายตามนุษย์) มาทำเป็นรังหรือจะเรียกว่าเรือนหอก็คงไม่ผิดนัก การสร้างรังที่ดูดีและแข็งแรงในสายตาเพศเมียนั้น เป็นตัวสร้างคะแนนสำคัญในการตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หากตัวเมียพอใจมันก็จะเข้าไปอยู่ในรังด้วยซึ่งนั่นก็ต้องผ่านการเกี้ยวพาราสีตามประสาสัตว์ก่อน
ดูมาถึงช่วงนี้ก็ทำให้ฉุกคิดว่า 'เออ...' สัตว์เดรัจฉานกับชีวิตของมนุษย์เรานี่ก็ช่างคล้ายกันจริง รู้จักสร้างบ้านสร้างรัง รู้จักการด้นรนหาคู่ครอง ส่วนตัวเจ้าสาวเองก็เข้าใจเลือกเสียด้วย ส่วนใหญ่เพนกวินเพศผู้ตัวที่ขยันสร้างบ้านที่ดูแข็งแรงจะถูกเลือก มันคงคิดแล้วว่า ตัวผู้ตัวนี้คงมีปัญญาช่วยกันเลี้ยงลูกเพนกวินน้อยเป็นแน่ อะไรทำนองนั้น แม้แต่สัตว์ก็ยังรู้จักเลือก บางทีนั่นอาจจะเป็นสัญชาตญาณที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์อย่างเรา ๆ ซึ่งหากเรามาพิจารณากันจะพบว่า มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน ก็มีองค์ประกอบพื้นฐานที่เหมือนกัน เพียงแต่มนุษย์เรามีสติ ปัญญา มากกว่า มีลำดับความคิดที่มากกว่า มีความซับซ้อนในการใช้ชีวิตมากกว่า ต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่มีวงจร การดำเนินชีวิตที่ไม่ซับซ้อน กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นไปตามสัญชาตญาณ เช่น กิน นอน ผสมพันธุ์ และใช้เวลาเกินครึ่งของชีวิตหมดไปกับการหาอาหาร
สัตว์เดรัจฉานจะมีอัตราส่วนน้ำหนักสมองต่อน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่ามนุษย์มาก ๆ นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ ว่าเหตุใดสัตว์เดรัจฉานจึงไม่สามารถพัฒนาทางด้านสติ ปัญญาได้เทียบเท่ามนุษย์ นั่นเพราะลักษณะทางกายภาพไม่เอื้ออำนวยนั่นเอง
พระพุทธเจ้าท่านก็ยืนยันว่าสัตว์เดรัจฉานนั้น จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ต่อให้มีศรัทธา หรือพูดจาสื่อสารกับมนุษย์ได้ก็ตาม
การได้เกิดเป็นมนุษย์จึงนับได้ว่าวิเศษ ดีเลิศ เพราะเราสามารถพัฒนา ความรู้ สติ ปัญญา ได้จนถึงจุดสูงสุด...นั่นเอง
สารบัญ
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //upload.wikimedia.orgมากมาย ครับ
Create Date : 26 สิงหาคม 2555 | | |
Last Update : 26 สิงหาคม 2555 16:42:16 น. |
Counter : 981 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
๓๘๒ - ชีวิตกับเส้นทาง
บางทีชีวิตก็ไม่ได้ง่ายนัก บางสิ่งที่เราอยากทำกลับไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้
ชีวิตนั้นจริง ๆ แล้วเราอยู่เพื่อความฝันของตัวเองหรือเพื่อความฝันของคนอื่นกันแน่ เราทำงานมากมายไปเพื่ออะไร?
ชีวิตเป็นสิ่งที่เดาและคาดการณ์ได้ยาก บางครั้งเราต้องยอมรับและเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นี่คงเป็นสัจธรรมสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกที่ต้องเผชิญด้วยกันทั้งหมด ขึ้นอยู่กับใครว่าจะยอมรับและอยู่กับมันได้มากน้อยเพียงใด
ชีวิตบางครั้งเรามักจะพบกับทางแยก แม้ว่าทางแยกนั้นเราจะค้นพบมันเองหรือว่ามันกำลังรอเราอยู่แล้วข้างหน้า
สำหรับความรักระหว่างคนสองคน สักวันหนึ่งก็ต้องพบกับทางแยก ไม่ว่าจะเป็นการเลิกลาหรืออีกฝ่ายต้องจบชีวิตลงก่อน แต่สิ่งที่แตกต่างนั้นเป็นความทรงจำที่มีให้ต่อกัน
ทางแยกของชีวิตดูแล้วน่ากลัว เด็กน้อยต้องแยกจากอ้อมกอดของพ่อแม่เมื่อถึงคราวที่ต้องไปโรงเรียนวันแรก เป็นทางแยกแรกของชีวิต จวบจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องแยกไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
ทางแยกกับความเสี่ยง...?
