เซียนดูพระ
เซียนดูพระ
# 6 อยากเป็น "เซียน" ต้องเรียนวิชา "ดูพระ" เขียนข่าวโดย สุกัญญา แสงงาม จาก น.ส.พ.ผู้จัดการรายวัน วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะรุ่งโรจน์หรือตกต่ำ และไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคย "ราคาตก" ตลอดกาลก็คือ "พระเครื่อง"
มิหนำซ้ำยังมีการเปิดตัวศูนย์พระเครื่องตามแหล่งต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นย่านเก่าแก่ อย่างท่าพระจันทร์ หรือที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นอย่าง โรงแรมมณเฑียร บางลำภูงามวงศ์วาน และพาต้าปิ่นเกล้า
และด้วยความที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาลในวงการ "พุทธพาณิชย์" ประกอบกับมี "ของปลอม" โผล่ขึ้นมาให้เสียเงินอย่างน่าเสียดาย ทำให้ผู้คนจำนวนมากปรารถนาที่จะยกระดับตัวเองให้กลายเป็นคนที่ดูพระเป็น หรือ "เซียนพระ" เพื่อที่จะไม่ถูกหลอก และถ้าเป็นไปได้สวยก็อาจยึดเป็นอาชีพได้
ล่าสุดสถาบันการศึกษาทางไกล สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ก็เตรียมที่จะเปิด "หลักสูตรพระเครื่อง-พระบูชา" ขึ้นอย่างเป็นทางการ
ทำไมต้องหลักสูตรพระเครื่อง เพียงแค่เอ่ยปากว่า กระทรวงศึกษาธิการกำลังจะเปิด "หลักสูตรพระเครื่อง" ขึ้น ก็เริ่มมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูว่า กำลังจะดึงคนเข้าสู่วงจร "พุทธพาณิชย์" หรือไม่
บุญส่ง คูวรากุล ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาทางไกล ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ไม่ใช่พุทธพาณิชย์ แต่ หลักสูตรพระเครื่อง ที่การศึกษาทางไกลจับมือกับ สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย สร้างเป็นตำรานั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของพระเครื่องพระบูชา พุทธศิลป์ ฯลฯ
โดยมุ่งหวังที่จะสืบทอดความรู้เหล่านี้ ให้ตกทอดไปสู่คนรุ่นหลัง ไม่ได้ต้องการดึงคนไปงมงายกับเรื่องของไสยศาสตร์ หรือธุรกิจพระเครื่องอย่างแน่นอน
และที่สำคัญก็คือ เมื่อได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อย่างลึกซึ้งแล้ว จะทำให้เราสามารถมองเห็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ที่สอดแทรกเอาไว้อย่างที่หลายคนนึกไม่ถึงเลยทีเดียว
"ครั้งแรกที่มีคนเสนอให้เปิด หลักสูตรพระเครื่อง เราก็ได้มีการสำรวจความต้องการจากทุกภูมิภาค ปรากฏว่ามีคนหลากหลายอาชีพให้ความสนใจ เราก็คิดว่ายังไม่มีใครทำ ลองทำดูสักทีก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ก็มาติดที่องค์กรของเรา ไม่มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านพระเครื่องพระบูชา ชนิดที่ลึกซึ้ง จึงได้สอบถามไปยังหนังสือพิมพ์ที่เปิดหน้าพระ ก็ได้รับการแนะนำให้ไปติดต่อกับสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย พอเขาฟังก็ตอบรับทันที"
