ไวรัสตับอักเสบชนิด บี
ไวรัสตับอักเสบชนิด บี
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี อาจมาพบแพทย์ด้วยอาการที่อาจแตกต่างกันได้ โดยอาจแบ่งออกเป็น…


ตับอักเสบเฉียบพลัน

ในประเทศไทยผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันราว 1/3 เกิดจากไวรัสตับอักเสบ บี

ผู้ป่วย ส่วนใหญ่มักมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวดเมื่อยตามตัว บางรายอาจมีไข้ต่ำๆ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร แน่นท้อง ท้องอืด อาจจุกแน่น หรือเจ็บที่บริเวณชายโครงขวาจากตับที่ โต เมื่อไข้ลดบางรายอาจจะมีอาการ ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม หรือ ที่เรียกว่า "ดีซ่าน" บางครั้งอาจท้องเดินได้ ผิวหนังอาจคัน ตับและม้ามโตได้เล็กน้อย

โดยทั่วๆ ไป อาการของโรคอาจปรากฏอยู่ 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะค่อยๆ ทุเลาลงจนสามารถ ทำงานได้ตามปกติในเวลา 4-6 สัปดาห์

ในผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสตับอักเสบบี ร้อยละ 90-95 จะหายเป็นปกติและร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี แต่มีเพียง ร้อยละ 5-10 เท่านั้น ที่ไม่สามารถกำจัดไวรัสออกไปจากร่างกายได้กลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาในระยะหลัง และน้อยกว่าร้อยละ 1 อาจเกิดอาการตับวาย ท้องมาน อาเจียน หรือ อุจจาระเป็นเลือด ไม่รู้สึกตัวหรือโคม่า และอาจเสียชีวิตในที่สุด

อาการของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน แบ่งได้เป็น 3 ระยะดังนี้

1. ระยะอาการนำ มีอาการอ่อนเพลียมีไข้ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ บางรายมีอาการคล้าย ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เบื่ออาหารมก คลื่นไส้ อาเจียน อาจปวดท้องบริเวณชายโครงขวา มีท้องเสียได้ ปัสสาวะสีเหลืองเข้มผิดปกติ ฯลฯ อาการนำเป็นอยู่นาน 4 - 5 วัน จนถึง 1 - 2 สัปดาห์

2. ระยะอาการเหลือง “ดีซ่าน” ผู้ป่วยมีตาเหลือง ตัวเหลือง อาการทั่วไปดีขึ้น แต่ยังอ่อนเพลียคล้ายหมดแรง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ผู้ป่วยตับอักเสบจากไวรัสพบว่า มีอาการดีซ่านเพียงครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่า

3. ระยะฟื้นตัว อาจยังอ่อนเพลียอยู่ อาการข้างต้นหายไป หายเหลืองโดยทั่วไป ระยะเวลาของการป่วยนาน 2 - 4 สัปดาห์ จนถึง 8 - 12 สัปดาห์



ตับอักเสบเรื้อรัง

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ อาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจร่างกายประจำปี พบความผิดปกติในการทำงานของตับ ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่มีการอักเสบ และการทำลาย เซลล์ตับมากๆ โรคจะดำเนินต่อไป ทำให้ตับเสื่อมสมรรถภาพลง จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด นอกจากนี้ยังอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ด้วย โดยพบว่าในคนที่เป็นพาหะเรื้อรังของไวรัสตับ อักเสบชนิดบี มีโอกาสเกิดมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติถึง 200 เท่า




การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ บี

1. การตรวจการทำงานของตับ

โดยการหาเอนไซม์ที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ตับที่อักเสบคือ SGOT(AST) และ SGPT (ALT) ปกติระดับเอนไซม์สองตัวนี้จะน้อยกว่า 40 ถ้าสูงผิดปกติบ่งบอกถึงการอักเสบของ ตับ แต่ไม่ได้จำเพาะกับไวรัสตับอักเสบบี เพราะอาจพบได้ในการอักเสบจากไวรัสตัวอื่นๆ หรือ ผลของยาต่างๆ และแอลกอฮอล์ นอกจากนั้นในกรณีที่เจาะตอนมีไข้ พบว่า ค่าต่างๆ เหล่า นี้อาจผิดปกติโดยผู้ป่วยไม่ได้มีตับอักเสบ

ดังนั้นถ้าพบว่าเอนไซม์ผิดปกติ ต้องปรึกษาแพทย์ ก่อน ซึ่งแพทย์มักเจาะซ้ำอีก 1-2 ครั้ง ถ้ายังผิดปกติจึงหาสาเหตุต่อไป

2. การตรวจหาหลักฐานการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี

ซึ่งมีการตรวจทั้งการหาแอนติเจนของไวรัส และการตรวจทางน้ำเหลือง

การตรวจหาแอนติเจน ที่สำคัญคือหาค่าแอนติเจนส่วนผิวของไวรัส(HBsAg) ซึ่งถ้าพบแสดงถึงกำลังมีการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี แพทย์อาจตรวจหาแอนติเจนอีกตัว คือ HBcAg ซึ่งถ้าให้ผลบวก แสดงถึงการติดเชื้อที่มีการแบ่งตัวของไวรัสอย่างรวดเร็ว มีปริมาณไวรัสมาก

