การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (ตรวจแลบ) การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (ตรวจแลบ) (ดัดแปลงจาก เอกสารของ สมาคมโรครูมาติซึม ) ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ มีบ่อยครั้งที่แพทย์จะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ (ส่งแล็ป) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแพทย์ยืนยันการวินิจฉัย ประเมินความรุนแรงของโรค วางแผนและติดตามการรักษา บทความชิ้นนี้จะให้ความรู้คร่าว ๆ ถึงความสำคัญของการตรวจทางห้องปฏิบัติการแต่ละอย่าง ทำไมจึงต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ? เราจำเป็นต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อ 1. ยืนยันการวินิจฉัย เนื่องจากโรคกลุ่มข้ออักเสบประกอบด้วยโรคต่าง ๆ มากกว่า 100 ชนิด โรคข้ออักเสบบางอย่างมีอาการและอาการแสดงคล้ายกันมาก หรือ อาจมีอาการแสดงในระบบอื่น ๆ นอกจากข้อ ร่วมด้วย การตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงช่วยแพทย์ในแง่ยืนยันการวินิจฉัยและให้ทราบถึงการมีอาการของโรคในอวัยวะอื่น ๆ 2. ติดตามผลการรักษาและติดตามอาการของโรค เนื่องจากโรคข้ออักเสบส่วนใหญ่เป็นโรคเรื้อรัง และ มักจะมีอาการสงบหรือการกำเริบสลับกันไป การตรวจทางห้องปฏิบัติการจะช่วยแพทย์ให้ทราบถึงความรุนแรงของโรค และการรักษาว่าได้ผลดีหรือไม่ เพื่อจะปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสม 3. ติดตามผลข้างเคียง ยาทุกชนิดมีผลข้างเคียงด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่า ยาจะมีความสามารถในการระงับ ข้ออักเสบได้ดีก็ตาม แต่ก็มีผลข้างเคียงต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบเลือด ตับ ไต เป็นต้น การตรวจทางห้อง-ปฏิบัติการจะทำให้แพทย์ทราบถึงภาวะข้างเคียงที่เกิดขึ้น และสามารถปรับการรักษาให้เหมาะสมได้ การตรวจเลือด 1. การตรวจความเข้มข้นของเลือดและเม็ดเลือด ในขณะที่มีการอักเสบเรื้อรังของร่างกาย จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการซีดได้เล็กน้อย จำนวนเม็ดเลือดขาวที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อการอักเสบ หรือการติดเชื้อที่ยารักษาโรคข้ออักเสบบางชนิดจะทำให้เม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น เกล็ดเลือดในร่างกายจะช่วยให้เลือดในร่างกายแข็งตัว ยาหลายชนิดทำหน้าที่กดไขกระดูกทำให้เกล็ดเลือดต่ำได้ 2. การตรวจอีเอสอาร์ (ESR) เป็นการวัดอัตราการตกของเม็ดเลือดแดง ค่าที่ได้เป็นตัวบ่งบอกถึงการอักเสบของร่างกาย ถ้ายิ่งมีค่าน้อย (เม็ดเลือดแดงตกเร็ว) แสดงว่ายิ่งอักเสบมาก 3. การตรวจหน้าที่ตับ เป็นการตรวจวัดหน้าที่การทำงานของตับ และบ่งบอกถึงปริมาณที่ตับถูกทำลาย เนื่องจาก ยาหลายชนิดมีพิษต่อตับ ในขณะเดียวกัน ถ้าตับทำหน้าที่บกพร่อง ก็อาจทำให้การทำลายยาของร่างกายไม่เป็นปกติ เกิดยาสะสมในร่างกาย และเกิดเป็นพิษจากยาได้ 4. การตรวจหน้าที่ไต เป็นการตรวจการทำงานของไต ยารักษาโรคข้ออักเสบบางชนิดอาจมีพิษต่อไต เพราะ ไตเป็นอีกอวัยวะหนึ่งที่ทำหน้าที่ขับยาออกจากร่างกาย ในกรณีที่ไตบกพร่องจะทำให้ยาคั่งและเป็นพิษต่อร่างกายได้ 5. การตรวจเอ็นซัยม์กล้ามเนื้อ โรคข้ออักเสบบางชนิดจะมีการอักเสบของกล้ามเนื้อร่วมด้วย การตรวจเอ็นซัยม์กล้ามเนื้อจะเป็นการบ่งบอกถึงความรุนแรงที่กล้ามเนื้อถูกทำลายจากการอักเสบ และยังใช้ติดตามผลการรักษาได้ด้วย 6. การตรวจหากรดยูริก ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าท์จะพบว่ามีระดับกรดยูริกในเลือดสูง ซึ่งกรดยูริกนี้จะตกตะกอนเป็นผลึกสะสมอยู่ตามข้อต่าง