"อย่างไรก็ดี กว่าที่จะรวบรวมเนื้อหาแล้วเขียนออกมาเป็นตำรา หรือเป็นคู่มือที่ชื่อว่า มรดกแผ่นดิน ก็ใช้เวลาเกือบปี แล้วก็มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ตามมา
ล่าสุดก็ตกลงกันว่า หากผู้ที่ลงทะเบียนเรียนกับเรา เราจะขายในราคาพิเศษ(ตำรา จะประทับตรากระทรวงฯกับสมาคมฯ ) ส่วนที่วางจำหน่ายตามท้องตลาด ให้สมาคมฯตั้งราคาเองโดยใช้ตราของสมาคมฯเพียงอย่างเดียว"
พระสมเด็จวัดระฆัง พระประธาน
พระสมเด็จวัดระฆัง ทรงเจดีย์
หลักการดู พระสมเด็จวัดระฆัง
1. จำพิมพ์ พระสมเด็จวัดระฆัง ให้แม่น จะมี 5 พิมพ์ คือ พิมพ์พระประธาน ทรงเจดีย์ เกศบัวตูม ฐานแซม และปรกโพธิ์
2. ดูจากของจริง และเปรียบเทียบกับ พระพิมพ์สมเด็จอื่นๆ เพื่อดูจุดต่าง
3. ดูเนื้อ และมวลสาร ส่วนผสมของ พระสมเด็จวัดระฆัง เกิดจากการนำหินปูน มาเผาไฟ ทุบป่นให้แตกละเอียด เหมือนแป้ง ผสมกับ น้ำมันตังอิ๊วของจีน และมวลสารมงคลต่างๆ อาทิ เม็ดชาด เม็ดพระธาตุ เกสรดอกไม้แห้ง ข้าวสุก เนื้อพระสมเด็จ จึงมักมี มวลสาร ปรากฏให้เห็น และมักจะมีรอยปูไต่
พระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ อกวี
ตำหนิเอกลักษณ์
1.พระเกศค่อนข้างเขื่อง
2.พระพักตร์เกือบกลม พระกรรณขวามักติดรำไรเห็นเป็นลำโค้ง จรดบ่า
3.มีลำพระศอ
4.พระอุระเป็นแบบ อกวี
5.ยอดซอกแขนซ้ายองค์พระจะสูงกว่ายอดซอกแขนขวา
6.รอยจีวรที่พาดจากแขนลงมาที่เข่า
7.เข่าแม้จะสึกเลือน แต่ยังเห็นร่องรอยการทับซ้อน ของเข่าซ้ายเหนือเข่าขวา
8.โปรดสังเกตเส้นแซมใต้หน้าตัก
9.ฐานชั้นกลางเป็นฐานขาสิงห์ ขอบบนจะนูนและพับเข้า
พระสมเด็จ บางขุนพรหม ทรงเจดีย์
หลักการดู พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม
1. จำพิมพ์ของ พระสมเด็จบางขุนพรหม ให้แม่น มีจำนวนพิมพ์มากกว่า สมเด็จวัดระฆัง 4 พิมพ์ คือ เส้นด้าย ฐานคู่ สังฆาฏิ และอกครุฑ
2. ดูจากของจริง และเปรียบเทียบกับ พระพิมพ์สมเด็จอื่นๆ เพื่อดูจุดต่าง
3. ดูเนื้อ และมวลสาร เนื้อของพระสมเด็จบางขุนพรหม จะละเอียดกว่า แน่นกว่า มีมวลสารมงคลน้อยกว่า และมีคราบกรุ อันเกิดจากปฏิกิริยาเคมี มีคราบดิน คราบเหล็กจับ
4. ซุ้มของสมเด็จบางขุนพรหม จะเล็กกว่าซุ้มของ สมเด็จวัดระฆัง
บุญส่ง อธิบายต่อว่า สำหรับรายละเอียดของหลักสูตรและการเรียนการสอนนั้น จะใช้เวลาเรียนรู้เนื้อหา 60 ชั่วโมง และเรียนรู้จากการค้นคว้าเพิ่มเติมและการทำกิจกรรมตามที่กำหนดอีก 100 ชั่วโมง รวม 160 ชั่วโมง
ทั้งนี้ โดยมีเนื้อหาสาระครอบคลุม การกำเนิดพระเครื่อง การจำแนกพระพิมพ์ พิมพ์ทรงพระเครื่องยอดนิยม กรรมวิธีและวัตถุดิบในการสร้างพระเครื่อง การใช้อุปกรณ์และการดูแลรักษาพระเครื่อง
"การที่เรากำหนดหลักสูตรเอาไว้ ในระบบการเรียนผ่านสื่อทางไกล ก็เพื่อให้คนทั่วไปสามารถลงทะเบียนเรียนอยู่ที่บ้านได้ โดยสามารถรับข้อมูลที่เผยแพร่ผ่าน อีทีวี อีกส่วนจะทำเป็นแผ่นซีดีประกอบกับตำราเรียนในลักษณะของแพกเกจ คือเมื่อลงทะเบียนจะได้รับตำรา พร้อมซีดี ผู้เรียนจะเรียนตอนไหนก็ได้"บุญส่งแจกแจง
