|
๑๕๔-ความสมดุลของปัญญาและสมาธิ
มาถึงเรื่องที่เป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพานกันบ้าง หลังจากฟุ้งซ่านไปกับเรื่องที่เรียกว่า ประเด็นทางโลกไปเสียมาก พุทธศาสนานั้นถ้าจะว่ากันโดยตรงแล้วก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่มีความลึกซึ้งยากที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายจะเข้าใจ และปรับมุมกันให้ถูกต้อง แต่ถ้าหากจับประเด็นจับสาระความสำคัญ และสามารถปฏิบัติได้แล้ว ก็เรียกว่า สบายใจได้เลยครับ สบายได้ทั้งโลกนี้ และโลกหน้า
อย่างนี้คงไม่ได้กล่าวเกินจริงนัก เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสกล่าวรับรองในจุดนี้ มีปรากฎอยู่ในพระสูตรก็มี แต่คนเหล่าใดยังลุ่มหลงต่อการปรุงแต่งทางโลก ไม่ได้คิดสนใจเรื่องบุญ เรื่องกุศล เป็นมิจฉาทิฏฐิโดยสมบูรณ์ ชาตินี้แม้อาจจะสบาย อยู่กินอย่างพระราชา แต่ภายในจิตใจของคนเหล่านั้น ข้าพเจ้ารับรองได้ว่าต้องมีแต่ความกังวล วุ่นวาย ไม่มากก็น้อย อย่างหนึ่งก็ต้องวุ่นวายเกี่ยวกับการหาสมบัติ การรักษาสมบัติ การแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่น ฯลฯ คนเหล่านี้ดูภายนอกอาจจะสบายทุกอย่าง แต่ภายในเขาอาจจะมีความทุกข์ใจอยู่มากมายก็เป็นไปได้
ความสมดุลของชีวิตและจิต วิญญาณนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราสามารถดำรงชีพอยู่ได้ ดังเช่นดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลก มันสามารถทรงอยู่ได้โดยสมดุลในระยะที่เหมาะสม หากเข้าใกล้มากกว่านี้ ก็ต้องแตกสลาย หรือห่างออกไปกว่านี้ก็หลุดไปจากดวงดาวบริวาณ นี่เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ในเรื่องความสมดุล นอกจากนั้นแล้วการฝึกปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานก็ต้องมีความสมดุลกันด้วย เช่นเราไม่สามารถฝึกวิปัสสนาได้ติดต่อกันตลอดเวลา โดยที่ไม่ได้ยกเอาสมถภาวนาเข้ามาแทรก หรือหากเราฝึกแต่สมถภาวนา แต่เพียงฝ่ายเดียว มรรค ผล นิพพานก็ไม่เกิด สิ่งเหล่านี้เป็นความสมดุลของการปฏิบัติธรรม หากแต่ใครสามารถที่จะจับหลักการนี้ได้ก็อยู่อย่างสบายทีเดียว
การฝึกวิปัสสนาคือการฝึกโดยใช้ปัญญาพิจารณาหลักธรรมโดยความแยบคาย มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสำหรับคนทั่วไป เพราะพูดถึงเรื่องปัญญาที่น้อมไปพิจารณาเรื่องรอบตัวให้เข้ากับหลักธรรมแล้ว ถ้าไม่ประกอบด้วยสติ สิ่งที่ตามมามันก็คือ ความฟุ้งซ่าน นั่นเอง ไม่ว่าฟุ้งซ่านในทางธรรมหรือทางโลก ก็เรียกว่าฟุ้งซ่านทั้งนั้น ต่างกันเพียงแต่ว่าการฟุ้งซ่านในทางธรรมนั้น มีความได้เปรียบมากกว่านั่นเอง
การฝึกใช้สติคือ การฝึกรู้ว่าสภาวะหรือรู้จิตของเราเป็นอย่างไร มีที่มาที่ไปอย่างไร รู้ใจรู้กาย รู้ว่าตัวเองจะไปไหน รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร เป็นต้น โดยรวมแล้วก็คือรู้จุดหมายปลายทางคือ นิพพาน นั่นเอง เพียงแต่เส้นทางของแต่ละคนนั้นสั้น ยาว ไม่เท่ากัน นี่เป็นสติ ซึ่งเป็นฐานของปัญญาในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเอาไว้รับใช้นิพพานโดยเฉพาะ ไม่ใช่เอาไว้ให้กิเลสหลอก อย่างนี้ไม่เรียกว่าปัญญา บางคนนั่งสมาธิแล้วเกิดระลึกชาติ ย้อนหลัง มองเห็นนรก สวรรค์ได้ง่ายเหมือนลืมตา แต่หากไม่รู้จักนิพพาน ไม่มองสภาวะความเสื่อมสลาย มองไม่เห็นกฎแห่งไตรลักษณ์ ก็ยังเชื่อได้ว่ายังปัญญาบอดอยู่อย่างนั้น
การใช้งานสิ่งที่เรียกว่า สติ ปัญญา พิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ในทุกวัน ทุกนาทีนั้น มันรู้สึกเหนื่อยพอสมควร บางวันจิตมันเริ่มอ่อนล้า นี่คงเป็นผลมาจากความไม่สมดุลกันระหว่าง สมถ และวิปัสสนา เมื่ออ่อนทางสมถ ก็ต้องแก้ไขโดยการพักบ้าง โดยการนั่งสมาธิ หากใครสามารถบรรลุฌาน ก็จะเข้าไปพักในฌานขั้นนั้นที่ตนถนัด หรือหากทำได้เพียงสมาธิธรรมดาก็เข้าสมาธิ ทำความสงบจิตสงบใจ จึงไม่แปลกอะไรที่พระสงฆ์ที่สำเร็จในขั้นอรหันต์ แม้จะทำลายชาติภพ กิจอื่นที่ต้องทำไม่มีอีกแล้ว แต่ท่านก็ยังต้องเข้าสมาธิ บำเพ็ญตามหลักอริยมรรคที่ตนเองผ่านมาแล้วเช่นเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความสมดุลของทั้งสมถและวิปัสสนา ซึ่งต้องเกื้อกูลสืบเนื่องช่วยเหลือกัน จึงจะเดินทางไปถึงมรรคถึงผลได้เร็วและมั่นคง
Create Date : 07 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2552 7:50:10 น. |
|
11 comments
|
Counter : 697 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:04:06 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 7 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:23:38 น. |
|
|
|
โดย: Nissan_n วันที่: 7 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:50:55 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 7 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:15:15 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 พฤษภาคม 2552 เวลา:7:11:43 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:5:28:35 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:38:22 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:3:15:36 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:07:20 น. |
|
|
|
โดย: Nissan_n วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:30:28 น. |
|
|
|
| |
|
|
อ่านแล้วเห็นด้วยกับบทความนี้ครับ
เขียนได้ดีครับ