การตรวจทางน้ำเหลือง ที่สำคัญคือการตรวจหาภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบี (Anti HBs) ถ้าให้ผลบวก แสดงว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งอาจเกิดจากการรับวัคซีน หรือเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแต่หายแล้ว การตรวจทางน้ำเหลืองอีกตัว คือ Anti HBc เป็นตัวบ่งว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งอาจจะหายไปแล้ว หรือกำลังติดเชื้ออยู่ก็ได้ ไม่ ใช่ภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อ

นอกจากนี้อาจมีการตรวจหาไวรัสด้วยวิธีอื่น เช่น การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสในเลือด ซึ่งให้ผลแม่นยำกว่า และสามารถบอกปริมาณจากไวรัสได้

3. การตรวจพยาธิสภาพของตับ

โดยการใช้เข็มเล็กๆ เจาะดูดเอาเนื้อตับชิ้นเล็กๆ ออกมาตรวจ การตรวจนี้จะมีประโยชน์ มากในการประเมินความรุนแรงของตับอักเสบ เพื่อประโยชน์ในการรักษา และพยากรณ์โรค

4. การตรวจทางรังสีวิทยา

เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียง (ultrasound) หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ อาจ ได้ประโยชน์ในการประเมินว่ามีตับแข็ง หรือก้อนผิดปกติในตับหรือไม่



แนวทางการรักษา

1. ระยะตับอักเสบเฉียบพลัน

ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส การรักษาโดยทั่วไปเป็นการรักษาตามอาการ ปกติผู้ป่วยจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองอยู่แล้ว ควรพักผ่อนให้เต็มที่ในระยะที่มีอาการ ตาและตัวเหลืองมาก รับประทานอาหารให้เพียงพอ ควรรับประทานอาหารอ่อน และย่อยง่าย งดอาหารมัน งดดื่มสุรา และงดบุหรี่ การรับประทานของหวาน หรือดื่มน้ำหวานมากกว่าปกติ ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น แต่น้ำตาลที่ดื่มเข้าไปมาก ๆ จะเปลี่ยนเป็น ไขมันไปสะสมในตับ อาจทำให้ตับโต จุกแน่นนานกว่าปกติได้ ถ้าผู้ป่วยที่มีอาการมาก แพทย์จะรับไว้รักษาใน โรงพยาบาล และ ให้การรักษาเพื่อทุเลาอาการ หรือประคับประคองให้พ้นระยะอันตราย และป้องกันโรคแทรกซ้อน

2. ระยะตับอักเสบเรื้อรัง

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการจึงสามารถปฏิบัติภารกิจได้ตามปกติไม่ต้องหยุดงาน ถ้ามี อาการของโรคตับอักเสบเล็กน้อยให้พักผ่อนให้เพียงพอ ไปทำงานได้ตามปกติ แต่อย่าออก กำลังกาย หรือทำงานหนัก จนกว่าอาการของโรคตับอักเสบจะหายแล้ว แต่เมื่ออาการของโรค ตับอักเสบหายแล้ว ควรออกกำลังกายแต่พอดีอย่างสม่ำเสมอ

การรับประทานยาบำรุงตับ หรือวิตามิน ไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดการอักเสบของตับหรือลดปริมาณไวรัส

ยาที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประโยชน์ในปัจจุบันมีเพียงการใช้อินเตอร์เฟียรอน(interfe ron) เท่านั้น ซึ่งเป็นยาฉีดต้องใช้ติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 เดือน จึงจะได้ประโยชน์ ซึ่งราว ร้อยละ 30-40 จะทำให้การอักเสบของตับลดลง พร้อมกับปริมาณของไวรัสลดลงด้วย เนื่องจากยาอินเตอร์เฟียรอนมีราคาแพง และมีฤทธิ์ข้างเคียงมาก การใช้จึงควรอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ระบบทางเดินอาหารเท่านั้น

3. การปฏิบัติตัวอื่น ๆ

- งดดื่มสุรา ทั้งในตับอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง พบว่าการดื่มสุราจะเสริมทำให้โรครุนแรงขึ้น ในตับ อักเสบเรื้อรังยังทำให้ตับเสื่อมสมรรถภาพ จนเป็นตับแข็งและมะเร็งตับเร็วขึ้น

- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เพราะยาเกือบทุกตัวจะถูกทำลายที่ตับ การใช้ยาต่าง ๆ จึงควรระมัดระวัง และควรแจ้ง ให้แพทย์ทราบด้วยว่าเป็นตับอักเสบอยู่ การใช้ยาสมุนไพร หรือ ยาสามัญประจำบ้านต่างๆ อาจทำให้โรคลดลงได้