ด้าน พิศาล เตชะวิภาค หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ต้อย เมืองนนท์ อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย บอกว่า ตำราพระเครื่องเล่มนี้ ต้องนับได้ว่าสุดยอดและสมบูรณ์ที่สุดของเมืองไทย เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเขียนหนังสือตำราสไตล์นี้มาก่อน
"ยอมรับว่า หืดขึ้นคอทีเดียว กว่าจะคลอดตำราเล่มนี้ออกมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ทางสมาคมอาศัยเครือข่ายจากผู้มีความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีประสบการณ์จำนวนมาก มาให้ข้อคิดข้อแนะนำ เริ่มจากการทบทวนความทรงจำสมัยก่อนเข้าสู่วงการเล่นพระ ว่าอยากรู้อะไรบ้าง แล้วเอาความรู้สึกนั้นมาเขียน เพื่อให้คนอ่านได้รับได้รู้ เช่น อยากรู้ว่าพระองค์นี้ต้นกำเนิดอยู่ที่ไหน เนื้ออะไร มีอายุเท่าไหร่ เก๊-แท้ ดูตรงไหน ขณะเดียวกันได้ค้นคว้าตำรับตำรา ภาพพระมาใส่ไว้ในตำรา เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น"
ขณะที่การทำซีดี ก็ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยขยายองค์ความรู้ของผู้เรียนให้กว้างขวางขึ้น แล้วจำเนื้อหาได้อย่างแม่นยำขึ้นด้วย โดยเชิญผู้มีความรู้ในเรื่องนั้นๆมาเล่ามาขยาย ซึ่งแต่ละเรื่องแต่ละตอนจะลงลึก ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของเกจิอาจารย์องค์นั้น มีชื่อเสียงได้อย่างไร เด่นทางด้านไหน สร้างพระมากี่รุ่น สร้างขึ้นเพราะอะไร ฯลฯ
ยกตัวอย่างที่สมาคมฯ เพิ่งทำเสร็จสดๆร้อนๆ เช่น "หลวงปู่ทวด" ที่เนื้อหาจะเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของสุดยอดตำนานแห่งอริยสงฆ์ผู้สามารถทำให้น้ำทะเลจืดได้ และผู้สร้างสุดยอดวัตถุมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์จากบรรดาผู้ชำนาญการด้านพระเครื่องในเมืองไทย รวมทั้งนำเสนอประวัติและเรื่องรางต่างๆของวัตถุมงคลจากหลวงปู่ทวดทุกรุ่น เพื่อให้ท่านผู้มีความศรัทธาในบารมีของหลวงปู่ทวดได้รับรู้ เป็นต้น
นอกเหนือจากตำราและซีดีแล้ว เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาและเรียนรู้ประสบการณ์โดยตรง จึงได้มีการกำหนดให้ผู้เรียน ไปยังแผงพระซึ่งเป็นสาขาของสมาคมฯที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อศึกษาพระจากของจริง เพราะยิ่งศึกษาจากของจริงมากเท่าไหร่ จะเรียนรู้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากบางอย่างไม่สามารถจะอธิบายหรือเขียนให้เข้าใจได้ ต้องเห็น ต้องศึกษาด้วยตนเองร่วมด้วย
พระผงสุพรรณ หน้าแก่ (เป็นพระกรุเมืองสุพรรณ)
พระผงสุพรรณ หน้ากลาง (เป็นพระกรุเมืองสุพรรณ)
พระผงสุพรรณ หน้าหนุ่ม (เป็นพระกรุเมืองสุพรรณ)
หลักการดู พระผงสุพรรณ
1. พระผงสุพรรณ เป็นพระเครื่องเนื้อผง ที่ผสมด้วยเกสร และว่านวิเศษร้อยแปด มีด้วยกัน 4 สี คือ สีแดง สีเหลือง สีเขียว และดำ
