หน้าที่อันพึ่งปฏิบัติของผู้ป่วย(มิย.๖๓) สิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย(สค.๕๘) สิทธิผู้ป่วย(เมย.๔๑) ![]() ![]() ประกาศแพทยสภาที่ 50/2563 เรื่อง หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย ด้วยกระบวนการรักษาพยาบาลภายใต้การดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นไปเพื่อมุ่งหวังให้ผู้ป่วยพ้นจากความเจ็บป่วยและทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นสำคัญ แต่นอกเหนือจากความพยายามของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและบุคลากรสาธารณสุขแล้วหนึ่งในปัจจัยสำคัญอันจะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ คือ “การได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วย” ซึ่งหลายประเด็นเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยอาจไม่ทันตระหนักหรือทราบมาก่อนว่า เป็นสิ่งจำเป็นและมีผลอย่างยิ่งต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 21 (1) ประกอบกับมาตรา7 (2) และ7 (4) แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 แพทยสภาจึงออกประกาศเรื่อง “หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย” ดังนี้ ข้อ 1 การเอาใจใส่และดูแลสุขภาพของตนเอง รวมทั้งการปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นสิ่งส าคัญที่สุดในกระบวนการรักษาพยาบาล ทั้งนี้ หากผู้ป่วยเห็นว่าไม่อาจทำตามคำแนะนำดังกล่าวได้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้ทราบโดยทันที เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน ข้อ 2 ผู้ป่วยพึงเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพ “ที่เป็นจริงและอยู่ในความรับรู้” ของผู้ป่วยแก่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทั้งนี้ เพื่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะได้รับทราบข้อมูลด้านสุขภาพทั้งหมดอันจะเป็นประโยชน์ต่อการให้การรักษาพยาบาลและป้องกันมิให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อตัวผู้ป่วยเองและต่อผู้ป่วยรายอื่น รวมทั้งบุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง ข้อ 3 ผู้ป่วยพึงปฏิบัติตามระเบียบที่สถานพยาบาลกำหนดไว้ ข้อ 4 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่าการใช้สิทธิการรักษาพยาบาล รวมทั้งสิทธิผู้ป่วยตามที่กำหนดไว้ต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้ป่วยท่านอื่น ข้อ 5 ผู้ป่วยพึงหลีกเลี่ยงการกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและบุคลากรสาธารณสุขหากมีกรณีที่ผู้ป่วยไม่เห็นด้วยต่อการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ท่านสามารถให้คำแนะนำหรือใช้สิทธิร้องเรียนได้ตามระเบียบปฏิบัติของสถานพยาบาลนั้นๆ ข้อ 6 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่า ห้องฉุกเฉินเป็นสถานที่ซึ่งจัดเตรียมไว้เป็นการเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ตกอยู่ใน “ภาวะเร่งด่วนและเป็นภยันตรายอันใกล้ต่อชีวิต” เป็นสำคัญ บุคลากรสาธารณสุขจะให้การรักษาตามลำดับความเร่งด่วนทางการแพทย์เป็นสำคัญ ดังนั้นพึงหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นการกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบของบุคลากรในห้องฉุกเฉิน ข้อ 7 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่า “ทรัพยากรในระบบสาธารณสุขมีราคาแพงและมีจำนวนจำกัด” ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมร่วมกับสถานพยาบาลจึงจำเป็นต้องมีมาตรการในการจัดสรรการใช้ทรัพยากรอันมีค่าอย่างระมัดระวัง การกระทำการใดๆ ของผู้ป่วยโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรอันมีค่า และส่งผลเสียร้ายแรงต่อการรักษาพยาบาลของตัวผู้ป่วยเอง รวมทั้งต่อผู้ป่วยท่านอื่น ข้อ 8 ผู้ป่วยพึงเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุคลากรสาธารณสุขและผู้ป่วยท่านอื่นในสถานพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้ามกระทำการถ่ายรูป บันทึกเสียงหรือภาพเคลื่อนไหวรวมทั้งกระทำการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันนี้ โดยมิได้รับความยินยอมก่อน ข้อ 9 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่า “เอกสารลงนามในการให้ความยินยอมเพื่อรับการรักษาพยาบาล” เป็นเอกสารสำคัญที่ให้รายละเอียด ตลอดจนข้อจำกัดและความเสี่ยงของการรักษาพยาบาล ดังนั้นก่อนทำการลงนามในเอกสารดังกล่าว ผู้ป่วยต้องอ่านและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือมีความไม่เข้าใจใด ๆ ควรสอบถามผู้เกี่ยวข้องก่อนการลงนามทุกครั้ง ข้อ 10 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่า การละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามรายละเอียดข้างต้น อาจส่งผลเสียต่อการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยเอง และในบางกรณี หากเกิดความเสียหายต่อสถานพยาบาลหรือผู้ป่วยท่านอื่น ท่านอาจได้รับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ศาสตราจารย์เกียรติคุณสมศรี เผ่าสวัสดิ์ ขอเชิญทุกท่านศึกษารายละเอียด/ download เอกสารได้ที่เว็บไซต์แพทยสภา (https://tmc.or.th/) หรือกดที่ link ต่อไปนี้ Infographic - หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย https://tmc.or.th/Media/media-2020-06-25-09-29-53.pdf ประกาศแพทยสภา - หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย https://tmc.or.th/Media/media-20200625153111.pdf ประกาศแพทยสภา - หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย ฉบับลงราชกิจจานุเบกษา https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/152/T_0005.PDF ที่มา: แพทยสภา https://www.facebook.com/thaimedcouncil/posts/2597320040532885?