บ่อยครั้งเราอาจจะรู้ไม่ปลอดภัยเมื่อต้องเดินทางเส้นทางใหม่ ๆ เป็นการปรับตัวที่ต้องอาศัยเวลาและกำลังใจเข้าช่วย
และบางครั้งชีวิตของเราทั้งชีวิตก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เมื่อเราตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตผิด แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการรู้จักยอมรับและแก้ไขตัวเอง พร้อมที่เผชิญกับทางแยกอีกครั้งและเลือกเส้นทางเดินอย่างระมัดระวัง
การสร้างเส้นทางของชีวิตก็เป็นสิ่งจำเป็น บ่อยครั้งที่เรามักจะรอให้ชีวิตเดินไปตามเส้นทางของมันเอง โดยที่เราอาจจะลืมไปว่า เราเองก็สามารถขีดเส้นทาง และเลือกเส้นทางของเราได้ ทางแยกทั้งหลาย เราก็สามารถกำหนดและควบคุมมันได้(เท่าที่ขีดจำกัดของเราเอง)
ชีวิตไม่ได้สร้างมาเพื่อใช้ชีวิต หรือเพื่อให้เป็นไปตามโชคชะตา แต่ชีวิตที่แท้จริงคือการค้นหาและค้นพบ
"บางครั้งทางตันก็ไม่เลวร้ายนัก เพราะเมื่อเราหันหลังกลับ มันก็คือจุดเริ่มต้น"
สารบัญ
Create Date : 21 สิงหาคม 2555 | | |
Last Update : 21 สิงหาคม 2555 8:35:56 น. |
Counter : 3953 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
๓๘๑ - คุณธรรมแห่งความสำเร็จ
การทำงานที่สามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ มาให้เราได้นั้น ต้องอาสัยความมานะพยายามและความพากเพียรอุตสาหเป็นอย่างมากมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราปรารถนา บางครั้งก็ต้องแลกมาด้วยการกระทำผิดทางศีลธรรม ผิดกฎหมายบ้าง นั่นเพราะเรามีความโลภ ความอยากได้ที่เกินพอดี บางครั้งข้าพเจ้าก็มีความเห็นว่า ชีวิตนั้น จริง ๆ แล้วไม่ต้องการอะไรมากมายนักหรอก เพียงแต่เราต้องเข้าใจธรรมชาติขั้นพื้นของตัวเราเองให้ได้ ลำพังแค่หาสิ่งที่ทำให้ตัวเองและคนที่เรารักให้สามารถดำรงชีพได้อย่างไม่ขัดสน ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิต ที่เหลือเวลาว่างก็แสวงหาความสงบทางจิตใจ ซึ่งจะเป็นตัววัคซีนที่สามารถใช้ป้องกัน ไวรัสที่ชื่อว่าความโลภ โกรธ หลง ได้ในระดับหนึ่ง
แต่ทว่าคนในยุคปัจจุบันนี้ ยิ่งอยู่ในสังคมเมืองแล้วจะไม่ค่อยได้สนใจศึกษาและทำความเข้าใจกับวิธีการแสวงหาความสงบของจิตใจกันมากนัก เหตุเพราะความกดดันจากหน้าที่การงาน ทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาว่างที่จะแสวงหาสิ่งอื่น นอกจากเงินหรือการแสวงหาความสุขทางโลกให้กับตัวเอง เป็นต้น
หากลองมองย้อนกลับมาดูตัวเราเอง ให้ละเอียด และพยายามคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเองมากนัก บางที่เราอาจจะเริ่มค้นพบอะไรบางอย่างที่มีอยู่ในตัวเรา เราอาจจะเริ่มต้นตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่า เราเกิดมาทำไม แล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิตเราเป้าหมายที่จะทำอะไรบ้าง เป็นต้นก่อน แล้วค่อยเจาะประเด็นสำคัญทีละประเด็น ค้นขว้าหาข้อมูล การหาข้อมูลนั้น เป็นสิ่งสำคัญ เราสงสัยเรื่องใด เราก็ต้องแสวงหาคำตอบเพื่อคลายความสงสัยนั้น