2. มี 3 พิมพ์ คือ พิมพ์หน้าแก่ พิมพ์หน้ากลาง และพิมพ์หน้าหนุ่ม พิมพ์หน้าแก่เป็นพิมพ์ที่นิยมกันมากที่สุด
3. พระผงสุพรรณ เป็นพระเครื่องศิลปแบบอู่ทอง
"ตำราพระเครื่อง ซีดี ที่การศึกษาทางการกับสมาคมฯ ร่วมกันทำขึ้น เป็นการย่นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5-10 ปี เหลือเพียง 160 ชั่วโมง กว่าที่ผมหรือคนอื่นๆที่ได้ชื่อว่าเซียนพระ เขาใช้เวลาศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลมากว่า 5 ปี กว่าจะรู้เทียบเท่าที่ถ่ายทอดอยู่ในตำรา ถือว่าคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้ามาศึกษาเรื่องพระเครื่องพระบูชาโชคดีกว่าพวกผม แต่ทุกคนในสมาคมฯยินดีที่จะ เผยแพร่ความรู้ เพราะถือว่าเป็นการถ่ายทอดมรดกไทย"
"หลักสูตรพระเครื่อง เป็นเพียงการเรียนรู้พื้นฐานแล้วต้องการให้ เข้าถึงแก่นแท้ของพระเกจิอาจารย์ พระเครื่องพระบูชาองค์นั้น แต่ยังไม่สามารถแยกแยะพระแท้ พระเก๊ได้ ส่วนใครต้องการเรียนรู้วิธีการสังเกตพระว่าของแท้หรือไม่แท้ ต้องอาศัยประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม วิทยากรที่อยู่ตามแผงพระ(ทุกสาขา) สามารถจะให้คำแนะนำวิธีการดูได้"
พิศาลบอกด้วยว่า เมื่อหลักสูตรนี้เปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมีผู้ก้าวเข้ามาสู่วงการพระเพิ่มขึ้นนับหมื่น นับแสนคนเลยทีเดียว
พระซุ้มกอ พิมพ์ใหญ่ เนื้อดิน มีกนก (เป็นพระกรุเมืองกำแพงเพชร)
พระซุ้มกอ พิมพ์ใหญ่ เนื้อดินสีดำ ไม่มีกนก (เป็นพระกรุเมืองกำแพงเพชร)
พระซุ้มกอ พิมพ์ขนมเปี๊ยะเล็ก เนื้อดิน มีกนก (เป็นพระกรุเมืองกำแพงเพชร)
หลักการดู พระซุ้มกอ
1. พระเครื่องศิลปอู่ทองยุคต้น ผสมสุโขทัย
2. พระซุ้มกอ มีสร้างไว้ทั้งชนิด เนื้อดินผสมผง ถ้าเป็นเนื้อว่าน ด้านหนึ่งมักจะมี แผ่นทอง หรือเงิน ประกบไว้ และเนื้อชิน
3. ชนิดเนื้อดินผสมผง มีแยกเป็น:
o มีลายกนกข้าง ซึ่งแยกแบบออกเป็น พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก
o ไม่มีลายกนกข้าง มักจะเป็น เนื้อสีดำ น้ำตาล และแดง
เส้นทางของเซียนพระ สำหรับเส้นทางกว่าจะมาเป็นเซียนพระได้นั้น พิศาล เตชะวิภาค หรือ ต้อย เมืองนนท์ บอกว่า คนที่จะเข้าศึกษาเรื่องพระเครื่องพระบูชาได้ ต้องเกิดจากใจรัก เกิดจากความชอบความสนใจ และก่อนที่จะสนใจ จะต้องได้เห็นได้สัมผัสมาก่อนเสมอ
"ผมเป็นลูกข้าราชการกรมป่าไม้ และในยุคนั้น เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้จะนิยมสะสมพระ จะมีการพบปะแลกเปลี่ยนพระกัน เราก็เห็นอยู่ทุกวัน แล้วสังเกตเห็นว่าเขาหวงพระ เห็นบรรยากาศการแลกเปลี่ยนพบว่า ไม่ใช่จะแลกเปลี่ยนกันง่ายๆ บางทีคุยกันเป็นวัน เป็นคืน บางทีใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ไม่ใช่มีเงินแล้วซื้อได้ ผมก็มองว่าเป็นของที่มีค่า ทำให้ผมเข้าไปสัมผัส และพ่อเปรียบเสมือนครูคนแรก ท่านจะเล่าให้ฟังว่าพระองค์นี้หายาก พระองค์นี้ได้มาจากที่ไหน กว่าจะได้มาต้องฟันฝ่าอุปสรรคอะไรมาบ้าง ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ"