__tn__=-R หมายเหตุ ประกาศนี้เป็นเพียง " แนวทางความเข้าใจ ขอความร่วมมือ โดยไม่มีโทษใดๆ " เพียงแต่ย้ำเตือนว่า หากมีการกระทำใดในสถานพยาบาล ที่ผิดกฎหมาย เช่น ทำลายข้าวของ ตีกันในห้องฉุกเฉิน อาจถูกลงโทษได้ "ตามที่กฎหมายฉบับอื่น" บัญญัติ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย เรียงตามระยะเวลาที่ออกประกาศ - สิทธิของผู้ป่วย (๑๖ เมษายน ๒๕๔๑) - สิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย (๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๘) - หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย (๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓) *********************************************** แพทยสภายัน ประกาศ 10 ข้อหน้าที่ผู้ป่วย ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลต่อคดีทางการแพทย์ Thu, 2020-07-02 18:27 -- hfocus team https://www.hfocus.org/content/2020/07/19680 “หมอประสิทธิ์” อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 แจงประกาศ 10 ข้อพึงปฏิบัติหน้าที่ผู้ป่วย แค่ขอความร่วมมือ ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลทางคดีทางการแพทย์ แต่เป็นประกาศที่ก่อประโยชน์ในการรักษาโรค เพราะไม่มีการปิดบังข้อมูลสุขภาพ เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ที่ อาคารสภาวิชาชีพ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภาคนที่1 กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การออกประกาศแพทยสภาที่ 50/2563 เรื่องหน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย 10 ข้อว่า เป็นการมีการลงโทษ จำกัดสิทธิผู้ป่วย ทั้งที่แพทยสภาไม่ได้เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจ ว่า หลังออกประกาศดังกล่าวอาจทำให้มีการตีความผิดไป ซึ่งต้องขอยืนยันว่าประกาศดังกล่าวไม่ใช่กฎหมาย และแพทยสภาไม่ได้มีหน้าที่ในการออกกฎหมาย แต่ที่มีการออกประกาศฉบับดังกล่าวเพื่อเป็นคำแนะนำ และขอความร่วมมือจากประชาชนในการดูแลสุขภาพ และการรักษาโรค ยกตัวอย่างประกาศข้อที่ 2 ซึ่งระบุว่าผู้ป่วยพึงเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพที่เป็นจริง นั้น ก็เพื่อประโยชน์ในการรักษาโรค และคนที่อยู่ใกล้ชิด อย่างเมื่อการระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อเข้ามารับการรักษาที่รพ.ศิริราช และไม่บอกว่าไปพื้นที่เสี่ยงมา ทำให้ครั้งนั้นมีบุคลากรการแพทย์ต้องกักตัวถึง 26 คน และหรือกรณีที่เราสอบถามว่าผู้ป่วยใช้ยาอะไรอยู่หรือไม่ ก็เพื่อการพิจารณาให้การรักษาที่เหมาะสม ไม่ทำให้เกิดการตีกันของยานั้นๆ หรือประกาศข้อที่ 10 ที่ระบุว่า ผู้ป่วยพึงตระหนักว่าการละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามรายละเอียดข้างต้นอาจจะส่งผลต่อการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยเอง ในบางกรณี หากเกิดความเสียหายต่อสถานพยาบาลหรือผู้ป่วยท่านอื่น อาจได้รับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งในข้อนี้อาจจะทำให้เกิดการตีความและเข้าใจผิดว่าถ้าไม่ทำตามแล้วจะมีบทลงโทษ ดังนั้นตนขอสื่อสารยืนยันว่าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่กรณีนี้ แพทยสภาเป็นห่วงว่าหากมีการกระทำอะไร เช่น ตีกันในรพ.แล้วทำให้เกิดความเสียหายต่อสถานพยาบาล อุปกรณ์การแพทย์ จะมีกฎหมายอื่นๆ ที่กำกับอยู่ ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีภาคประชาชนมีความกังวลว่าประกาศดังกล่าวจะมีผลต่อการพิจารณาคดีความทางการแพทย์หรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าประกาศฉบับนี้ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีความทางการแพทย์แน่นอน เพราะตัวประกาศไม่ได้ใช้คำว่า “ต้องปฏิบัติ” แต่ประกาศจะใช้คำว่า “พึงปฏิบัติ” ซึ่งหมายถึงการแนะนำ การขอความร่วมมือ ซึ่งจะทำหรือไม่ทำก็ได้ เหมือนกับที่ตอนนี้เราขอให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออกจากบ้าน ถ้าไม่ทำก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าทำก็จะเป็นผลดี ในการป้องกันการติดเชื้อโควิดของคนนั้นๆ และช่วยลด หรือป้องกันการระบาดของโรคในสังคมไทย เป็นต้น “ขอย้ำและบันทึกผ่านสื่อมวลชนว่าประกาศฉบับดังกล่าวไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีความทางการแพทย์ เป็นเพียงประกาศขอความร่วมมือจากประชาชนเพื่อให้ผลในการรักษาโรคมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อตัวผู้ป่วยเอง และเพื่อสังคม” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว. ********************************************** ![]() คำประกาศ "สิทธิ"และ"ข้อพึงปฏิบัติ"ข ดาว์โหลดไฟล์ pdfได้ที่ https://tmc.or.th/ FB ittaporn kanacharoen "ได้เวลา หมอ-คนไข้ จับมือร่วมรักษา เพื่อผลที่ดีกว่า" (High Resolution) เรียนคุณหมอ และ คุณคนไข้ที่รัก การรักษาจะได้ผลดี หมอต้องทราบว่าผู้ป่วยมีสิท ทุกอย่างต้องมีส่วนร่วมและเ เครดิต https://www.facebook.com/ittaporn/media_set?set=a.964122083648598.1073743171.100001524474522&type=3&pnref=story&__mref=message ![]() ![]() ![]() ............................................. สิทธิผู้ป่วย แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันประกาศสิทธิผู้ป่วย 16 เมษายน 2541 สิทธิ หมายถึง ความชอบธรรมที่บุคคล ใช้ยันกับผู้อื่นเพื่อคุ้มครอง หรือ รักษาผลประโยชน์ อันเป็นส่วนพึงได้ของบุคคลนั้น สิทธิผู้ป่วย จึงหมายถึงความชอบธรรมที่ผู้ป่วยจะพึงได้รับเพื่อคุ้มครองหรือรักษาผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของตนเอง โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น 1. ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ คำอธิบาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ การบริการทางสาธารณสุขของรัฐต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพโดยจะต้องส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ เอกชนมีส่วนร่วมด้วยเท่าที่จะกระทำได้ การป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายรัฐต้องจัดให้แก่ประชาชน โดยไม่คิดมูลค่าและทันต่อเหตุการณ์ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ” 2. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจาก ความแตกต่างด้าน ฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา ลัทธิการเมือง เพศ อายุ และลักษณะของความเจ็บป่วย คำอธิบาย ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับบริการสุขภาพในมาตรฐานที่ดีที่สุดตามฐานานุรูป โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติทั้งนี้ มิได้หมายรวมถึง สิทธิอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น การไม่ต้องชำระค่ารักษาพยาบาล การพักในห้องพิเศษต่าง ๆ และ บริการพิเศษอื่น ๆ เป็นต้น 3. ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอและชัดเจน จาก ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอม ให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วนหรือจำเป็น คำอธิบาย ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพมีหน้าที่ต้องอธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงอาการการดำเนินโรค วิธีการรักษา ความยินยอมของผู้ป่วยนั้นจึงจะมีผลตามกฎหมายยกเว้นเป็นการช่วยเหลือในกรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน ตามข้อ 4 4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือรีบด่วน จาก ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ โดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่คำนึงว่าผู้ป่วยจะร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่ 5. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบชื่อ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็น ผู้ให้บริการแก่ตน คำอธิบาย ในสถานพยาบาลมีผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพต่าง ๆ หลายสาขาปฏิบัติงานร่วมกันในการช่วยเหลือ ผู้ป่วย ร่วมกับ บุคลากรผู้ช่วยต่าง ๆ หลายอาชีพ ซึ่งบ่อยครั้งก่อให้เกิดความไม่แน่ใจและความไม่เข้าใจแก่ ผู้ป่วยและ ประชาชนทั่วไป การกำหนดสิทธิข้อนี้ทำให้ผู้ป่วยกล้าที่จะสอบถามข้อมูลที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและสามารถตัดสินใจเพื่อคุ้มครองความปลอดกัยของตนเอง โดยเฉพาะจากผู้ให้บริการซึ่งไม่มีคุณภาพเพียงพอ 6. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริการแก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการและสถานบริการ คำอธิบาย ปัจจุบันผู้ป่วยยังมีความเกรงใจและไม่ตระหนักถึงสิทธินี้ ทำให้เกิดความไม่เข้าใจและความขัดแย้ง ขณะเดียวกันผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพจำนวนมากก็ยังมีความรู้สึกไม่พอใจเมื่อผู้ป่วยขอความเห็นจากผู้ให้บริการ สุขภาพผู้อื่นหรือไม่ให้ความร่วมมือในการที่ผู้ป่วยจะเปลี่ยนผู้ให้บริการหรือสถานบริการ การกำหนดสิทธิผู้ป่วยนี้จึงมีประโยชน์ที่จะลดความขัดแย้งและเป็นการ รับรองสิทธิผู้ป่วยที่จะเลือกตัดสินใจด้วยตนเอง 7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะ ได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย คำอธิบาย สิทธิส่วนบุคคลที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยนี้ถือเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายอาญามาตรา 323 พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ. 2540 ข้อบังคับแพทยสภาพ.ศ. 2526 ซึ่งถือว่าสังคมได้ให้ความสำคัญกับสิทธิผู้ป่วยในข้อนี้มาก เพราะถือว่าเป็นรากฐานที่ผู้ป่วยให้ความไว้วางใจต่อแพทย์ 8. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนในการตัดสินใจเข้าร่วม หรือถอนตัวจากการเป็นผู้ถูกทดลองในการทำวิจัยของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ 9. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตน ที่ปรากฏในเวชระเบียนเมื่อร้องขอ ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่น คำอธิบาย ข้อมูลที่ปรากฏในเวชระเบียนถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเจ้าของประวัติมีสิทธิที่จะรับทราบข้อมูลนั้นได้ ทั้งนี้รวมถึงกรณีผู้ป่วยยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลของตนต่อบุคคลที่สาม เช่นในกรณีมีการประกันชีวิตหรือสุขภาพ 10. บิดามารดาหรือผู้แทนโดยชอบธรรม อาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิด้วยตนเอง :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: ข้อสังเกตคลินิก ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ๑.มีป้ายชื่อสถานพยาบาลและเลขที่ใบอนุญาต ๑๑ หลัก ติดไว้หน้าคลินิก ๒.แสดงใบอนุญาต ให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล ๓.แสดงใบอนุญาต ให้ดำเนินการสถานพยาบาล ๔.แสดงหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมประจำปี ของปีปัจจุบัน ๕.แสดงรูปถ่ายของผู้ประกอบวิชาชีพ พร้อม ชื่อและเลขที่ใบประกอบวิชาชีพ ๖.แสดงอัตราค่ารักษาพยาบาล และ สามารถสอบถามอัตราค่ารักษาได้ ๗.แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ สิทธิผู้ป่วย ในที่เปิดเผยและเห็นง่าย
อ้างอิง: คู่มือประชาชนในการเลือก คลินิก ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข โทร02 193 7000 ต่อ 18416 - 7 FB@สารวัตรสถานพยาบาลOnline https://www.facebook.com/สารวัตรสถานพยาบาล-Online-1502055683387990/
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: คู่มือประชาชนในการเลือก คลินิก ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=07-07-2017&group=15&gblog=80 ช่องทางร้องเรียนเกี่ยวกับ ...ยา ....หมอ ....คลินิก .....โรงพยาบาล ... https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-02-2009&group=7&gblog=18 ไปคลินิกแล้ว จะดูอย่างไรว่า ผู้ที่ตรวจรักษา เป็น หมอจริง ? https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=10-07-2020&group=7&gblog=238 แขวนป้ายแขวน ใบว. ถ้ารู้แล้วยืนยันจะเสี่ยงก็ไม่ว่ากัน https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=12-11-2015&group=7&gblog=193 ข้อแนะนำก่อนจะพบแพทย์กระดูกและข้อ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-07-2008&group=7&gblog=3 ข้อแนะนำเมื่อต้องรับการรักษา https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=24-12-2007&group=4&gblog=2 คำถาม..ที่ควรรู้..คำตอบ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=03-01-2008&group=4&gblog=3 เคล็ดลับ20 ประการ ที่จะช่วยคุณ "ป้องกันความผิดพลาดทางการแพทย์ในการเข้ารับบริการสุขภาพ "... https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cmu2807&month=10-2010&date=19&group=27&gblog=52 หมอคนไหนดี“ ??? .... คำถามสั้น ๆ ง่ายๆ แต่ ไม่รู้จะตอบอย่างไร .. https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=14-01-2012&group=15&gblog=42 ผลของการรักษาโรค https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cmu2807&month=01-2008&date=05&group=27&gblog=22 ข้อเท็จจริงในการดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยแพทย์ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cmu2807&month=06-2013&date=11&group=27&gblog=12 ฉลาดเลือกใช้...การแพทย์ทางเลือกโดยอ.ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-09-2011&group=7&gblog=149 หน้าที่อันพึ่งปฏิบัติของผู้ป่วย(มิย.๖๓) สิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย(สค.๕๘) สิทธิผู้ป่วย(เมย.๔๑) https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=23-12-2007&group=4&gblog=1 ความรู้เกี่ยวกับใบรับรองแพทย์ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=06-01-2008&group=4&gblog=5 แวะมาอ่านและโหวตให้หมอหมูค่ะ
โดย: noklekkaa (papagearna
![]() ใช้เวลากี่วันในการขอประวัติค่ะ
โดย: cartoon IP: 49.229.94.189 วันที่: 23 กันยายน 2558 เวลา:11:14:28 น.
