ข่าวนี้อ่านหรือยัง
ข่าวนี้อ่านหรือยัง
# 1
อาหารตำรับ อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ข่าว : Source - น.ส.พ.แนวหน้า Friday, March 03, 2006
อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อวดฝีมือปรุงแกงป่าเมืองกาญจน์สูตรไทยดั้งเดิม พร้อมเคล็ดลับทำอาหารไทยตำรับศิลปินแห่งชาติ ในงานแถลงข่าวโครงการ "ภูมิปัญญาอาหารไทย" จัดประกวดอาหารสำรับไทยเลื่องชื่อของแต่ละท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด"อนุรักษ์สำรับไทย อัศจรรย์จานใหม่ใส่ไอเดีย" จัดโดยสมาคมภิรมย์ไทย
ในงานมี อ.ธนิศร์ ศรีกลิ่นดี ร่วมเป่าขลุ่ยคู่กับบทกลอนอันไพเราะของอ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สร้างบรรยากาศแบบไทยและข้อคิดแห่งวิถีไทย ต่อด้วยการปรุงแกงป่าเมืองกาญจน์สูตรไทยเดิม
ซึ่งอ.เนาวรัตน์ กล่าวว่า แกงป่าแท้นั้นต้องเผ็ด ปรุงรสด้วยน้ำปลา ที่สำคัญต้องใช้เนื้อดี เพื่อให้รสหวานที่กลมกล่อม โดยไม่ต้องใส่น้ำตาล เมื่อถามถึงเคล็ดลับในการปรุงอาหาร อ.เนาวรัตน์ กล่าวต่อว่า อาหารไทยในปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปหมดแล้ว อยากให้หวนไปถึงอาหารไทยรสแท้ รสแม่ทำ อนุรักษ์รสดั้งเดิม เพิ่มรสใหม่ เอาใจใส่จาน เพิ่มคุณค่าอาหารไทยได้อีกมาก "โดยเฉพาะเรื่องราวของผักไทยที่มีคุณประโยชน์เหลือหลาย แต่ละภาคมีวิถีการกิน การปรุงต่างกันไป เช่น ภาคเหนือกินเนื้อสดผักสุก ภาคใต้เนื้อสุกผักสด
แต่อย่างไรก็ตามคนไทยโชคดี อุดมไปด้วยอาหารพร้อมสรรพการรับประทานกินอยู่ง่ายๆ มีข้าวปลา น้ำพริกผักต้ม ร่างกายก็แข็งแรงสมบูรณ์ดี"
การประกวดอาหารไทยเลื่องชื่อของแต่ละภาค ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนรราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" และเงินรางวัลมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท ในโครงการ "ภูมิปัญญาอาหารไทย"
จะจัดขึ้นในวันที่ 15-19 มีนาคม นี้ ที่ เมกกะฮอลล์ สวนลุมไนท์บาซาร์ ตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงเที่ยงคืน พร้อมกับกิจกรรมให้ความรู้เรื่องอาหารมากมาย
พ่อครัว-แม่ครัว และผู้สนใจจะเข้าร่วมแข่งขันปรุงอาหารไทย สามารถสอบถามรายเอียดได้ที่ โทร.0-2938-5363-4
# 2
คอลัมนิสต์ดีเด่น อ.ประยอม ซองทองเขียนคอลัมน์ Source นิตยสาร ฟอร์มูลา ปีที่ 34 เดือนกุมภาพันธ์ 2549 คนเราเมื่ออยู่ในวงการใดมานานพอสมควร และคนเห็นว่าเรามีวิจารณญาณพอรับฟังได้ มีจิตใจที่คนเห็นว่ายุติธรรมพอ เขาก็มักจะขอให้ร่วมเป็นกรรมการตัดสินการประกวดประขัน การประชันหรือการสรรหาค้นหาเพชรเม็ดงามมายกย่องให้เกียรติ