พอปี 2506 เดินทางมาเรียนในกรุงเทพฯ พิศาลก็เริ่มเข้ามาคลุกคลีสนามพระ แถวศาลอาญา ซึ่งขณะนั้นมีผู้นิยมสะสมพระมารวมตัวกัน แต่มีเพียงไม่กี่คน แล้วเผอิญได้รู้จักนักสะสมพระท่านหนึ่งที่เมตตาถ่ายทอดความรู้ให้ สิ่งไหนที่ไม่รู้ก็อาศัยการถามไปเรื่อยๆจนมีความรู้พอกพูนขึ้น กระทั่งตอนหลัง มามีสนามพระวัดมหาธาตุ ทำให้คนนิยมพระเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วมีการแลกเปลี่ยนพระเครื่องพระบูชากันมากขึ้น
"อะไรที่เราไม่รู้ ก็จะถามผู้รู้ ซึ่งแต่ละคนจะรู้คนละอย่างสองอย่าง รู้เฉพาะสิ่งที่สนใจ ส่วนผมเป็นคนใฝ่รู้ พูดง่ายๆ อยากรู้ไปซะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพระเครื่องพระบูชา ถามไม่พอยังศึกษาค้นคว้าจากห้องสมุด ตำรับตำราที่มีอยู่ อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า ส่งผลให้รู้เยอะ ซึ่งไม่ได้หมายความว่ารู้มากกว่าคนอื่น ทั้งนี้ กว่าจะได้รับการยอมรับจากวงการพระ จนเรียกว่าเซียน ผมใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์มากว่า 40 ปี"
พิศาลให้คำแนะนำด้วยว่า การดูพระ จริงๆ แล้วมันเหมือนเส้นผมบังภูเขา จุดสังเกตของพระไม่มีอะไรลึกซึ้ง จุดใหญ่ๆ ก็คือพิมพ์พระหรือต้นแบบ
อย่างพระเครื่อง จะมาจากแม่บล็อกเดียวกัน เพราะฉะนั้นพระที่พิมพ์ออกมา จะต้องมีส่วนคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นสรีระของพระ จุดตำหนิ รายละเอียดเค้าโครงหน้าตา ก็จะต้องเหมือนกัน สมมติว่ามีพระ 2 องค์ ถ้าต่างกันก็จะต้องคิดแล้วว่ามีองค์หนึ่งแท้องค์หนึ่งเก๊ หรือไม่ก็เทียมทั้งคู่
นอกจากนี้ยังจะต้องศึกษาเนื้อหาพระในแต่ละประเภท เช่น เนื้อดิน ความเก่าของอายุขนาดนี้ควรจะมีลักษณะอย่างไร มีสีสัน และความแห้งอย่างไร หรือมวลสารของการผสมในเนื้อพระ ถ้าของแท้ มวลสารจะมีมาอย่างไรก็ต้องมีอย่างนั้นไปตลอด
ส่วน พระบูชา เป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่าพระเครื่อง และไม่ได้สร้างกันได้ง่ายๆ ช่างจะต้องปั้นแม่พิมพ์ก่อนให้ได้สวยงาม มีกรรมวิธีนำเนื้อโลหะมาหลอมเพื่อให้เข้ากับแม่พิมพ์
"พระบูชาแต่ละองค์จะไม่เหมือนกัน ช่างจะปั้นแม่แบบแล้วหล่อทีละองค์ หล่อเสร็จก็ทุบแบบทิ้ง ในความคิดของผม พระบูชามีความลึกซึ้งมากกว่า แล้วที่เห็นพระบูชาแต่ละยุคต่างกัน เนื่องจากช่างจินตนาการ อย่างศิลปะสุโขทัย พระจะออกมาอวบอ้วน สวยงาม พระอู่ทอง หน้าตาจะเคร่งขรึมดุดัน คือช่างแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เหมือนกัน พูดง่ายๆ ว่าอยู่ยุคไหน ก็ใช้ศิลปะของยุคนั้น"
"เซียนพระแต่ละคน จะมีการดูพระเก๊ -พระแท้ ไม่เหมือนกัน แต่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน คือการศึกษาพระจากแม่พิมพ์และจากเนื้อพระเป็นหลัก
