|
๓๘๖ - ออกแบบความตาย
ในคราวที่มีใครสักคนหนึ่งพูดถึงเรื่องความตายขึ้นมาในวงสนทนา เชื่อได้ว่ามีน้อยคนที่อยากจะรับฟัง ยิ่งเรื่องราวความตายของคนที่เรารักแล้ว พวกเราคงไม่ยากได้ยินเรื่องพวกนี้
พระพุทธองค์สอนให้เราระลึกถึงความตายให้เป็นปกติ จริง ๆ แล้วเราต้องระลึกถึงความตายกันทุกลมหายใจด้วยซ้ำ เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนไม่ให้เราประมาทในการดำเนินชีวิต และหมั่นกระทำความดี แต่สำหรับบางคนแล้วการระลึกถึงความตายดูเป็นเรื่องที่ต้องผลักไสออกไป เพราะไม่อยากพบหรือได้ยิน ทั้งที่ความจริงแล้วเราเองก็ไม่อาจจะหนีสิ่งนั้นได้พ้น
ความตายนั้นจะพรากเราไปจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำมาในอดีต ไม่ว่าความรักหรือทรัพย์สินเงินทองสมบัติ ไม่ว่าจะมากน้อยสักเพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจจะตามติดตัวเราไปได้เลยสักอย่าง แม้แต่คนที่เรารัก หรือรักเรามากที่สุด จะมีสักกี่คน ที่เราตายแล้วจะขอมานอนร่วมโลงกับเราด้วยจริง ๆ
ความตายแม้จะเป็นสัจธรรมบทสุดท้ายของชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย แต่สัจธรรมนั้นยังไม่ท้ายที่สุดจริง มันยังคงหมุนเวียนไปตามวัฎจักรแห่งกรรม และสร้างการเกิดในภพใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย เราจึงต้องชดใช้กรรมที่เราทำไว้ไม่ว่ากรรมนั้นจะดีหรือชั่วก็ตามที
การออกแบบความตายไม่ได้ตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อให้คนอยากฆ่าตัวตาย หรือทำอย่างไรให้เราตายเร็วขึ้น แต่หมายถึงการรู้จักวางแผนความตาย เตรียมเสบียงอาหารคือ บุญกุศล เพื่อต่อภพภูมิอันดีในเบื้องหน้า อย่างนี้เรียกว่าการออกแบบความตายและการเกิดใหม่ที่สมบูรณ์ การหมั่นเจริญภาวนาทางด้านปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะการเจริญทางด้านปัญญานี้ ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริง เมื่อเห็นความจริง เราก็จะถูกความปรุงแต่งหรือสิ่งที่เรียกว่ามารเข้าครอบงำได้ยาก ซึ่งสิ่งนี้เองจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราตกต่ำ ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี
การออกแบบความตายอย่างมีศิลปะ... ความตายแม้จะเป็นสิ่งที่น่ากลัว ก่อนตายของแต่ละคนนั้น จะต้องประสบเหตุต่าง ๆ กัน ตามวาระกรรม บางคนนอนตายอย่างสงบท่ามกลาง ญาติ พ่อ แม่ พี่ น้อง บางคนต้องตายกลางถนน เครื่องบินตก ถูกฆาตกรรม ถูกไฟไหม้ ความป็นโรค เป็นต้น การออกแบบความตายอย่างมีศิลปะนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้ทุกคนอย่างไม่น่าเจ็บปวดหรือเรียกว่าศพไม่สวย แต่การตายอย่างมีศิลปะคือ การตายด้วยอาการสงบ ไม่ว่าก่อนตายเราจะประสบเหตุ อันเจ็บปวดทรมาณสักเพียงใดก็ตาม สิ่งนี้จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอยู่เป็นประจำ ซึ่งก็สอดคล้องกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือ การระลึกถึงความตายอยู่เป็นประจำนั่นเอง เพราะเมื่อคราวใดความตายมาถึงเรา เราก็จะไม่ตื่นตระหนก มีสมาธิ ซึ่งหลังจากเสี้ยววินาทีของความตายนั้นแล้ว เราจะได้เกิดในภพภูมิที่ดีอย่างแน่นอน
ศาสตร์หรือศิลปะแห่งความตายอย่างถูกวิธี เป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ฝึกปฏิบัติกัน ไม่ต่างกับความรู้ทางวิชาชีพที่เราใช้ทำมาหากิน เพราะความรู้ทางวิชาชีพในปัจจุบัน ก็สามารถลี้ยงชีพเราได้เพียงชั่วคราว มันไม่อาจจะช่วยเราได้เมื่อครั้งที่เราตายจากไปแล้ว การสร้างบุญกุศลและการเจริญภาวนาทางปัญญาจะเป็นตัวช่วยเหลือเราได้อย่างแท้จริง
สารบัญ
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //day4nite.files.wordpress.comมากมาย ครับ
Create Date : 09 กันยายน 2555 |
Last Update : 9 กันยายน 2555 15:38:27 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1715 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 กันยายน 2555 เวลา:5:54:02 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 กันยายน 2555 เวลา:9:07:10 น. |
|
|
|
โดย: Jj IP: 27.55.10.165 วันที่: 11 กันยายน 2555 เวลา:1:47:12 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กันยายน 2555 เวลา:6:20:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 กันยายน 2555 เวลา:6:06:58 น. |
|
|
|
โดย: JewNid วันที่: 12 กันยายน 2555 เวลา:23:14:28 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 กันยายน 2555 เวลา:6:20:50 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 กันยายน 2555 เวลา:6:02:15 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 กันยายน 2555 เวลา:6:17:05 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 กันยายน 2555 เวลา:6:15:03 น. |
|
|
|
| |
|
|
ความตายอันสงบ
เป็นสิ่งที่สวยงามของชีวิตจริงๆครับ