ความที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยมีงานเข้าประกวดประขันกับใครนัก จึงมักได้รับเชิญให้เข้าเป็นกรรมการกับเขาอยู่บ้าง โดยเฉพาะในวงการเขียน ซึ่งถึงแม้ไม่เห็นว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีงานเด่น แต่การได้อาบน้ำร้อนในห้วงกระแสธารนี้นานพอควร ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ต้องมาทำงาน ปิดทองหลังพระเช่นนี้เสมอ
นับแต่การอ่านทำนองเสนาะของนักเรียน-นักศึกษา ซึ่งกรมศิลปากร เคยจัดมาตั้งแต่ปี 2512 เป็นต้นมา การประกวดบทกวี การประกวดงานเขียน ที่สำคัญ เช่น การพิจารณารางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนหรือซีไรท์
รางวัลศรีบูรพาสำหรับนักเขียน-นักหนังสือพิมพ์ที่มีผลงานและจริยวัตรปฏิบัติตนตามแนวทางของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ ศรีบูรพา (นักเขียน-นักหนังสือพิมพ์ดีเด่นที่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโก ว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลก)
และแม้กระทั่งการให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการพิจารณาบุคคลผู้มีผลงานอันควรได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ (สาขาวรรณศิลป์)
ประมาณ 4-5 ปีมานี้ ก็ได้รับการชักชวนจาก กรรมการ "กองทุนหม่อมราชวงศ์ อายุมงคล โสณกุล" ให้ไปช่วยออกความคิดเห็นในการพิจารณาบทความ หรือข้อเขียนประจำในหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร ซึ่งกองทุนแห่งนั้น ได้ดำเนินการประกวดและยกย่องมาตั้งแต่ปี 2529 จนย่างเข้าปีที่ 20 ในปีหน้า
นับแต่ มรว.อายุมงคล โสณกุล จากไปในวัยที่ควรจะเขียนหนังสือบำเรอโลกไปอีกหลายสิบปี (คุณชายเกิด 31 กรกฎาคม 2481 ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2548 อายุเพียง 47 ปี)
เพื่อค้นหาคนเขียนคอลัมน์ประจำในแนวทางใกล้เคียง มรว. อายุมงคล (ซึ่งเรายังไม่ลงตัวว่าควรจะเรียกว่ากระไรดี จึงต้องใช้ว่า "นักเขียนบทความ" หรือ "นักเขียนคอลัมน์" ซึ่งข้าพเจ้าขอทับศัพท์ว่า "คอลัมนิสต์" ไปพลางๆ ก่อน)
นักอ่านยุคปัจจุบันที่ไม่มีโอกาสอ่านบทความในครรลองของ มรว. อายุมงคล อาจจะนึกไม่ออกว่างานเขียนของคุณชาย มีลักษณะใด
ต้องขอให้หาอ่านงานของ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยเฉพาะ "ซอยสวนพลู" "ข้าวนอกนา" ฯลฯ อันเลื่องชื่อ(เพราะมีการพิมพ์ซ้ำบ่อยๆ) เพราะคุณชายทั้งสองท่านนี้ต่างชอบข้อเขียนของกันและกัน และต่างมีแนวทางการเขียนใกล้เคียงกันมากๆ
หลายปีมาแล้วที่กองทุน มรว. อายุมงคล ขอให้นักเขียนและนักอ่านบทความส่งงานเขียนของตน หรืองานเขียนของคนที่ตนชอบเข้าประกวด จนนักเขียนบทความเด่นๆ ได้รับรางวัลไปมากแล้ว