ถามว่า ทำไมมีพระปลอมออกมาจำนวนมาก ก็คงตอบว่า อะไรก็ตามที่มีราคา มันก็ต้องมีของเทียมของเลียนแบบออกมาจำหน่าย แล้วที่เห็นเกลื่อนมากหน่อย อาจจะเป็นเพราะพระเครื่อง พระบูชา ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง
คนทำปลอมสินค้า ปลอมธนบัตร อาจโดนจับ แต่การปลอมพระ เขาจะออกมาในรูปของพระใหม่ บางคนมีฝีมือทำพระใหม่ให้เป็นพระเก่า ขอให้จำไว้ว่าพระที่มีราคา คนนิยม จะมีคนทำพระปลอมออกมา จะปลอมมากปลอมน้อยเท่านั้น
สำหรับเวลานี้ พระที่มีราคาแพงที่สุดในประเทศไทย คือ พระสมเด็จวัดระฆัง แน่นอนเมื่อมีราคาสูงของเทียมก็มีออกมามากเช่นเดียวกัน ชนิดที่ว่าปลอมมากกว่าของจริงหลายร้อยหลายพันเท่า ดังนั้น ใครที่จะเช่าพระดัง ถ้าตัวเองไม่มีความรู้ ก็ต้องหาเซียนที่รู้จักมักคุ้นไว้ใจได้ มาช่วยดูให้"
พระรอด วัดมหาวัน พิมพ์ใหญ่ (เป็นพระกรุเมืองลำพูน)
พระรอด วัดมหาวัน พิมพ์เล็ก (เป็นพระกรุเมืองลำพูน)
หลักการดู พระรอด
1. เป็นพระเครื่องเนื้อดิน ผสมว่าน ฝีมือช่างหริภุญชัย ในแบบศิลปะลพบุรียุคต้น ที่งดงาม และอลังการ
2. เนื้อพระ มีความละเอียด และหนึกนุ่ม บางองค์ใกล้เคียงกับ เนื้อพระทุ่งเศรษฐีมาก มีด้วยกัน 4 สี คือ สีขาว สีเหลือง สีแดง และสีเขียว
3. ขนาดพิมพ์ใหญ่ องค์ประมาณ 1.4 x 2.4 ซม. ส่วนองค์พิมพ์เล็ก ประมาณ 1.2 x 2.2 ซม. พระรอดที่นิยมกันมี 5 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ (ก้นพับ), พิมพ์กลาง (ก้นแมลงสาป), พิมพ์เล็ก (ก้นตัด), พิมพ์ตื้น (องค์พระ และใบโพธิ์รอบองค์จะตื้น แต่หน้าจะชัด) และพิมพ์ต้อ (องค์จะเตี้ย)
คลี่หัวใจคนอยากเรียน ทีนี้ ก็มาถึงกลุ่มคนที่อยากเรียนกันบ้างว่า พวกเขามีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรกัน เทพนิภา กันทา พนักงานขายเครื่องสำอาง เล่าให้ฟังว่า การเปิดหลักสูตรพระเครื่อง นับเป็นการพลิกโฉมการศึกษาไทยเลยทีเดียว และน่าจะเปิดเป็นหลักสูตรสไตล์นี้มานานแล้ว เนื่องเพราะคนไทยไม่ค่อยรู้รากเหง้า รู้แต่ว่าพระองค์นี้คือพระสมเด็จ นางพญา หลวงปู่ทวด หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเงินฯลฯ แต่เมื่อถามว่า ชื่อเสียงเพราะอะไร มีกี่รุ่น ทำมาจากอะไร ก็ตอบไม่ได้
"สนใจอยากเรียนหลักสูตรพระเครื่องเอามากๆ เริ่มมาจากพ่อสะสมพระเครื่องพระบูชา ว่างๆ จะเอาพระมาทำความสะอาด แล้วจะเล่าประวัติความเป็นมาของพระองค์นั้นให้ฟังตั้งแต่สมัยยังเด็ก ทำให้ค่อยๆ ซึมซับความรู้เกี่ยวกับพระมาบ้าง แต่ความรู้เท่าหางอึ่ง ไม่เข้าขั้นระบุว่าพระเก๊-ritแท้ ได้ คิดว่าจะไปสมัครเรียนแน่นอน โดยตั้งใจว่าจะนำความรู้มาถ่ายทอดให้ลูกหลานฟัง มากกว่าจะก้าวเข้าสู่การเช่า-จำหน่ายพระ"
พระนางพญา พิมพ์ใหญ่ เข่าโค้ง (เป็นพระกรุเมืองพิษณุโลก)
พระนางพญา พิมพ์ใหญ่ เข่าตรง (เป็นพระกรุเมืองพิษณุโลก)
หลักการดู พระนางพญา
1. พระนางพญาจะมี 2 ขนาด
