ความดันโลหิตสูงค่าความดันโลหิตจะประกอบด้วยตัวเลข 2 ค่า โดย
ค่าความดันโลหิตตัวบน (ตัวเลขค่ามาก) เป็น ความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว
ค่าความดันโลหิตตัวล่าง (ตัวเลขค่าน้อย) เป็น ความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว
ความดันโลหิตสูง คือ ระดับความดันโลหิต ขณะพักสูงกว่าหรือเท่ากับ 140 / 90 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ค่าความดันโลหิตสูงได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นโรคความดันโลหิตสูง เช่น ถ้าอายุมากขึ้น ความดันเลือดจะสูงขึ้น หรือ ถ้าเหนื่อย ร้อน หรือ รู้สึกเครียด ค่าความดันโลหิตก็จะสูงขึ้นได้ ก่อนที่จะบอกว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ก็จะต้องวัดความดันโลหิตซ้ำหลาย ๆ ครั้งในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน แล้วจึงนำมาเฉลี่ยว่า “สูง“จริงหรือไม่
หลักการวัดความดันโลหิตควรวัดในท่านั่ง ผ่อนคลายตามสบาย วางแขนลงบนโต๊ะที่จะทำการวัด โดยจัดให้ระดับที่วางแขนนั้นอยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ
ควรจะทำการวัดหลังจากที่นั่งพักอย่างน้อย 5 นาที ถ้าความดันโลหิตสูงกว่า 140 / 90 มิลลิเมตรปรอท ควรนอนพัก 5-10 นาที แล้ววัดใหม่ ถ้าวัดซ้ำแล้วได้ค่าความดันที่ยังสูงอยู่ตลอดจึงถือว่า เป็นความดันเลือดสูง
ควรจะหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มกาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสม อย่างน้อย 30 นาทีก่อนวัดความดันโลหิต
อาการและอาการแสดงผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีค่าระดับความดันโลหิตสูงเล็กน้อย หรือ ปานกลาง มักจะไม่มีอาการ ยกเว้น ในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมาก โดยเฉพาะในรายที่ยังไม่เคยรับการรักษา หรือ รักษาไม่สม่ำเสมอ อาจมีอาการปวดศรีษะ ซึ่งมักจะปวดบริเวณท้ายทอย เกิดขึ้นในตอนเช้า และมักจะดีขึ้นหรือค่อย ๆ หายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา อาจจะมีอาการเวียนศีรษะ มึนงง เลือดกำเดาไหล คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น หรือ ตามัว ร่วมด้วย
สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงโดยส่วนใหญ่ ร้อยละ 85-90 ของผู้ป่วยที่เป็นอยู่ จะไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร มีส่วนน้อยที่ทราบสาเหตุ เช่น โรคไต โรคครรภ์เป็นพิษ การใช้ยาสเตียรอยด์หรือยาคุมกำเนิด โรคกล้ามเนื้อหัวใจบางชนิด เป็นต้น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการการตรวจขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะตรวจในผู้ป่วย ก่อนที่จะทำการรักษา แต่ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง แพทย์จะสั่งการตรวจให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคน
การตรวจพื้นฐานมีหลายอย่าง เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ ระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจการทำงานของไต ระดับไขมันในเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การเอ๊กซเรย์ปอดและหัวใจ
การตรวจพิเศษ อื่น ๆ เช่น การเก็บปัสสาวะ 24 ชม. การฉีดสีเพื่อดูการทำงานของไต การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงของหัวใจ เป็นต้น ซึ่งจะทำในผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะดังต่อไปนี้
• ผู้ป่วยมีอายุน้อยกว่า 20 ปี หรือ มากกว่า 50 ปี
• มีระดับความดันโลหิตสูงมาก
• ผู้ที่สงสัยว่าความดันโลหิตสูงนั้น อาจเกิดจากโรคอื่น
• ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาที่ใช้รักษา
วัตถุประสงค์ของการรักษา 1.ป้องกันความพิการและลดอัตราการเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลแทรกซ้อนตามมาจากความดันโลหิตสูงผิดปกติ เช่น หลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก ทำให้เกิดโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ ทำให้ตามัวหรือตาบอดได้ โรคหัวใจโต หัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือ อาจทำให้เสียชีวิตได้
2.ควบคุมและลดระดับความดันโลหิตให้ใกล้เคียงกับภาวะปกติมากที่สุด
แนวทางในการรักษา๑. การปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิต เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพในการควบคุมความดันโลหิต
หยุดสูบบุหรี่ ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะบุหรี่จะลดประสิทธิภาพของยาลดความดันโลหิต และเป็นปัจจัยเสริมทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
ลดน้ำหนักส่วนเกิน ด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นประจำ
ลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะเพิ่มระดับความดันโลหิตและทำให้ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยา
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว หรือ วิ่งเหยาะ ๆ อย่างน้อยวันละ 30 - 45 นาที 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์
ผ่อนคลายทางจิตใจ การระงับ หรือ ลดความเครียด
ผู้ป่วยที่รับประทานยาขับปัสสาวะ ควรกินส้มหรือกล้วยเป็นประจำ เพื่อทดแทนโพแทสเซียมที่เสียไปในปัสสาวะ
ลดอาหารเค็ม โดยควรลดปริมาณเกลือแกงให้น้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น
• อาหารที่มีเกลือมาก เช่น น้ำปลา ซีอิ้ว กะปิ เต้าเจี้ยว ปลาเค็ม ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง อาหารทะเล
• อาหาร / ขนมที่ใช้ผงฟู สารกันบูด เป็นส่วนประกอบ เช่น ขนมเค้ก คุกกี้ ซาลาเปา ปาท่องโก๋
• บะหมี่สำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ข้าวเกรียบ ซุบสำเร็จรูป เนยรสเค็ม น้ำอัดลม
ลดอาหารที่มีไขมันสูง จากสัตว์และพืช เช่นอาหารทอดน้ำมัน น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม กะทิ ครีมเทียม
๒. การรักษาด้วยยา ยาจะมีอยู่หลายกลุ่ม เช่น ยาขยายหลอดเลือด ยาขับปัสสาวะ เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคน
โดยแพทย์จะเริ่มให้ยาในปริมาณที่น้อยที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยา แต่ถ้าไม่ได้ผลจึงจะเพิ่มปริมาณยา หรือ ให้ยาหลายชนิดร่วมกัน
ดังนั้นในระยะแรก แพทย์อาจจะต้องนัดตรวจบ่อยเพื่อจะดูว่ายาที่ให้ไปได้ผลดีหรือไม่ ใน-บางครั้งกว่าที่จะควบคุมความดันโลหิตได้อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน
ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักต้องใช้ยาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ บางครั้งแพทย์อาจมีการปรับเพิ่มหรือลดยา ถ้าอาการดีขึ้นก็จะลดยาลง หรือ ถ้าช่วงไหนเป็นมากก็จะเพิ่มยาขึ้น จึงควรพบแพทย์ตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ
ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาตามขนาดที่แพทย์สั่ง อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ อย่าให้ขาดยา ไม่ควรหยุดยา หรือ ปรับขนาดยาเอง ถ้ารับประทานยาไม่สม่ำเสมอ นอกจากจะควบคุมความดันไม่ได้แล้ว แล้วยังอาจเกิดอันตรายได้ เช่น ทำให้ความดันยิ่งสูงขึ้นมากกว่าปกติ หรือ เกิดความดันโลหิตสูงเฉียบพลันทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ เป็นต้น
โรคความดันโลหิตสูง รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมไม่ให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนได้ โดยที่จะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างแพทย์ ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย แต่ผู้ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวของผู้ป่วยเอง