- หมั่นตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ แม้แต่ในผู้ป่วยที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี ก็ควรได้รับการตรวจเป็นระยะๆ อย่าง น้อยทุก 4-6 เดือน เพราะบางครั้งจะมีการอักเสบเกิดขึ้นได้ ในผู้ป่วยที่เป็นชายอายุมาก หรือมีตับแข็งร่วมด้วยควรติดตามเป็นระยะๆ เพื่อตรวจหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มต้น

4. การดูแลป้องกันการติดเชื้อ

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย สารเหลวที่หลั่งจากร่างกาย การใช้ ของมีคม หรือของที่อาจปนเปื้อนเลือด น้ำเหลือง ร่วมกับผู้อื่น เช่น มีดโกน หวี แปรงสีฟัน การใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด การเจาะหู การสัก ฝังเข็ม ทำฟัน การรับประทานอาหารร่วมกับ ผู้ป่วยโดยมีช้อนกลางน่าจะเป็นวิธีลดการติดโรคลงได้

***การทำลายเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สามารถทำได้โดย การต้มให้เดือด อย่างน้อย 5 นาที สารเคมีที่ทำลายเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อย่างได้ผล คือ โซเดียมไฮโดรคลอไรท์ หรือที่รู้จักกันในนามของ คลอรอกซ์ โดยแช่ในความเข้ม 0.5-2.0% สารเคมีกลุ่มฟอร์มาลินก็สามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ดีเช่นกัน***

2. งดการสำส่อนทางเพศ

3. ถ้าพบว่าเป็นพาหะของโรค ควรระมัดระวังไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่ผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ใกล้ชิด

4. ฉีดวัคซีนป้องกัน ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนมากที่สุด คือ เด็กแรกเกิด ในเด็กโตและผู้ใหญ่ โดยทั่วไปมีความจำเป็นน้อยที่จะฉีดวัคซีน เพราะส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้ว หรือมีภูมิต้านทานต่อ การติดเชื้อแล้ว แต่ถ้าต้องการจะฉีดวัคซีนควรจะได้รับการตรวจเลือด เพื่อให้ทราบว่ากำลัง มี หรือเคยมีการติดเชื้ออยู่แล้ว หรือมีภูมิต้านทานเกิดขึ้นแล้วหรือยัง ผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว หรือมีภูมิต้านทานแล้วไม่ต้องฉีดวัคซีน

ในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 10 ขวบอาจไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีน แต่ถ้า เป็นผู้ที่อยู่ในครอบครัวที่เป็นพาหะก็ควรจะตรวจเลือด เพื่อทราบถึงสภาวะของการติดเชื้อ ก่อนการฉีดวัคซีน

***การฉีดวัคซีนต้องฉีดให้ครบชุด ควรปรึกษาแพทย์***



วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบ จากไวรัสตับอักเสบชนิด บี

ในปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบไวรัส บี ที่มีขายอยู่ทั่วไป แบ่งตามวิธีการผลิต ได้ 2 ชนิด คือ ชนิดที่ทำจากพลาสมา (น้ำเลือด) ของคนที่เป็นพาหะ และ ชนิดที่ผลิตโดยวิธี พันธุวิศวกรรม วัคซีนทั้งสองชนิดเป็นวัคซีนที่ให้ความปลอดภัย และให้ประสิทธิภาพในการ ป้องกันโรคได้ดี โดยใช้ตามขนาดที่ระบุไว้ของแต่ละชนิด ซึ่งชนิดที่สองได้รับความนิยม มากกว่า พบว่าการฉีดวัคซีน 3 เข็มที่บริเวณต้นแขนที่ระยะเวลา 0 , 1 และ 6 เดือน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ จะก่อให้เกิดภูมิต้านทานได้ร้อยละ 90-95



การติดต่อของไวรัสตับอักเสบ บี
ที่สำคัญมี 3 ทาง คือ

1. การติดต่อจากมารดาสู่ทารก

หญิงมีครรภ์ที่เป็นพาหะหรือเป็นโรคจะถ่ายทอดเชื้อให้แก่ลูกทางสายสะดือ หรือระหว่าง คลอด เป็นการติดต่อที่สำคัญที่สุด

มีข้อมูลที่ได้จากการศึกษาใน ประเทศไทย พบว่าทารกมีโอกาสติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้สูงถึงร้อยละ 40-50 และร้อยละ 25 ของเด็กที่เป็นพาหะนี้ เมื่อโตขึ้นในชั่วชีวิตเขาจะเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนในตับซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบี

ทารกจะไม่มีอาการของตับอักเสบบีในระยะแรก แต่อาจสำแดง อาการเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และผู้ที่เป็นพาหะยังสามารถแพร่กระจายโรคได้อีกด้วย

การนำวัคซีนป้องกันตับอักเสบบีมาฉีดให้กับทารกแรกคลอดทุกคนจะลดอัตราการติดเชื้อในทารกลงได้มาก มีรายงานการพบไวรัสในน้ำนมมารดาที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี แต่การให้นมบุตรไม่เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทารก

2. การติดต่อโดยเลือด ส่วนประกอบของเลือด รวมถึงการใช้เข็มฉีดยา การ สัก การฝังเข็ม หรือการเจาะหู