o พระนางพญา พิมพ์ใหญ่ เป็นพิมพ์ที่นิยมกันมาก มี 3 แบบด้วยกัน คือ "เข่าโค้ง", "เข่าตรง" และ "อกนูน"
o พระนางพญา พิมพ์เล็ก มี 3 แบบ เช่นกัน คือ "สังฆาฏิ" "ทรงเทวดา" และ "อกนูนเล็ก"
2. เป็นพระเครื่องเนื้อดินเผา ผสมด้วยผงเกสร และแร่กรวดทราย (คล้ายกับเนื้อพระขุนแผน วัดบ้านกร่าง) มี 4 สี คือ เหลือง, แดง, เขียว และดำ มีทั้งเนื้อค่อนข้างหยาบ และเนื้อละเอียดนุ่ม (กรวดทรายน้อย)
ด้าน ร.ท.หญิง ฐานิต ร้อยกรแก้ว นักโหราศาสตร์ บอกว่า คลุกคลีกับพระเครื่องพระบูชา มาพอสมควร โดยเกิดจากพี่ชายมักจะไปเช่าพระ โดยเฉพาะพระองค์ไหนดัง ดี มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ก็จะเช่ามาบูชา ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นพระแท้หรือพระปลอม เพียงแต่ก่อนจะเช่าพระจะหนีบเซียนพระที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี เป็นหูเป็นตาดูให้ แล้ววันไหนเช่าพระมาทีไร จะมาโชว์มาเล่าเสมอ ส่งผลให้ตนเองศรัทธา เสื่อมใส เกจิอาจารย์องค์นั้นมาอย่างต่อเนื่อง
"พอรู้ข่าวว่า จะมีการเปิดหลักสูตรพระเครื่อง ลึกๆก็รู้สึกดีใจมาก แถมยังไปชวนพี่ ชวนเพื่อน หรือคนที่รู้จักมักคุ้นไปสมัครเรียนด้วย โดยมีความคิดว่าสามารถนำความรู้จากหลักสูตรพระเครื่องพระบูชา มาประยุกต์เข้ากับวิชาโหราศาสตร์ได้ แล้วคาดว่าการทำนายจะทำให้เกิดความแม่นยำ สร้างศรัทธาให้แก่ผู้ดูเพิ่มมากขึ้น"
"เคยรู้ว่ามีเอกชนเปิดสอน ประวัติความเป็นมา ขบวนการทำพระ เทคนิคการดูพระเครื่องพระบูชา แต่เขาคิดค่าเรียนแพงมาก ชนิดที่ว่าไม่รักไม่สนใจจริงๆ หลายรายบอกศาลาทันที พอรู้ว่า กศน.เปิดสอน ตัดสินใจเลยโดยไม่ลังเลว่าเรียน แล้วยังต้องการให้ กศน.เตรียมหลักสูตรพระเครื่องพระบูชา ในระดับสูงต่อไป เพราะมั่นใจว่าจะมีผู้สนใจเรียนจำนวนมาก
ด้าน ประสพสุข นาถทัย บอกว่า ตั้งใจจะเรียนหลักสูตรพระเครื่องพระบูชา กับ กศน. เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน พร้อมกับทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมา ขั้นตอนการสร้างพระ และอื่นๆ มาเล่าให้ลูกหลานฟังมากกว่า ขณะเดียวกันจะกำชับพวกเขาด้วยว่า ให้รักษาพระทุกองค์เอาไว้ พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานบูชา เพื่อให้ท่านคุ้มครอง มั่นใจว่าบารมีจะช่วยให้ครอบครัวอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เจริญในหน้าที่การงาน
หลักสูตรพระเครื่องพระบูชา จะเปิดรับสมัครนักศึกษาได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันการศึกษาทางไกล อาคารศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ โทร.0-2354-5721,0-2644-9764,0-2354-5730-40 ต่อ 536
หรือที่เวปไซด์สถาบันการศึกษาทางไกล.
Create Date : 27 มิถุนายน 2549 |
Last Update : 27 มิถุนายน 2549 1:03:19 น. |
|
36 comments
|
Counter : 4444 Pageviews. |
|
|
|
เดี๋ยวจะเข้ามาอ่าน ขอตัวไปตากผ้าก่อน