หน้าที่ผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องมีจริงหรือ???
จนถึงขณะนี้ สิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย ที่สภาวิชาชีพด้านสุขภาพได้ร่วมกันจัดทำขึ้นโดยมีท่านอดีตปลัดกระทรวง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ลงนามรับรองและประกาศให้สาธารณชนรับทราบ ได้ผ่านตาสาธารณชนมาเป็นเวลาประมาณสองเดือนเศษ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากสถานพยาบาล บุคลากรสาธารณสุขและประชาชนส่วนใหญ่ที่เห็นควรว่า สิทธิย่อมต้องคู่กับหน้าที่ เสมอ ทั้งนี้ประกาศฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ เพื่อประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วย และ เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะและประเทศชาติ นั่นเอง แต่น่าเสียดายที่มีกลุ่มคนบางกลุ่ม (ซึ่งก็เป็นกลุ่มเดิม ๆ) ออกมาคัดค้านว่า ผู้ปวยไม่จำเป็นต้องมีข้อพึงปฏิบัติ หรือไม่ต้องมีหน้าที่ใด ๆ ถึงขนาดให้ยกเลิกข้อพึงปฏิบัติไปทั้งหมดทั้งสิ้น !! โดยกล่าวอ้างว่าไม่มีประเทศใด ๆ ที่กำหนดหน้าที่หรือความรับผิดชอบของผู้ป่วยไว้แต่อย่างใด ?!? นานาอารยะประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่าง สิงคโปร์ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ถึงขนาดบัญญัติให้ใช้คำว่า หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ป่วย แทนคำว่า ข้อพึงปฏิบัติ ด้วยซ้ำไป เนื้อหานอกเหนือไปจากข้อพึงปฏิบัติที่สภาวิชาชีพได้บัญญัติไว้แล้ว ยังมีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อส่วนรวม ต่อเงินภาษีอากร ต่อทรัพยากรด้านสุขภาพอันเป็นของสาธารณะไว้อีกด้วย เช่น ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องแจ้งโรงพยาบาลหรือผู้เกี่ยวข้องหากไม่สามารถไปตามนัดหมาย เพราะเขามองว่าการผิดนัดโดยไม่บอกกล่าวเป็นการรอนสิทธิผู้ป่วยรายอื่นที่จะได้รับการรักษา หรือ ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องให้ข้อมูลทั้งส่วนตัวและครอบครัวหากเป็นข้อมูลที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องถาม เมื่อไม่เข้าใจขั้นตอนการรักษา ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องใช้ทรัพยากรด้านการรักษาอย่างเหมาะสมถูกต้องตามที่บุคลากรทางการแพทย์แนะนำ (ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าการรักษานั้นได้มาฟรีหรือจ่ายเงินเองก็ตาม) ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ชีวิต เพื่อให้ตนเองหายหรือดีขึ้นจากโรคตามที่แพทย์แนะนำ (บทลงโทษคือต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองหากพิสูจน์ทราบว่าไม่ทำตามที่แนะนำ) ห้ามผู้ป่วยไปใช้ห้องฉุกเฉินโดยไม่มีความฉุกเฉินจริง ๆ ทั้งนี้เพราะจะทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินจริง ๆ ได้รับการรักษาล่าช้า เสียชีวิตหรือพิการโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นเพิ่มภาระงานของบุคลากรที่ต้องอยู่เวรฉุกเฉินโดยไม่จำเป็น หลายแห่งมีการเรียกเก็บเงินเพิ่มหากพบว่าไปรับการรักษาโดยไม่ฉุกเฉินจริง ๆ ในสิงคโปร์มีกฎหมายระบุว่า อวัยวะของผู้วายชนม์ ถือเป็นสมบัติของชาติ ทั้งนี้เพื่อจะได้นำไปปลูกถ่ายเพื่อช่วยชีวิตคนอื่นได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องรอการยินยอม แต่ก็ยังเปิดช่องหากไม่มีความประสงค์จะบริจาค โดยเจ้าตัวต้องแสดงความไม่ยินยอมเป็นเอกสารแจ้งต่อทางการตั้งแต่ยังมีชีวิต อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมคือ เจ้าตัวจะเสียสิทธิด้านการรักษาพยาบาลในขณะยังมีชีวิตอยู่ (กฎข้อนี้ไม่ยกเว้นแม้ว่าจะนับถือศาสนามุสลิม) ในมาเลเซียระบุว่า