ถ้าเลือดหรือเข็มเหล่านั้นปนเปื้อนด้วยไวรัสตับอักเสบ บี จะเป็นสาเหตุสำคัญในการติด เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อได้มากกว่าไวรัสเอดส์หลายเท่า

- โดยการได้รับถ่ายเลือด น้ำเลือด หรือส่วนประกอบของเลือด จากผู้ที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่

- โดยการใช้เข็มฉีดยาที่มีเชื้อปนเปื้อน การเจาะหู การสัก ทำฟันที่ใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ทำลายเชื้อ-ไม่หมดร่วมกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่

- โดยการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่มีเชื้อ เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ และของมีคม อื่นๆ เพราะอาจปนเปื้อนเลือดของคนที่มีเชื้ออยู่ได้

- โดยเข้าทางบาดแผลถลอกที่ผิวหนังโดยไม่รู้ตัวเช่น การกอดรัดฟัดเหวี่ยงหรือการกัดกันเล่นของเด็ก

3. ทางเพศสัมพันธ์

โดยทั่วไป ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะมีโอกาสต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ได้มากกว่าไวรัสเอดส์หลายเท่า

การรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีไม่เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แม้จะมีรายงานพบเชื้อไวรัสในน้ำลายแต่จากการทดลองต้องฉีดเข้าผิวหนังจึงจะก่อให้เกิดโรค***



Create Date : 03 เมษายน 2551
Last Update : 3 เมษายน 2551 18:16:48 น.
Counter : 6835 Pageviews.

2 comments
  


..........ไวรัสตับอักเสบ บี.............

ศาสตราจารย์แพทย์หญิงชุติมา ประมูลสินทรัพย์หน่วยโรคทางเดินอาหารฯ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

ไวรัสตับอักเสบ บี คืออะไร

ไวรัสตับอักเสบ บี เป็นไวรัสตับอักเสบชนิดหนึ่งที่พบบ่อยและเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุข ปัจจุบันพบผู้ป่วยที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีทั่วโลก ประมาณ 350-400 ล้านคน

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบบี สูง เช่นเดียวกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และอัฟริกา ประมาณร้อยละ 6 -10 ของประชากรทั้งหมด คิดเป็นจำนวน 6-7 ล้านคน

ในประเทศไทยการรับเชื้อส่วนใหญ่จาก มารดาเป็นพาหะติดต่อสู่ทารกตอนคลอด เนื่องจากในวัยเด็กภูมิคุ้มกัน ยังไม่ดีพอ โอกาสกำจัดเชื้อไวรัสได้ยาก

นอกจากนี้สามารถติดต่อได้ทางเลือด เช่น การรับเลือดและผลิตภัณฑ์ ของเลือด (การติดต่อทางเลือดนี้ลดลงมาก นับตั้งแต่มีการตรวจคัดกรองเมื่อบริจาคเลือด) จากเข็มฉีดยา การฝังเข็ม และเครื่องมือต่าง ๆ ที่ปนเปื้อนเชื้อ

เชื้อนี้สามารถตรวจพบได้ในน้ำตา น้ำมูกในโพรงจมูก น้ำอสุจิ เยื่อเมือกช่องคลอดเลือดประจำเดือน และน้ำคร่ำ ดังนั้นจึงสามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์และเมื่อมีการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง ดังกล่าว

ไม่ติดต่อทางการรับประทานร่วมกัน โอกาสติดเชื้อได้น้อยมาก


เมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะมีอาการอย่างไรและมีโอกาสหายหรือไม่

ระยะฟักตัวของโรคตับอักเสบไวรัส บี ประมาณ 50-180 โดยเฉลี่ย 90 วัน

หลังได้รับเชื้อบางท่านอาจไม่มีอาการผิดปกติอะไร แต่รู้ว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ บีจากการตรวจเช็คร่างกาย หรือบริจาคเลือด

บางรายมีอาการตับอักเสบ เช่น คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืดท้องเฟ้อ อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ และตามมาด้วยอาการตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะเข้ม อาการจะหายภายใน 1-4 สัปดาห์ บางรายอาจเป็นนานถึง 6 สัปดาห์

ภายใน 10 สัปดาห์การทำงานของตับส่วนใหญ่กลับสู่ปกติ และมีภูมิคุ้มกัน และส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรงจนตับวายและเสียชีวิต

ถ้าได้รับเชื้อในวัยเด็กโอกาสจะหายน้อย มีโอกาสกลายเป็นพาหะหรือตับอักเสบเรื้อรังได้ร้อยละ 50-90 เมื่อเทียบกับถ้าได้รับเชื้อในวัยผู้ใหญ่

ร้อยละ 5-10 ผู้ที่เป็นพาหะหรือตับอักเสบบีเรื้อรัง ส่วนหนึ่งจะมีการดำเนินโรคกลายเป็นโรคตับแข็ง เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆเช่น น้ำในช่องท้อง ตาเหลืองตัวเหลือง เลือดออกจากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร มีอาการซึมสับสนทางสมอง ตับวาย รวมถึงมะเร็งตับ


การตรวจวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ บี

การตรวจวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ บี โดยการตรวจการทำงานของตับ (liver function test) โดยเฉพาะ AST, ALT และตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ (HBsAg)

ส่วนการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ ในผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี เพื่อประเมินระยะ ความรุนแรงของไวรัสและภาวะแทรกซ้อน และวางแผนการรักษา ได้แก่

การตรวจ HBeAg และ anti-HBe เพื่อดูการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส หรือการกลายพันธุ์

การตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัส (HBV DNA) เพื่อประกอบการรักษา

การตรวจชิ้นเนื้อตับเพื่อบอกความรุนแรงของตับอักเสบ และมะเร็งตับจากการตรวจหาอัลฟาฟีโตโปรตีน (AFP) ร่วมกับการตรวจอัลตราซาวน์ตับ เมื่อเป็นไวรัสตับอักเสบ บี



จะรักษาอย่างไร

การรักษาจะแบ่งผู้ป่วยเป็น 3 กลุ่ม

...- กลุ่มที่หนึ่ง

เป็นพาหะ ได้แก่ ผู้ที่ตรวจพบเชื้อไวรัส โดยไม่มีอาการและตรวจการทำงานของตับปกติ

ในกลุ่มนี้ความรุนแรงไม่มาก และโอกาสตอบสนองการให้ยาต้านไวรัสน้อย

ปัจจุบันยังไม่แนะนำให้ยาต้านไวรัสในระยะนี้ ยกเว้นผู้ที่ตรวจชิ้นเนื้อตับมีพยาธิสภาพรุนแรง หรือผู้ที่ต้องได้ยากดภูมิคุ้มกัน

...- กลุ่มที่สอง

ได้แก่ ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจมีหรือไม่มีอาการ ตรวจพบเชื้อไวรัส และตรวจการทำงานของตับ AST, ALT สูงกว่าค่าปกตินานกว่า 6 เดือน

กลุ่มนี้พิจารณาให้ยาต้านไวรัส เมื่อมีปริมาณไวรัสสูงมากกว่า 100,000 copies ต่อมิลลิลิตร และควรตรวจชิ้นเนื้อตับเพื่อบอกความรุนแรงและแยกจากโรคอื่น

ยาที่มีใช้ในปัจจุบัน ได้แก่

ยาฉีดอินเตอร์ฟิรอน (Interferon) มี 2 ชนิดได้แก่ conventional interferon (Intron A®) ฉีดทุกวันหรือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และ pegylated interferon (Pegasys® และ PegIntron®) ฉีดสัปดาห์ละครั้ง ระยะเวลาในการรักษา 6-12 เดือน

และยาชนิดกินมี 3 ชนิดได้แก่ ลามิวูดีน (zeffix®) อะดิโฟเวียร์ (Hepsera®) และเอ็นติคาเวียร์ (Baracude®) ระยะเวลาในการรักษาควรให้ไม่ต่ำกว่า 1 ปี แต่จะนานอย่างไร ยังไม่ทราบแน่ชัด

...- กลุ่มสาม
ที่เป็นระยะตับแข็ง ถ้าพบว่ามีเชื้อไวรัสในเลือด ใช้ยากิน และในรายที่ตับแข็ง ใช้ยากินต้านไวรัสในคนที่ยังไม่ติดเชื้อหรือยังไม่มีภูมิคุ้มกัน เพราะผลข้างเคียงน้อยกว่ายาฉีด และพิจาณาผ่าตัดเปลี่ยนตับเมื่อมีข้อบ่งชี้และไม่มีข้อห้าม

ถึงแม้ว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัสสามารถลดการอักเสบและลดพังผืดในตับ แต่โอกาสหายขาดไม่มาก และมีผลข้างเคียง และค่าใช้จ่ายสูง

วิธีที่ดีที่สุด คือการป้องกันไม่ให้เป็นไวรัสตับอักเสบ บี ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี ฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นแขน 3 ครั้ง ที่ 0,1 และ 6 เดือน


.. จะปฏิบัติตัวอย่างไร ถ้าเป็นไวรัสตับอักเสบ บี..

- งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- หลีกเลี่ยงยาที่ไม่จำเป็น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจมีเชื้อราปนเปื้อนซึ่งสร้างสาร Alphatoxin ที่เป็นพิษต่อตับได้ ·
- รับประทานอาหารเพียงพอ สุก และสะอาด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
- พบแพทย์สม่ำเสมอเพื่อตรวจดูการทำหน้าที่ของตับและตรวจหาภาวะแทรกซ้อน


การตรวจเลือดหาระดับ AFP และทำอัลตราซาวนด์ช่องท้อง สม่ำเสมอทุกปีในกลุ่มเสี่ยงเช่น ระยะตับแข็ง เพศชาย อายุมากกว่า 45 ปี เพศหญิงอายุมากกว่า 50 ปี และและมีประวัติมะเร็งในครอบครัว เพื่อหามะเร็งตับในระยะเริ่มแรก


ที่มา:

//www.thailiverfoundation.org/th/cms/detail.php?id=32


โดย: หมอหมู วันที่: 28 มีนาคม 2554 เวลา:0:34:26 น.
  