ๆ และก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น แต่ผู้ที่มีกรดยูริกสูงไม่จำเป็นเสมอไปที่จะเป็นโรคเก๊าท์ จะถือว่าเป็นโรคเก๊าท์ เมื่อมีระดับกรดยูริกสูงร่วมกับอาการและอาการแสดงของช้ออักเสบ 7. การตรวจหาสารรูมาตอยด์ เป็นการตรวจหาสารโปรตีนชนิดหนึ่งในเลือด ในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จะตรวจพบได้ประมาณร้อยละ50-80 การตรวจพบสารโปรตีนชนิดนี้จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค แต่การตรวจพบสารโปรตีนชนิดนี้สามารถพบได้ในโรคข้ออักเสบอื่น ๆ หรือโรคติดเชื้อบางอย่าง โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เป็น โรครูมาตอยด์ก็ได้ และมีผู้ป่วยโรครูมาตอยด์บางส่วนที่อาจตรวจไม่พบสารรูมาตอยด์ก็ได้ 8. การตรวจหาสารแอนตี้บอดี้ต่าง ๆ เป็นการตรวจหาสารโปรตีนในเลือดอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อหรือเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย การตรวจพบสารนี้เป็นการบ่งบอกว่าร่างกายได้สร้างสารเคมีต่อต้านเนื้อเยื่อของร่างกายเอง สารนี้มีอยู่หลายชนิดและสามารถพบได้ในกลุ่มอาการโรคข้ออักเสบหรือเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน แพทย์จะใช้การตรวจสารเหล่านี้ในการยืนยันการวินิจฉัยและติดตามการรักษา การตรวจปัสสาวะ เนื่องจากโรคข้ออักเสบหลายชนิดอาจมีภาวะแทรกซ้อนหรืออาการแสดงทางไตได้ การตรวจปัสสาวะจึงเป็นการดูว่าผู้ป่วยมีไตอักเสบร่วมด้วยหรือไม่ ยาที่ใช้ในการรักษาบางชนิดอาจมีผลต่อการทำงานของไต ในบางครั้งแพทย์อาจทำการเก็บตรวจปัสสาวะของผู้ป่วยทั้งวัน เพื่อตรวจดูปริมาณสารต่าง ๆ ที่ไตขับออกมาตลอดทั้งวัน ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความรุนแรงของโรคและตัดสินใจรักษาได้อย่างเหมาะสม การตรวจ น้ำไขข้อ การตรวจ น้ำไขข้อเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ โดยเฉพาะจะมีประโยชน์ในการช่วยแยกโรคข้ออักเสบว่าเป็นจากการติดเชื้อ หรือเป็นจากผลึกเกลือต่าง ๆ การตรวจทางภาพรังสี มีความสำคัญในการช่วยการประเมินสภาพของข้อว่าข้อได้ถูกทำลายไปในขบวนการอักเสบของข้อมากน้อยเพียงใด และอาจช่วยในการวินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคบางอย่าง ในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงทางภาพรังสีจะค่อยเป็นค่อยไปและใช้เวลานาน เป็นเหตุให้แพทย์ต้องตรวจภาพรังสีซ้ำเป็นระยะ ๆ การตรวจชิ้นเนื้อ ส่วนใหญ่แพทย์จะสามารถทำการตรวจวินิจฉัยโรคข้ออักเสบได้ไม่ยากนัก แต่ในบางกรณีที่การวินิจฉัยไม่แน่นอน แพทย์อาจต้องทำการตัดตรวจชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและช่วยในการรักษา การตรวจชิ้นเนื้อ เช่น การตรวจชิ้นเนื้อเยื่อบุข้อในกรณีข้ออักเสบ การตรวจกล้ามเนื้อในกรณีกล้ามเนื้ออักเสบ การตัดตรวจผิวหนังและเส้นประสาทในกรณีผิวหนังอักเสบหรือเส้นประสาทอักเสบ การตรวจชิ้นเนื้อกระดูกในกรณีที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งกระดูก เป็นต้น แถม ... การแปลผลการตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจอะไร แปลผลอย่างไร ... by drcarebear (นำมาฝาก) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=30-12-2011&group=4&gblog=93 โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=05-01-2008&group=5&gblog=2 โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ กายภาพบำบัด https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=20-01-2008&group=5&gblog=3 โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ข้อแนะนำเกี่ยวกับยา