สมัยหนึ่งในช่วงที่ข้าพเจ้าเริ่มสนใจธรรมะใหม่ ๆ ก็เริ่มต้นศึกษาจากการอ่านหนังสือธรรมะ เราทราบแน่ชัดว่าธรรมะสามารถแก้ไขปัญหาชีวิตได้ เพราะเราเรียนมาตั่งแต่สมัยยังเด็ก แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจกับธรรมะได้อย่างถ่องแท้ เมื่อใจเราเริ่มอยากศึกษาธรรมะ ก็ไปร้านหนังสือ กวาดซื้อมาทีเดียว สาม เล่ม เอาตั้งทิ้งไว้ที่ห้อง สามเดือนผ่านไปก็ยังอ่านไม่จบ พอตั้งใจจะอ่านทีไร ผ่านไปไม่กี่หน้า ก็เป็นอันหลับไปก่อน ช่วงแรกเป็นอย่างนั้นจริง ๆ จำได้ว่าหนังสือที่ซื้อมาน่าจะเป็นของคุณดังตฤณ ซึ่งขนาดเป็นธรรมะที่ย่อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังอ่านแล้วหลับ ช่วงนั้นคิดไปคิดมาว่าธรรมะคงไม่ค่อยเหมาะกับเราแน่ ๆ แต่เราจะทำอย่างไรจึงจะรู้ธรรมะให้ได้... และค่อย ๆ พยายามศึกษาโดยวิธีการอื่น ๆ อีกเรื่อยมา จนกระทั่งปัจจุบัน สามารถอ่านหรือฟังธรรมะได้เป็นวัน ๆ โดยไม่เบื่อไม่พร่อง และยังอ่าน ฟังอยู่เสมอ ๆ เหมือนธรรมะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
นี่แหละเขาเรียกว่า ความสนใจที่จะแสวงหาคำตอบของคำถามในชีวิต หากพูดถึงตามหลักอิทธบาท ๔ ก็คือ ฉันทะ คือ ความพอใจยินดีที่จะทำ
หากเราไม่มีความพอใจยินดีที่จะกระทำการสิ่งใดแล้ว ผลสำเร็จก็ย่อมไม่เกิด ถึงเกิดก็ไม่สามารถเจริญเติบโต งอกงามได้ หากขาดสิ่งที่เรียกว่า วิริยะ คือ ความพากเพียร
นอกจากความพากเพียรแล้วเรายังต้องการเอาใจใส่ คือ จิตตะ หากเปรียบเทียบกับการปลูกต้นไม้ แม้เราจะสามารถปลูกต้นไม้ให้งอกได้ รู้จักรดน้ำมันเป็นประจำ แต่หากขาดการเอาใจใส่ ไม่ดูแลเรื่องวัชพืช หนอน เพี้ย ต้นไม้เราก็อาจจะตายได้ง่าย ๆ
สุดท้ายคือ วิมังสา เป็นการรู้จักใคร่ครวญ ไตร่ตรอง พิจารณาทบทวนสิ่งที่เราได้ศึกษา ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากขาดการคิดทบทวน แล้วก็เหมือนกับการทำอะไรทื่อ ๆ ตรง ๆ ไม่เกิดผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่ควรจะเป็น ไม่เกิดปัญญา หรือหากเกิดก็เกิดได้ช้า ตัวอย่างเช่น เมื่อเราศึกษาเรื่องใด ๆ จนถึงระยะเวลาหนึ่ง เราก็ต้องย้อนกลับไปมองสิ่งที่เราศึกษาว่าได้ผลลัพธ์เป็นเช่นไร มีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่อง หรือยังสงสัยประเด็นไหนอีก เป็นต้น
นี่และธรรมะของพระพุทธเจ้า สุดยอดเหนือสิ่งอื่นใด ตำราการบริหารความสำเร็จมากมายหลายเล่มไม่ว่าจะฝรั่งหรือคนไทยเขียน มันยังไม่ลึกซึ้งเท่ากับ อิทธิบาท ๔ ของพระพุทธเจ้าเลย แล้วหากใครนำไปปฏิบัติได้ถูกก็จะต้องสำเร็จทุกรายไป สารบัญ
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.dhammada.netมากมาย ครับ
Create Date : 18 สิงหาคม 2555 | | |
Last Update : 18 สิงหาคม 2555 22:03:08 น. |
Counter : 732 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]
|
ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้ ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน
|
|
|
|
|
|
|
|