//www.thaihealth.net/h/article54.html

โรคตับอักเสบบี คือ อะไร

ตับอักเสบบี คือ การอักเสบของเซลล์ตับอันเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ (HBV) การอักเสบจะทำให้เซลล์ตับตาย หากเป็นเรื้อรังจะเกิดผังผืด ตับแข็งและมะเร็งตับได้



ไวรัสตับอักเสบบี มีความสำคัญกับเราหรือไม่

ในประเทศไทยคาดว่าประชากรประมาณ ร้อยละ 5 มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี นั่นหมายถึงประชากรประมาณ 3 ล้านคนมีไวรัสนี้พร้อมที่จะแพร่ให้ผู้อื่นและก่อให้เกิดความเจ็บป่วยกับผู้ติดเชื้อ


ไวรัสตับอักเสบ ติดต่อกันอย่างไร

การติดเชื้อที่พบบ่อย คือการถ่ายทอดจากมารดาที่ติดเชื้อสู่ทารก แต่ในปัจจุบันจะลดลงมาก เพราะการฉีดวัคซีนให้ทารกที่คลอดมาจะช่วยป้องกันได้เกือบร้อยละ 100

ดังนั้นการติดต่อที่สำคัญในปัจจุบันคือ ทางเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ โดยไม่ได้ป้องกัน ซึ่งไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าเชื้อไวรัสเอดส์

การสัก เจาะหู หรือการฝังเข็ม โดยอุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อไม่ถูกต้อง การได้รับเลือดและส่วนประกอบของเลือดที่ไม่จำเป็นก็อาจเป็นสาเหตุได้แต่พบได้น้อยมากในการตรวจกรองของธนาคารเลือดในปัจจุบัน


หากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะมีอาการอย่างไร

หากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะเข้าไปฟักตัวในร่างกายเราประมาณ 2-3 เดือนแล้วจึงเริ่มมีอาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต ปัสสาวะเข้ม ตาเหลือง อาการเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้นในเวลา 2-3 สัปดาห์ และร่างกายจะค่อยๆ กำจัดไวรัสตับอักเสบบี ออกไปพร้อมๆกับการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซ้ำอีก

ผู้ป่วยร้อยละ 5-10 อาจโชคไม่ดี ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากรร่างกายได้ เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง โดยเฉพาะหากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ตั้งแต่เด็กๆ

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการหากตรวจเลือดจะพบว่ามีไวรัสตับอักเสบบี ผู้ป่วยบางรายจะมีการอักเสบของตับร่วมด้วย ซึ่งหากมีการอักเสบตลอดเวลาจะทำให้มีการตายของเซลล์ตับ เกิดมีผังผืด เพิ่มมากขึ้นจนเป็นตับแข็งในที่สุด ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งอาจกลายเป็นมะเร็งตับซ้ำเติม


แพทย์สามารถวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี ได้อย่างไร

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี ในปัจจุบันทำได้ง่ายมากเพียงตรวจเลือดในปริมาณเล็กน้อยเพื่อหาเปลือกของ ไวรัส (HBsAg) ก็จะทราบได้ว่าท่านมีไวรัสตับอักเสบบี

ซึ่งแพทย์อาจตรวจหาหลักฐานว่ามีตับอักเสบหรือไม่ โดยการตรวจระดับ เอ็นซัยม์ ของตับ (AST/ALT) โดยในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง แพทย์อาจนัดตรวจ 1-2 ครั้งในเวลาห่างกันทุกๆ 1-2 เดือน ก็จะทราบได้ว่าท่านมีตับอักเสบเรื้อรังหรือไม่

นอกจากนั้นแพทย์อาจตรวจหาปริมาณไวรัสโดยทางอ้อมด้วยการตรวจ HBeAg หรือตรวจนับไวรัสในเลือดโดยตรง เพื่อประเมินปริมาณของไวรัส

ก่อนการรักษาแพทย์อาจจะตรวจชิ้นเนื้อตับโดยใช้เข็มขนาดเล็กเจาะผ่านผิวหนัง หลังจากฉีดยาชาซึ่งการตรวจชิ้นเนื้อนี้จะให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างมากเกี่ยว กับการอักเสบของตับ


หากตรวจพบว่าท่านเป็นตับอักเสบบีเรื้อรังจะทำอย่างไร

ในปัจจุบันมีการรักษาที่ได้ผลในการลดการอักเสบของตับอยู่หลายวิธี ทั้งโดยยาฉีดอินเตอร์เฟียรอน หรือยารับประทานลามิวูดีน ซึ่งยาทั้งสองอย่างสามารถลดปริมาณของ ไวรัส ลดการอักเสบของตับ ทำให้ระดับเอ็นซัยม์ของตับกลับสู่ภาวะปกติ นอกจากนั้นยังอาจลดเนื้อเยื้อผังผืดในตับป้องกันการเกิดตับแข็งหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้