MTX (เมทโทรเทรกเสด หรือ ยาต้านมะเร็ง) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-02-2008&group=5&gblog=4 โรครูมาตอยด์ในเด็ก https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-02-2008&group=5&gblog=7 โรคเอสแอลอี หรือ โรคลูปัส https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=08-03-2008&group=5&gblog=9 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (ตรวจแลบ) https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=10-02-2008&group=4&gblog=9 โรคข้ออักเสบ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-12-2007&group=5&gblog=1 เวบสมาคมรูมาติซั่มแห่งประเทศไทย ( หมออายุรกรรมโรคข้อ ) //www.thairheumatology.org/index.php เวบสมาคมรูมาติซั่ม รายชื่อแพทย์รูมาโต ( หมออายุรกรรมโรคข้อ ) //www.thairheumatology.org/list_bkk.php โดย: หมอหมู
![]() การแปลผลการตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจอะไร แปลผลอย่างไร ... by drcarebear (นำมาฝาก) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=30-12-2011&group=4&gblog=93 โดย: หมอหมู
![]() |
บทความทั้งหมด
|
//www.doctor.or.th/node/5884
นิตยสาร หมอชาวบ้าน เล่ม : 359
เดือน-ปี :03/2552
คอลัมน์ :คุยกับ หมอ 3 บาท
นักเขียนหมอชาวบ้าน :นพ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์
ผู้เขียนจำวลีที่ว่า "มัวเบ่งทางแล็บ บัดซบจริงกู" ของ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ประเวศ วะสี ซึ่งสื่อมวลชน ยกย่องเป็นราษฎรอาวุโส นักวิชาการกล่าวถึงในนามปัญญาชนสยาม และบรรดาแพทย์ทั้งหลายยกย่องท่านเป็นหนึ่งในบรมครูแพทย์ ซึ่งท่านได้ให้ข้อคิดว่าปัจจุบันหมอจะให้ความสำคัญกับผลตรวจจากห้องปฏิบัติการหรือแล็บ (lab) หรือตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ มากกว่าการซักประวัติตรวจร่างกายเสียอีก
บรมครูแพทย์ที่ยังมีชีวิต อยู่ยังมีอีกหลายท่าน แต่ที่ผู้เขียนชื่นชมเป็นพิเศษคือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา และศาสตราจารย์นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่ง ท่านสุดท้ายนี้คงเป็นที่คุ้นเคย ในฐานะที่เป็นบิดาของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ท่านเหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างของแพทย์ที่ทำ งานโดยใช้ความรู้และทักษะในการซักประวัติ ตรวจร่างกายโดยละเอียดก่อนใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (แล็บ) เอกซเรย์ และอื่นๆ เป็นตัวช่วยในการวินิจฉัย
พูดกันเล่นๆ ว่านิยมไฮทัช - โลเทค (High touch - Low tech) ที่ต้องบอกว่าพูดเล่นๆ เพราะบางคนอาจเข้าใจว่า High touch แปลว่าลูบข้างบน และถ้าไปเจอกับ Low touch ก็จะยิ่งหวาดเสียวไปกันใหญ่ แต่ความหมายจริงๆ ที่ต้องการสื่อคือ ให้หมอใช้มือตรวจผู้ป่วยให้ มากกว่าการเน้นไปที่ผลตรวจจากเครื่องมือแพงๆ โดยละเลยความรู้และทักษะการตรวจร่างกายไป
สำหรับวลี "มัวเบ่งทางแล็บ บัดซบจริงกู" ของอาจารย์ประเวศ วะสี นั้น ท่านได้เตือนสติถึงพฤติกรรมของหมอที่ใช้ทักษะในการซักประวัติและตรวจร่างกายน้อยเกินไป แต่จะไปมุ่งที่ผลแล็บ หรือผลตรวจจากเครื่องมืออื่นๆ เป็นส่วนใหญ่ ทำให้สิ้นเปลืองและอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ยิ่งปัจจุบันมีการตรวจแล็บมากมาย ถ้าใช้ถูกก็เป็นคุณ ใช้ผิดก็เกิดโทษ ใช้ฟุ่มเฟือยก็สิ้นเปลือง ใช้บ่อยเกินไปก็จะทำให้ใช้สมองน้อยลง และถ้าใช้แล้วมีความผิดพลาดก็จะเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้
ผู้ป่วยมีสิทธิ์เลือกหรือไม่?