พลเมืองทุกคนมีหน้าที่ต้องรักษาสุขภาพให้ดี เช่นไม่ทานสุรา ไม่ทานJunk food ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศและบุคลากรไม่ต้องรับภาระหนักโดยไม่จำเป็น !!! พลเมืองต้องยอมรับการแซงชั่นด้วยมาตรการทางกฎหมายสุขภาพหากรัฐเห็นว่าจำเป็นเพื่อผลประโยชน์ต่อชาติ ประเทศสังคมนิยมอย่างจีนก็ยังระบุว่า ผู้ป่วยและญาติต้องให้เกียรติและปฏิบัติต่อบุคลากรอย่างสุภาพและเหมาะสม หากมีการละเมิดสิทธิบุคลากรโดยไม่มีเหตุอันควรจะถูกลงโทษถึงขนาดจำคุกกันเลยทีเดียว ประเทศสวีเดนระบุว่า หากปฏิบัติตนไม่สุภาพต่อบุคลากร ผู้ป่วยจะถูกจำหน่ายออกจากสถานพยาบาลและให้ไปรับการรักษาที่อื่นเอง น่าเสียดายที่บางกลุ่มกล่าวอ้างโดยยกกรณีตัวอย่างผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ว่าข้อพึงปฏิบัติไปรอนสิทธิผู้ป่วยในการเปิดเผยความลับนั้น หากไม่ใช่เพราอคติ ทำนองว่า ค้านทุกเรื่อง ก็อาจเป็นเพราะทำความเข้าใจดีพอ เหตุเพราะมีกฎหมายหลายฉบับคอยอุดช่องโหว่ในประเด็นนี้อยู่แล้ว เช่น ประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความลับอันได้จากการปฏิบัติหน้าที่ ประมวลกฎหมายแพ่งในการฟ้องละเมิดหากใครไปเปิดเผยโดยไม่มีเหตุอันควร ที่สำคัญคือ พรบ.สุขภาพแห่งชาติ ถึงกับกำหนดบทลงโทษทางอาญากับผู้ป่วย ว่าหากไม่เปิดเผยข้อมูลที่ควรจะเปิดเผย แล้วส่งผลร้ายต่อคนอื่น ผู้ป่วยหรือญาติจะมีความผิดทางอาญาเลยทีเดียว การกล่าวอ้างว่าการเปิดเผยข้อมูลนี้แล้วจะตกเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์นั้น ดูจะเป็นการแสดงออกที่เกิดจากความไม่รู้ เหตุเพราะทุกวันนี้บุคลากรหาได้มองโรคนี้น่าเกลียดน่ากลัวอย่างในอดีต สถานพยาบาลและหน่วยงานรัฐต่างพากันรณรงค์และให้ความรู้ในการปฏิบัติงาน การป้องกันตนเอง และการอยู่ร่วมกัน เป็นอย่างดี ในชีวิตจริงจะเห็นบุคลากรยืนพูดคุยโอภาปราศัยกับผู้ติดเชื้อ ไม่ต่างกับการพูดคุยกับคนทั่วไปแต่อย่างใด ที่สำคัญในปัจจุบันมีโรคติดต่อร้ายแรงที่น่ากลัวกว่าการติดเชื้อ HIV อีกมากมาย เช่น ไข้กาฬหลังแอ่น หวัดนก เป็นต้น โรคเหล่านี้ล้วนป้องกันได้ยาก และอัตราตายสูงมากกว่าการติดเชื้อ HIV แบบเทียบกันไม่ติดเลย จนถึงขณะนี้ สถานพยาบาล และบุคลากรการแพทย์ที่ให้การบริบาลรักษาผู้ป่วยอย่างเกินกำลัง ได้ร่วมกันรณรงค์ให้ผู้ป่วยได้รับทราบรายละเอียดดังกล่าว เพื่อมิให้ประเทศไทยถูกเรียกว่า คนป่วยของเอเชีย อีกต่อไป ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ในหน้าที่ของตนเอง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ คสช.ได้ย้ำตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้ามาปฏิรูปประเทศว่า คนไทยทุกคนต้องเคารพสิทธิของคนอื่น และตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบไปพร้อม ๆ กัน ...แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวกลับเดินสวนทางโดยไปยื่นคัดค้านต่อ รมต. สาธารณสุข นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร ว่าไม่ต้องการ ข้อพึงปฏิบัติ ซึ่งหมายความว่า จะขอเอาแต่สิทธิโดยปฏิเสธหน้าที่ใด ๆ นั่นเอง ทำให้อดวิตกไม่ได้ว่าหากครอบครัวส่วนใหญ่ของประเทศพร่ำสั่งสอนลูกหลานให้เรียกร้องเอาแต่สิทธิ โดยปฏิเสธหน้าที่ความรับผิดชอบ เช่นนี้ ประเทศชาติจะมีอนาคตเช่นไร ? ลูกหลานของเราจะอยู่กันอย่างไร ? คนที่น่าจะให้คำตอบได้ชัดเจนที่สุดคือ ท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากเห็นว่า ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องมีหน้าที่ใด ๆ แล้ว ก็เพียงแค่ใช้อำนาจตาม ม. 44 ยกเลิกไปได้เลย.... เครดิต Methee Wong https://www.facebook.com/methee.wong.7/posts/1166391753388387 ![]() โดย: หมอหมู
![]() หน้าที่ผู้ป่วย' ไม่จำเป็นต้องมีจริงหรือ ?