การตัดสินใจเลือกชนิดยาสำหรับการรรักษาแพทย์ผู้ดูแลจะอธิบายกับท่านถึง ผลดีผลเสียของการใช้ยาทั้งสองอย่าง และช่วยพิจารณาว่าท่านเหมาะสมกับยาชนิดใด มากกว่ากัน

นอกจากนั้นท่านควรปฏิบัติตัวโดยการรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอควรงดดื่มสุรา และหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น พร้อมกับไปพบแพทย์เป็นระยะๆ เพื่อตรวจการทำงานของตับและแพทย์อาจตรวจกรองหามะเร็งตับร่วมด้วย

ท่านสามารถ แต่งงานมีบุตรได้โดยควรตรวจคู่สมรสของท่านก่อนแต่งงานหากยังไม่มีภูมิคุ้ม กันควรได้รับการฉีดวัคซีนในกรณีมีบุตร ทารกทุกรายจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อจากมารดาอยู่แล้ว และมารดาสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ



หากท่านสงสัยว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบบีควรทำอย่างไร

อาการของโรค

ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี อาจมาพบแพทย์ได้ 3 ระยะ คือ

ตับอักเสบเฉียบพลับ

ในประเทศไทยผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันราว 1/3 เกิดจากไวรัสตับอักเสบบี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการอ่อนเพลียเบื่ออาหารตามด้วยคลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นชายโครงขวา จากตับที่โตแล้วจึงสังเกตว่าปัสสาวะเข้ม ตาเหลืองในผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสตับอักเสบบี

ร้อยละ 90-95 จะหายเป็นปกติพร้อมกับร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบ บี มีเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้น ที่ไม่สามารถกำจัดไวรัสออกไปจากร่างกายได้เป็นตับอักเสบเรื้อรังและน้อยกว่า ร้อยละ 1 อาจเกิดอาการตับวายได้


ตับอักเสบเรื้อรัง

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ อาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจร่างกายประจำปี พบความผิดปกติในการทำงานของตับ ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่มีการอักเสบและการทำลายเซลล์ตับมากๆ โรคจะดำเนินต่อไปทำให้ตับเสื่อมสมรรถภาพลง จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด


ตับแข็ง

ซึ่งมักมาพบแพทย์จากอาการแทรกซ้อน เช่น เท้าบวม ท้องบวม อาเจียนเป็นเลือด หรืออาจกลายเป็นมะเร็งตับ


การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยโรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ บี สามารถกระทำได้โดย

1. การตรวจการทำงานของตับ

โดยการหาเอ็นไซม์ที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ตับที่อักเสบ คือ SGOT (AST) และ SGPT (ALT) ปกติระดับเอ็นไซม์สองตัวนี้จะน้อยกว่า 40 ถ้าสูงผิดปกติบ่งบอกถึงการอักเสบของตับ แต่ไม่จำเพาะกับไวรัสตับอักเสบ บี เพราะอาจพบได้ในการอักเสบจากไวรัสตัวอื่นๆ หรือผลของยาต่างๆ และแอลกอฮอล์

นอกจากนั้นในกรณีที่เจาะตอบมีไข้ พบว่าค่าต่างๆ เหล่านี้อาจผิดปกติโดยผู้ป่วยไม่ได้มีตับอักเสบ

ดังนั้นถ้าพบว่าเอ็นไซม์ผิดปกติต้องปรึกษาแพทย์ก่อน ซึ่งแพทย์มักเจาะซ้ำอีก 1-2 ครั้ง ถ้ายังผิดปกติจึงหาสาเหตุ


2. การตรวจหาหลักฐานการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี

ซึ่งมีการตรวจทั้งการหาแอนติเจนของไวรัส และการตรวจทางน้ำเหลือง

การตรวจหาแอนติเจน ที่สำคัญคือหาค่าแอนติเจนส่วนผิวของไวรัส(HBsAg) ซึ่งถ้าพบแสดงถึงกำลังมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แพทย์อาจตรวจหาแอนติเจนอีกตัว คือ HBeAg ซึ่งถ้าให้ผลบวกแสดงถึงการติดเชื้อที่มีการแบ่งตัวของไวรัสอย่างรวดเร็วมี ปริมาณไวรัสมาก

การตรวจทางน้ำเหลือง ที่สำคัญคือการตรวจหาภูมิต้านทานต่อไวรัสตั อักเสบ บี (Anti HBs) ถ้าให้ผลบวกแสดงว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งอาจเกิดจากการได้รับวัคซีนหรือเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่หายแล้ว

การตรวจทางน้ำเหลืองอีกตัวคือ Anti HBc เป็นตัวบ่งว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งอาจจะหายไปแล้ว หรือกำลังติดเชื้ออยู่ก็ได้ ไม่ใช่ภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อ

นอกจากนี้อาจมีการตรวจหาไวรัสด้วยวิธีอื่น เช่น การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสในเลือด ซึ่งให้ผลแม่นยำกว่า และสามารถบอกปริมาณจากไวรัสได้