โดยจรรยาแพทย์และสิทธิของผู้ป่วย ย่อมต้องให้ ผู้ป่วยมีสิทธิ์เลือก แต่ในทางปฏิบัติทำได้ยาก หมอมักจะอ้างว่าไม่มีเวลาอธิบาย หรืออธิบายยากเพราะเป็นวิชาการแพทย์ที่ซับซ้อน
มีความจำเป็น แค่ไหน?
เป็นคำถามที่บางครั้งก็ดูกวนใจหมอ แต่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่พึงตระหนักเมื่อจะทำอะไรกับร่างกาย ลำพังตรวจแค่อุจจาระ-ปัสสาวะก็ไม่เท่าไหร่ ตรวจเลือดก็ต้องเจ็บตัว ตรวจเอกซเรย์ก็โดนกัมมันตภาพรังสี ส่องกล้องหรือสวนหลอดเลือดก็เสี่ยงต่อการบาดเจ็บและภาวะแทรกซ้อน เป็นต้น ดังนั้นการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษควรทำเมื่อจำเป็นเท่านั้น
ไม่ ตรวจได้ไหม?
อันนี้ยิ่งกวนใจหมอยิ่งกว่า เพราะเป็นการปฏิเสธสิ่งที่หมอต้องการจะทำ แต่ผู้ป่วยก็ควรที่จะพิทักษ์สิทธิของตน โดยขอหมอให้อธิบายและชี้แจงข้อดีข้อเสีย รวมทั้งความจำเป็นในการตรวจพิเศษต่าง ๆ (โดยเฉพาะที่ต้องใส่เครื่องมือเข้าสู่ร่างกาย) หมอที่ดีจะเต็มใจให้ข้อมูลและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเลือก รวมถึงแนะนำหนทางที่ดีที่สุด โดยต้องเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยน้อยที่สุดด้วย
อย่างไรก็ตาม หากโชคร้ายเจอหมอที่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ตัวเอง อาจแสดงความไม่พอใจถ้าผู้ป่วยปฏิเสธ และข้อมูลที่สื่อออกมาอาจยิ่งทำให้ผู้ป่วยไม่สบายใจมากขึ้น
แล้วจะทำอย่างไร?
ในเมื่อหมอได้ชี้แจง "ข้อเท็จจริง" หรือ "เหมือนจริง" ว่าจำเป็นต้องตรวจพิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ คงต้องพิจารณาดูให้รอบคอบ หากยังสงสัยหรือไม่สบายใจก็คงต้องขอโอกาสในการปรึกษาหมอท่านอื่น (second opinion) เพื่อนำมาช่วยในการตัดสินใจ
อย่าลืมว่าร่างกายเป็น ของเราและมีอยู่หนึ่งเดียว การที่จะทำอะไรกับร่างกายต้องรอบคอบ เพราะบางครั้งผลที่ได้อาจไม่คุ้มเสียนะครับ