***************************************** รบกวนสร้างความเข้าใจมากขึ้น เพื่อสุขภาพของคนทั้งประเทศ โดยสัปดาห์นี้ขอนำข้อความของคุณหมอ Methee wong ในเฟซบุ๊กมาอธิบายครับ จนถึงขณะนี้ "สิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย" ที่สภาวิชาชีพด้านสุขภาพได้ร่วมกันจัดทำขึ้น โดยมีอดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ลงนามรับรองและประกาศให้สาธารณชนรับทราบ ได้ผ่านตาสาธารณชนมาเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากสถานพยาบาล บุคลากรสาธารณสุข และประชาชนส่วนใหญ่ที่เห็นควรว่า "สิทธิย่อมต้องคู่กับหน้าที่" เสมอ ทั้งนี้ประกาศฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ "เพื่อประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วย" และ "เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะและประเทศชาติ" นั่นเอง อาจมีกลุ่มคนบางกลุ่มออกมาคัดค้านว่า "ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องมีข้อพึงปฏิบัติ หรือไม่ต้องมีหน้าที่ใดๆ" ถึงขนาดให้ยกเลิกข้อพึงปฏิบัติไปทั้งหมดทั้งสิ้น โดยกล่าวอ้างว่า ไม่มีประเทศใดที่กำหนดหน้าที่หรือความรับผิดชอบของผู้ป่วยไว้แต่อย่างใด นานาอารยประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างเช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ถึงขนาดบัญญัติให้ใช้คำว่า "หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ป่วย" แทนคำว่า "ข้อพึงปฏิบัติ" เนื้อหานอกเหนือไปจากข้อพึงปฏิบัติที่สภาวิชาชีพได้บัญญัติไว้แล้ว ยังมีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อส่วนรวม ต่อเงินภาษีอากร ต่อทรัพยากรด้านสุขภาพอันเป็นของสาธารณะไว้อีกด้วย เช่น "ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องแจ้งโรงพยาบาล หรือผู้เกี่ยวข้องหากไม่สามารถไปตามนัดหมาย" เพราะเขามองว่า การผิดนัดโดยไม่บอกกล่าวเป็นการรอนสิทธิผู้ป่วยรายอื่นที่จะได้รับการรักษา หรือ "ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องให้ข้อมูลทั้งส่วนตัวและครอบครัว หากเป็นข้อมูลที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล" "ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องถาม เมื่อไม่เข้าใจขั้นตอนการรักษา" "ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องใช้ทรัพยากรด้านการรักษาอย่างเหมาะสมถูกต้องตามที่บุคลากรทางการแพทย์แนะนำ" (ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าการรักษานั้นได้มาฟรีหรือจ่ายเงินเอง) "ผู้ป่วยมีหน้าที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อให้ตนเองหายหรือดีขึ้นจากโรคตามที่แพทย์แนะนำ" (บทลงโทษคือ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองหากพิสูจน์ทราบว่าไม่ทำตามที่แนะนำ) "ห้ามผู้ป่วยไปใช้ห้องฉุกเฉินโดยไม่มีความฉุกเฉินจริง" ทั้งนี้เพราะจะทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินจริงได้รับการรักษาล่าช้า เสียชีวิต หรือพิการโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระงานของบุคลากรที่ต้องอยู่เวรฉุกเฉินโดยไม่จำเป็น หลายแห่งมีการเรียกเก็บเงินเพิ่ม หากพบว่าไปรับการรักษาโดยไม่ฉุกเฉินจริง ในสิงคโปร์มีกฎหมายระบุว่า "อวัยวะของผู้วายชนม์ ถือเป็นสมบัติของชาติ" ทั้งนี้เพื่อจะได้นำไปปลูกถ่ายเพื่อช่วยชีวิตคนอื่นได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องรอการยินยอม แต่ก็ยังเปิดช่องหากไม่มีความประสงค์จะบริจาค โดยเจ้าตัวต้องแสดงความไม่ยินยอมเป็นเอกสารแจ้งต่อทางการตั้งแต่ยังมีชีวิต อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามคือ เจ้าตัวจะเสียสิทธิด้านการรักษาพยาบาลในขณะยังมีชีวิตอยู่ (กฎข้อนี้ไม่ยกเว้นแม้ว่าจะนับถือศาสนาอิสลาม) ในมาเลเซียระบุว่า "พลเมืองทุกคนมีหน้าที่ต้องรักษาสุขภาพให้ดี" เช่น ไม่ดื่มสุรา ไม่กิน Junk food ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศและบุคลากรไม่ต้องรับภาระหนักโดยไม่จำเป็น! "พลเมืองต้องยอมรับการแซงก์ชั่นด้วยมาตรการทางกฎหมายสุขภาพ หากรัฐเห็นว่าจำเป็นเพื่อผลประโยชน์ต่อชาติ" ประเทศสังคมนิยมอย่างจีนก็ยังระบุว่า "ผู้ป่วยและญาติต้องให้เกียรติและปฏิบัติต่อบุคลากรอย่างสุภาพและเหมาะสม" หากมีการละเมิดสิทธิบุคลากรโดยไม่มีเหตุอันควร จะถูกลงโทษถึงขนาดจำคุกกันเลยทีเดียว ประเทศสวีเดนระบุว่า "หากปฏิบัติตนไม่สุภาพต่อบุคลากร ผู้ป่วยจะถูกจำหน่ายออกจากสถานพยาบาล และให้ไปรับการรักษาที่อื่นเอง" น่าเสียดาย ที่บางกลุ่มอาจไม่เข้าใจ โดยยกกรณีตัวอย่างผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ว่าข้อพึงปฏิบัติไปรอนสิทธิผู้ป่วยในการเปิดเผยความลับนั้น ความจริงมีกฎหมายหลายฉบับคอยอุดช่องโหว่ในประเด็นนี้อยู่แล้ว เช่น ประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความลับอันได้จากการปฏิบัติหน้าที่ ประมวลกฎหมายแพ่งในการฟ้องละเมิดหากใครไปเปิดเผยโดยไม่มีเหตุอันควร ที่สำคัญคือ "พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติถึงกับกำหนดบทลงโทษทางอาญากับผู้ป่วยว่า หากไม่เปิดเผยข้อมูลที่ควรจะเปิดเผยแล้วส่งผลร้ายต่อคนอื่น ผู้ป่วยหรือญาติจะมีความผิดทางอาญาเลยทีเดียว" การกล่าวอ้างว่า การเปิดเผยข้อมูลนี้แล้วจะตกเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์นั้นน่าจะเกิดจากความไม่รู้ เหตุเพราะทุกวันนี้บุคลากรหาได้มองโรคนี้น่าเกลียดน่ากลัวอย่างในอดีต สถานพยาบาลและหน่วยงานรัฐต่างพากันรณรงค์และให้ความรู้ในการปฏิบัติงาน การป้องกันตนเอง และการอยู่ร่วมกันเป็นอย่างดี ในชีวิตจริงจะเห็นบุคลากรยืนพูดคุยโอภาปราศรัยกับผู้ติดเชื้อไม่ต่างจากการพูดคุยกับคนทั่วไปแต่อย่างใด ที่สำคัญในปัจจุบันมีโรคติดต่อร้ายแรงที่น่ากลัวกว่าการติดเชื้อเอชไอวีอีกมากมาย เช่น ไข้กาฬหลังแอ่น หวัดนก เป็นต้น โรคเหล่านี้ล้วนป้องกันได้ยาก และอัตราตายสูงมากกว่าการติดเชื้อเอชไอวีแบบเทียบกันไม่ติดเลย จนถึงขณะนี้ สถานพยาบาลและบุคลากรการแพทย์ที่ให้การบริบาลรักษา ผู้ป่วยอย่างเกินกำลัง ได้ร่วมกันรณรงค์ให้ผู้ป่วยได้รับทราบรายละเอียดดังกล่าว