3. การตรวจพยาธิสภาพของตับ

โดยการใช้เข็มเล็กๆ เจาะดูดเอาเนื้อตับชิ้นเล็กๆ ออกมาตรวจ การตรวจนี้จะมี ประโยชน์มาก ในการประเมินความรุนแรงของตับอักเสบ เพื่อประโยชน์ในการรักษาและการพยากรณ์โรค


4. การตรวจทางรังสีวิทยา

เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียง (Ultrasound) หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ อาจ ได้ประโยชน์ในการประเมินว่ามีตับแข็งหรือก้อนผิดปกติในตับหรือไม่


การรักษา

1. ตับอักเสบเฉียบพลัน

ไม่มีการรักษาเฉพาะ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้นเองอยู่แล้ว ควรพักผ่อนตาม สมควรรับประทานอาหารให้พอเพียง การดื่มน้ำหวานปริมาณมากๆ ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้นแต่น้ำตาลที่ดื่มเข้าไปมากๆ จะเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมในตับอาจทำให้ตับโตจุกแน่นนานกว่าปกติได้

2. ตับอักเสบเรื้อรัง

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ จึงสามารถปฏิบัติภารกิจได้ตามปกติไม่ต้องหยุดงาน การรับประทานยาบำรุงตับ หรือวิตามินไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดการอักเสบของตับหรือลดปริมาณไวรัส

ยาที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประโยชน์ในปัจจุบัน ได้แก่ อินเตอร์เฟอรอน (alfa-interferon) ซึ่งเป็นยาฉีดโดยปกติแพทย์จะใช้ขนาด 5-10 ล้านยูนิตฉีดต่อกันอย่างน้อย 4-6 เดือน พบว่าราวร้อยละ 30-40 ของผู้ป่วยจะมีการอักเสบของตับลดลงเป็นปกติพร้อมกับปริมาณของไวรัสลดลงด้วย นอกจากนั้นประมาณร้อยละ 10 หายขาดโดยการตรวจ HbsAg เป็นลบ และพบว่าผู้ป่วยที่ได้ผลจะมีการกำเริบน้อยเนื่องจากยาอินเตอร์เฟอรอนมีราคาแพงและมีฤทธิ์ข้างเคียงมาก การใช้จึงควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ระบบทางเดินอาหารเท่านั้น

การรักษาวิธีใหม่คือการให้รับประทานยาต้นไวรัส "ลามิวูดีน" Lamivudine โดยรับประทานขนาด 100 มก. เพียงวันละครั้ง และเกือบไม่พบอาการข้างเคียงเลยจึงเป็นการรักษาที่ดี พบว่าผู้ป่วยราวร้อยละ70-80 จะมีการทำงานของตับเป็นปกติหลังได้ สามารถหยุดยั้งการเจริญของไวรัสได้ (แต่ไม่สามารถกำจัดไวรัสออกไปจากตัวได้) แม้ว่าจะมีผลข้างเคียงไม่มาก แต่ยามีราคาแพง และยังมีข้อมูลไม่มากนัก การใช้ยานี้ จึงควรอยู่ในความดูแลของอายุรแพทย์ที่มีความชำนาญด้านโรคตับเท่านั้น

3. การปฏิบัติตัวอื่นๆ

งดดื่มสุรา ทั้งในตับอักเสบเฉียบพลัน และเรื้อรังพบว่าการดื่มสุราเสริมทำ ให้โรครุนแรงขึ้น ในตับอักเสบเรื้อรังยังทำให้ตับเสื่อมสมรรถภาพจนเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับเร็วขึ้น

หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เพราะยาเกือบทุกตัวจะถูกทำลายที่ตับ การใช้ยา ต่างๆ จึงควรระมัดระวังและควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่าเป็นตับอักเสบอยู่ด้วย การใช้ยาสมุนไพร หรือยาสามัญประจำบ้านต่างๆ อาจทำให้โรคลดลงได้

หมั่นตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ แม้แต่ในผู้ป่วยที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี ก็ควรได้รับการตรวจเป็นระยะ ๆอย่างน้อยทุก 4-6 เดือน เพราะบางครั้งจะมีการอักเสบเกิดขึ้นได้

ในผู้ป่วยที่เป็นชาย อายุมากหรือมีตับแข็งร่วมด้วย ควรติดตามเป็นระยะๆ เพื่อตรวจหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มต้น
การป้องกัน


ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ทั้งที่ทำจากเลือดและผลิตโดยกรรมวิธีพันธุวิศวกรรม ซึ่งตัวหลังได้รับความนิยมมากกว่า พบว่าการฉีดวัคซีน 3 เข็มบริเวณต้นแขนที่ระยะเวลา 0, 1 และ 6 เดือน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติจะก่อให้เกิดภูมิต้านทานได้ ร้อยละ 90-95


โดย: หมอหมู วันที่: 28 มีนาคม 2554 เวลา:0:51:34 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Cmu2807.BlogGang.com

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]

บทความทั้งหมด