เช่น วิทยา เศรษฐวงศ์, พิทยา ว่องกุล, นพพร ประชากุล, วิทยากร เชียงกูล, ธรรมเกียรติ กันอริ, ชูศักดิ์ ภัทรกุลวาณิชย์ ฯลฯ
ต่อมาเมื่อมีคนส่งน้อย เราจึงใช้วิธีสรรหาด้วยกรรมการ หรือผู้ที่รู้จัก เสนอผลงานน่ายกย่องมาให้กรรมการพิจารณา เราจึงได้ยกย่องคนเขียนการ์ตูนประจำวันอย่าง ชัย ราชวัตร (สมชัย กตัญญุตานนท์) แห่งนสพ. ไทยรัฐ นักเขียนคอลัมน์ประจำอย่าง เปลว สีเงิน (โรจน์ งามแม้น)แห่ง นสพ. ไทยโพสต์
มาปี 2548 ผู้ที่ได้รับยกย่องจากการสรรหาของคณะกรรมการว่า สมควรแก่รางวัลนักเขียนคอลัมน์ดีเด่นประจำปี 2548 ได้แก่ ผู้ใช้นามปากกาว่า อัคนี หฤทัย ซึ่งได้เข้ารับ ประทานรางวัลจาก มจ. กรณิกา จิตรพงศ์ ณ วังสวนผักกาด เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2548
ในคำประกาศเกียรติคุณมีดังนี้
คณะกรรมการพิจารณารางวัลนักเขียนคอลัมน์ดีเด่น ของกองทุนหม่อมราชวงศ์ อายุมงคล โสณกุล มีมติให้ อัคนี หฤทัย ผู้เขียนประจำในคอลัมน์ "ณ กาลเวลา" ที่ลงพิมพ์เป็นประจำในหนังสือพิมพ์ ข่าวสดรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ เป็นผู้ที่สมควรได้รับรางวัล ในฐานะนักเขียนคอลัมน์ดีเด่นกองทุน อายุมงคล โสณกุลประจำปี 2548
อัคนี หฤทัย เขียนคอลัมน์ "ณ กาลเวลา" ด้วยรูปแบบการเขียนแตกต่างจากคอลัมน์ทั่วไป โดยใช้ความสามารถทางวรรณศิลป์เป็นพิเศษ ในการประมวลความคิดเห็นลงในรูปแบบฉันทลักษณ์ร้อยกรอง แต่สามารถสื่อความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์บ้านเมืองด้วยสำนวนโวหารลึกซึ้ง มีคารมคมคาย ใช้ภาษาที่สุภาพไม่หยาบคาย แฝงนัยและแทรกอารมณ์ขัน มีประเด็นหักมุมที่ให้ผู้อ่านประทับใจ ได้สาระประโยชน์และความบันเทิงในเวลาเดียวกัน
อัคนี หฤทัย เป็นนามปากกาของ นายอดุล จันทรศักดิ์ นิติศาสตรบัณฑิตจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรัฐศาสตรมหาบัณฑิตจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักวรรณศิลป์ที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในวงการกวีนิพนธ์ร่วมสมัย
เคยดำรงตำแหน่งประธานชมรมวรรณศิลป์และตำแหน่งสาราณียกร สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย มีงานเขียนทางวิชาการ สารคดี บทความ และกวีนิพนธ์ ทั้งในนาม อัคนี ฤทัย และนามปากกาอื่นๆ เป็นนักแสดงสักวาที่มีคารมคมคายและมีผลงานแพร่หลายในวงการตลอดมา กว่า 3 ทศวรรษ
ผลงานที่ได้รับพระราชทาน รางวัลหนังสือดีเด่นประเภทกวีนิพนธ์จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือประจำปี 2534 คือ ดอกไม้ไฟ และมีผลงานรวมพิมพ์กับกวีร่วมสมัยในหนังสือหลายเล่มเช่น ใบไม้แห่งนาคร ไฟอารมณ์ นิล เป็นต้น
เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างวินัย สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งตุลาการหัวหน้าคณะ ศาลปกครองกลาง
ข้าพเจ้ารู้จัก อดุล จันทรศักดิ์ ตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นนิสิตจุฬาฯ ชอบฝีมือการเขียนการที่มีลีลาเฉพาะตัว สำนวนโวหารเป็นของตัวเองอย่างเด่นชัด มีความไพเราะคมคาย
ข้าพเจ้าชอบบทกลอนหลายๆบทในหนังสือ "ใบไม้แห่งนาคร" ที่เขารวมเล่มร่วมกับเพื่อนร่วมสมัยมาก และเสียดายที่ควรนำมาพิมพ์ใหม่ เพราะเนื้อหาสาระและลีลากลอนเต็มไปด้วยประกายไฟที่เต้นระยิบแทบทุกตัวอักษรทุกวันนี้
เขาเป็นคนหนึ่งที่ผู้ฟังสักวาของกลุ่มนักกลอนนาม "สโมสรสยามวรรณศิลป์" เรียกร้องขออย่าให้ขาด หากมีการแสดงสักวา ณ ที่ใด
นี่คือบทกลอนบทหนึ่งในหลายๆ บท ที่หลายคนชอบมากๆ ในคอลัมน์ "ณ กาลเวลา" (ซึ่งบัดนี้ นักอ่านจะหาอ่านไม่ได้อีกแล้ว เพราะ นสพ.ข่าวสด ถอดคอลัมน์นี้ในช่วงใกล้ๆกับวันที่เขารู้ว่า ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ
คิดแบบเหี้ย
"เพียงแค่เรือนกายเราปรากฏ
ก็เป็นบทสนทนาอยู่ต่อเนื่อง
ว่าเป็นเหตุเภทภัยในบ้านเมือง
จะก่อเรื่องให้ยุ่งระยำยับ
แค่โผล่ให้เห็นก็เรียกเหี้ย
สาดเสียเทเสียแถมโขกสับ
ไม่เคยมีใครเต็มใจรับ
มีแต่ขับแต่ไล่ไปทั้งนั้น
คิดแต่เราคืออัปมงคล
ความเป็นเหี้ยกับคนมีขีดขั้น
ชั่วดีถี่ห่างก็ต่างกัน
จนลืมความสัมพันธ์ที่ผ่านมา
ว่าที่รักที่ใคร่ที่ใกล้ชิด
ก็ออกนามโดยสนิทว่าเหี้ยห่า
ที่ชิงชังที่ขึ้นชื่อว่าชั่วช้า
เหี้ยก็เป็นคำด่ามาเนิ่นนาน
รักก็เหี้ยเกลียดก็ด่าว่าเหี้ยอีก
เกินจะหลีกเลี่ยงคำที่เรียกขาน
ความเป็นเหี้ยจึงถูกจิกถูกประจาน
แค่พ้องพานก็กล่าวหาว่าตัวซวย
เราเคยทำร้ายใครบ้างหรือ
ก็แค่ชังชื่อออกฉาบฉวย
คิดเองเออเองแบบเอออวย
เดินเฉียดเราเข้าก็ป่วยแล้วทางใจ
เราจึงถูกตั้งข้อรังเกียจ
ไม่มีใครเคยเฉียดเข้ามาใกล้
ด้วยมีความเชื่อว่าอัปราชัย
อัปรีย์จนต้องไปปัดรังควาน
ในความเป็นเหี้ยเราเสียใจ
ที่คนใช้เฉพาะชื่อเราสื่อสาร
ยึดแต่ชื่อโดยไม่ยึดพฤติการณ์
เราจึงเป็นตำนานความน่ากลัว
...คนเกลียดเรากลัวเราก็เข้าใจ
ว่าคนไร้เหตุผลจนถ้วนทั่ว
แค่เราอยากมาเยี่ยมเยือนเพื่อนบางตัว
ยังพาดหัวว่าพวกเราบุกเข้าสภา..."
น่าเสียดายที่ไม่มีบทเพราะๆหวานๆหรือคมคายเสียดแทงใจ มาให้อ่านมากกว่านี้...
Create Date : 06 มีนาคม 2549 |
|
33 comments |
Last Update : 6 มีนาคม 2549 0:28:47 น. |
Counter : 1536 Pageviews. |
|
|
|
|
บล็อกนี้แปะไว้ก่อนนะครับ ตอนนี้ง่วงแล้ว เที่ยงๆ จะเข้ามาอ่านใหม่ครับ