เพื่อมิให้ประเทศไทยถูกเรียกว่า "คนป่วยของเอเชีย" อีกต่อไป ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ในหน้าที่ของตนเอง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ย้ำตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้ามาปฏิรูปประเทศว่า "คนไทยทุกคนต้องเคารพสิทธิของคนอื่น และตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบไปพร้อมๆ กัน" การคัดค้านต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ว่า ไม่ต้องการ "ข้อพึงปฏิบัติ" ซึ่งหมายความว่า จะขอเอาแต่สิทธิ โดยปฏิเสธหน้าที่ใดๆ นั่นเอง ทำให้อดวิตกไม่ได้ว่า หากเรียกร้องเอาแต่สิทธิ โดยปฏิเสธหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นนี้ ประเทศชาติจะมีอนาคตเช่นไร? ลูกหลานของเราจะอยู่กันอย่างไร ? ที่หมอขอยกคำอธิบายของคุณหมอ methee wong มานี่ ไม่ได้เข้าข้างหมอด้วยกัน แต่เรียนพวกเราทุกคนอย่ามองในแง่ลบทั้งหมด มีอะไรที่ช่วยกัน ต้องทำ การดูแลตนเอง การบอกข้อมูล ยาทุกชนิดที่เข้ามาอยู่ในคลังไม่ว่าหมอจ่าย ซื้อกินเอง ต้องบอกให้หมด ในเรื่องเอชไอวีนั้น ถ้าไม่บอก การรักษาจะผิดหมดและเกิดผลร้ายครับ จะให้ไหว้หรือกราบก็ยอมครับ ภาวะสาธารณสุขขณะนี้ก็เต็มกลืนจนจะล่มสลายแล้วครับ ! ผู้เขียน : ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา //www.hfocus.org/content/2015/11/11311 โดย: หมอหมู
![]() แพทยสภาได้ออกประกาศ ที่ 50/2563 ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2563 เรื่อง หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย เพื่อสร้างความตระหนักแก่ผู้ป่วยถึงความสำคัญของการให้ความร่วมมือในกระบวนการรักษาพยาบาลภายใต้การดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่มุ่งหวัง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 137 ตอนพิเศษ 152 ง วันที่ 29 มิถุนายน 2563) ขอเชิญทุกท่านศึกษารายละเอียด/ download เอกสารได้ที่เว็บไซต์แพทยสภา (https://tmc.or.th/) หรือกดที่ link ต่อไปนี้ Infographic - หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย https://tmc.or.th/Media/media-2020-06-25-09-29-53.pdf ประกาศแพทยสภา - หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย https://tmc.or.th/Media/media-20200625153111.pdf ประกาศแพทยสภา - หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย ฉบับลงราชกิจจานุเบกษา //www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/152/T_0005.PDF ที่มา: แพทยสภา https://www.facebook.com/thaimedcouncil/posts/2597320040532885?__tn__=-R หมายเหตุ ประกาศนี้เป็นเพียง " แนวทางความเข้าใจ ขอความร่วมมือ โดยไม่มีโทษใดๆ " เพียงแต่ย้ำเตือนว่า หากมีการกระทำใดในสถานพยาบาล ที่ผิดกฎหมาย เช่น ทำลายข้าวของ ตีกันในห้องฉุกเฉิน อาจถูกลงโทษได้ "ตามที่กฎหมายฉบับอื่น" บัญญัติ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย เรียงตามระยะเวลาที่ออกประกาศ - สิทธิของผู้ป่วย (๑๖ เมษายน ๒๕๔๑) - สิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย (๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๘) - หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย (๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓) *********************************************** แพทยสภายัน ประกาศ 10 ข้อหน้าที่ผู้ป่วย ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลต่อคดีทางการแพทย์ Thu, 2020-07-02 18:27 -- hfocus team https://www.hfocus.org/content/2020/07/19680 หมอประสิทธิ์ อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 แจงประกาศ 10 ข้อพึงปฏิบัติหน้าที่ผู้ป่วย แค่ขอความร่วมมือ ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลทางคดีทางการแพทย์ แต่เป็นประกาศที่ก่อประโยชน์ในการรักษาโรค เพราะไม่มีการปิดบังข้อมูลสุขภาพ เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ที่ อาคารสภาวิชาชีพ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภาคนที่1 กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การออกประกาศแพทยสภาที่ 50/2563 เรื่องหน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย 10 ข้อว่า เป็นการมีการลงโทษ จำกัดสิทธิผู้ป่วย ทั้งที่แพทยสภาไม่ได้เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจ ว่า หลังออกประกาศดังกล่าวอาจทำให้มีการตีความผิดไป ซึ่งต้องขอยืนยันว่าประกาศดังกล่าวไม่ใช่กฎหมาย และแพทยสภาไม่ได้มีหน้าที่ในการออกกฎหมาย แต่ที่มีการออกประกาศฉบับดังกล่าวเพื่อเป็นคำแนะนำ และขอความร่วมมือจากประชาชนในการดูแลสุขภาพ และการรักษาโรค ยกตัวอย่างประกาศข้อที่ 2 ซึ่งระบุว่าผู้ป่วยพึงเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพที่เป็นจริง นั้น ก็เพื่อประโยชน์ในการรักษาโรค และคนที่อยู่ใกล้ชิด อย่างเมื่อการระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อเข้ามารับการรักษาที่รพ.ศิริราช และไม่บอกว่าไปพื้นที่เสี่ยงมา ทำให้ครั้งนั้นมีบุคลากรการแพทย์ต้องกักตัวถึง 26 คน และหรือกรณีที่เราสอบถามว่าผู้ป่วยใช้ยาอะไรอยู่หรือไม่ ก็เพื่อการพิจารณาให้การรักษาที่เหมาะสม ไม่ทำให้เกิดการตีกันของยานั้นๆ หรือประกาศข้อที่ 10 ที่ระบุว่า ผู้ป่วยพึงตระหนักว่าการละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามรายละเอียดข้างต้นอาจจะส่งผลต่อการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยเอง ในบางกรณี หากเกิดความเสียหายต่อสถานพยาบาลหรือผู้ป่วยท่านอื่น อาจได้รับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งในข้อนี้อาจจะทำให้เกิดการตีความและเข้าใจผิดว่าถ้าไม่ทำตามแล้วจะมีบทลงโทษ ดังนั้นตนขอสื่อสารยืนยันว่าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่กรณีนี้ แพทยสภาเป็นห่วงว่าหากมีการกระทำอะไร เช่น ตีกันในรพ.แล้วทำให้เกิดความเสียหายต่อสถานพยาบาล อุปกรณ์การแพทย์ จะมีกฎหมายอื่นๆ ที่กำกับอยู่ ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีภาคประชาชนมีความกังวลว่าประกาศดังกล่าวจะมีผลต่อการพิจารณาคดีความทางการแพทย์หรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าประกาศฉบับนี้ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีความทางการแพทย์แน่นอน เพราะตัวประกาศไม่ได้ใช้คำว่า ต้องปฏิบัติ แต่ประกาศจะใช้คำว่า พึงปฏิบัติ ซึ่งหมายถึงการแนะนำ การขอความร่วมมือ ซึ่งจะทำหรือไม่ทำก็ได้ เหมือนกับที่ตอนนี้เราขอให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออกจากบ้าน ถ้าไม่ทำก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าทำก็จะเป็นผลดี ในการป้องกันการติดเชื้อโควิดของคนนั้นๆ และช่วยลด หรือป้องกันการระบาดของโรคในสังคมไทย เป็นต้น ขอย้ำและบันทึกผ่านสื่อมวลชนว่าประกาศฉบับดังกล่าวไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีความทางการแพทย์ เป็นเพียงประกาศขอความร่วมมือจากประชาชนเพื่อให้ผลในการรักษาโรคมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อตัวผู้ป่วยเอง และเพื่อสังคม ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว. ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โดย: หมอหมู
![]() ประกาศแพทยสภาที่ 50/2563 เรื่อง หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย
ด้วยกระบวนการรักษาพยาบาลภายใต้การดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นไปเพื่อมุ่งหวังให้ผู้ป่วยพ้นจากความเจ็บป่วยและทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นสำคัญ แต่นอกเหนือจากความพยายามของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและบุคลากรสาธารณสุขแล้วหนึ่งในปัจจัยสำคัญอันจะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ คือ การได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วย ซึ่งหลายประเด็นเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยอาจไม่ทันตระหนักหรือทราบมาก่อนว่า เป็นสิ่งจำเป็นและมีผลอย่างยิ่งต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 21 (1) ประกอบกับมาตรา7 (2) และ7 (4) แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 แพทยสภาจึงออกประกาศเรื่อง หน้าที่อันพึงปฏิบัติของผู้ป่วย ดังนี้ ข้อ 1 การเอาใจใส่และดูแลสุขภาพของตนเอง รวมทั้งการปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นสิ่งส าคัญที่สุดในกระบวนการรักษาพยาบาล ทั้งนี้ หากผู้ป่วยเห็นว่าไม่อาจทำตามคำแนะนำดังกล่าวได้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้ทราบโดยทันที เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน ข้อ 2 ผู้ป่วยพึงเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพ ที่เป็นจริงและอยู่ในความรับรู้ ของผู้ป่วยแก่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทั้งนี้ เพื่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะได้รับทราบข้อมูลด้านสุขภาพทั้งหมดอันจะเป็นประโยชน์ต่อการให้การรักษาพยาบาลและป้องกันมิให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อตัวผู้ป่วยเองและต่อผู้ป่วยรายอื่น รวมทั้งบุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง ข้อ 3 ผู้ป่วยพึงปฏิบัติตามระเบียบที่สถานพยาบาลกำหนดไว้ ข้อ 4 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่าการใช้สิทธิการรักษาพยาบาล รวมทั้งสิทธิผู้ป่วยตามที่กำหนดไว้ต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้ป่วยท่านอื่น ข้อ 5 ผู้ป่วยพึงหลีกเลี่ยงการกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและบุคลากรสาธารณสุขหากมีกรณีที่ผู้ป่วยไม่เห็นด้วยต่อการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ท่านสามารถให้คำแนะนำหรือใช้สิทธิร้องเรียนได้ตามระเบียบปฏิบัติของสถานพยาบาลนั้นๆ ข้อ 6 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่า ห้องฉุกเฉินเป็นสถานที่ซึ่งจัดเตรียมไว้เป็นการเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ตกอยู่ใน ภาวะเร่งด่วนและเป็นภยันตรายอันใกล้ต่อชีวิต เป็นสำคัญ บุคลากรสาธารณสุขจะให้การรักษาตามลำดับความเร่งด่วนทางการแพทย์เป็นสำคัญ ดังนั้นพึงหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นการกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบของบุคลากรในห้องฉุกเฉิน ข้อ 7 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่า ทรัพยากรในระบบสาธารณสุขมีราคาแพงและมีจำนวนจำกัด ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมร่วมกับสถานพยาบาลจึงจำเป็นต้องมีมาตรการในการจัดสรรการใช้ทรัพยากรอันมีค่าอย่างระมัดระวัง การกระทำการใดๆ ของผู้ป่วยโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรอันมีค่า และส่งผลเสียร้ายแรงต่อการรักษาพยาบาลของตัวผู้ป่วยเอง รวมทั้งต่อผู้ป่วยท่านอื่น ข้อ 8 ผู้ป่วยพึงเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุคลากรสาธารณสุขและผู้ป่วยท่านอื่นในสถานพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้ามกระทำการถ่ายรูป บันทึกเสียงหรือภาพเคลื่อนไหวรวมทั้งกระทำการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันนี้ โดยมิได้รับความยินยอมก่อน ข้อ 9 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่า เอกสารลงนามในการให้ความยินยอมเพื่อรับการรักษาพยาบาล เป็นเอกสารสำคัญที่ให้รายละเอียด ตลอดจนข้อจำกัดและความเสี่ยงของการรักษาพยาบาล ดังนั้นก่อนทำการลงนามในเอกสารดังกล่าว ผู้ป่วยต้องอ่านและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือมีความไม่เข้าใจใด ๆ ควรสอบถามผู้เกี่ยวข้องก่อนการลงนามทุกครั้ง ข้อ 10 ผู้ป่วยพึงตระหนักว่า การละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามรายละเอียดข้างต้น อาจส่งผลเสียต่อการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยเอง และในบางกรณี หากเกิดความเสียหายต่อสถานพยาบาลหรือผู้ป่วยท่านอื่น ท่านอาจได้รับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ศาสตราจารย์เกียรติคุณสมศรี เผ่าสวัสดิ์ โดย: หมอหมู
![]() |
บทความทั้งหมด
|