....OUR FAMILY'S JOURNEY....
วันสบายๆใน ฮ่องกง - มาเก๊า 1.


วันสบายๆใน ฮ่องกง-มาเก๊า
(ตอนที่ 1)




อ่านตอนที่ 2 : คลิ๊กที่นี่




ก่อนเดินทาง

ช่วงหยุดยาว 4 วันอยากหาโอกาสไปตะลุยที่ไหนซักแห่ง แต่เป็นช่วงหน้าฝน ก็กลัวเหมือนกันว่า การเดินทางจะไม่ค่อยสนุก..... ว่ากันง่ายๆ ก็กลัวฝนนั่นแหละน่า พอดีวารสารการท่องเที่ยวที่เราเป็นเจ้าประจำเขาอยู่ ได้ส่งเรื่องชวนเที่ยว มาเก๊า-ฮ่องกงมาชวน บอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงบิ๊กเซลล์ของเขาเลยล่ะ.... ซึ่งราคาค่าใช้จ่าย ก็พอสู้ไหว เลยติดต่อกลับไป แต่ด้วยช่วงที่ฉุกละหุก คือก่อนจะเดินทางเพียง 14 วันเท่านนั้น.... คำตอบคือที่นั่งของสายการบินที่เราอยากไป เต็มเสียแล้ว...

เมื่อต่อมกระสันโดนกระตุ้น เราก็ต้องหาทางไปจนได้ จนสุดท้ายมาลงเอยที่ สายการบิน Emirates Air ว่ามี promotion 4 วัน 3 คืน..... ก็เลยตอบตกลงไป





17 กค. 2008 ..จากสุวรรณภูมิ สู่ฮ่องกง


นัดกันกับเจ้าหน้าที่ไว้ที่ทางเข้าผู้โดยสารขาออกที่ประตูหมายเลข 9 ช่อง T ตอน 10.30 น โดย Emirates Air เที่ยวบินที่ EK384 บินจากสนามบินนาๆชาติสุวรรณภูมิ เวลา 13.20 น ปลายทางที่ สนามบินนาๆชาติ Check Lap Kok ที่ฮ่องกงเวลาประมาณ 17.20 น. ซึ่งเวลาที่นั่นเร็วกว่าเรา 1 ชม. การเดินทางใช้เวลาประมาณ 2 ชม. สำหรับเครื่องบินเป็นแบบ 777-300 จุผู้โดยสารได้เกือบ 500 คน ซึ่งวันนั้นที่ชั้นประหยัดเต็มอัตราศึก....








นัดกันตรงนี้







เข้าไปเจอเรือ ก็พายเสียหน่อย














ภายในสุวรรณภูมิ













สาวๆเหล่านี้จะบริการท่านตลอด 2 ชั่วโมง












ความสะดวกภายในเครื่อง 777-300







ความสะดวกสบายบน Emirates Air ถือว่าใช้ได้เลยล่ะ ที่นั่งกว้างขวางดี สภาพเบาะและอุปกรณ์ ดูใหม่หมด สมกับที่เป็นสายการบินของคนรวยเลยที่เดียว..... การเสริฟอาหารถือว่าพอได้ครับ แม้บางครั้งการบริการจะดูแข็งๆไปบ้าง แต่ก็คงเป็นธรรมเนียมเขา บนเครื่องมีการประกาศ 3 ภาษาคือ อาระบิก อังกฤษ และไทย หน้าที่นั่งจะมีทีวี และรายการให้สามารถเลือกดูได้ แม้กระทั่งการเล่นเกมส์ ....








แล้วก็จากเธอไป







ทำความรู้จักกับฮ่องกงกันหน่อย

"ฮ่องกง" เป็นภาษากวางตุ้ง ซึ่งมาจากภาษาจีนกลาง ว่า "เซียงก่าง" ความหมายก็ไม่เหมือนใคร หมายความว่า "ท่าเรือหอม" มีความเป็นมา สืบเนื่องมาแต่ครั้งที่กวางตุ้ง เป็นแหล่งปลูกไม้หอมชนิดหนึ่ง ส่งขายเป็นสินค้าออก โดยที่ต้องมาขนถ่ายสินค้ากัน ที่ท่าเรือน้ำลึกตอนใต้สุดของแผ่นดินจีน














ภายในสนามบิน Check Lap Kok







รอรถไฟใต้ดินไป Therminal 2







รับกระเป๋าที่ Therminal 2... เจอสาวงามด้วย






เมื่อราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีเรือของกองทัพอังกฤษ นำโดยกัปตัน Charles Elliot (ชาร์ลส์ อีเลียต) แล่นผ่านน่านน้ำระหว่าง แหลมเกาลูนและเกาะแห่งหนึ่งที่ร่ำลือกันว่า เป็นที่หลบลมพายุของพวกโจรสลัด กัปตันอีเลียต เกิดได้กลิ่นหอมชนิดหนึ่ง จึงจอดเรือและขึ้นฝั่ง ส่งล่ามลงไปสอบถาม ได้ความว่าเป็นท่าเรือหอม ใช้ขนถ่ายไม้หอม กัปตันรับทราบด้วยความประทับใจ








เมืองฮ่องกง






เมื่อกัปตันอีเลียตเดินทางกลับสู่อังกฤษและได้รับการแต่งตั้งให้ไปประจำการฝ่ายการพาณิชย์ของอังกฤษในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งขณะนั้นเอง ประเทศอังกฤษซึ่งปกครองโดยพระนางวิกตอเรีย กำลังต้องการอาณานิคมในแถบทะเลจีนใต้ เพื่อใช้เป็นที่จัดส่งสินค้า หรือฝิ่นนั่นเอง และประจวบเหมาะพอดีกับที่ฝ่ายอังกฤษและจีน กำลังมีปัญหาเรื่องการค้าฝิ่นในแถบกวางตุ้งของจีน จนทำให้เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ขึ้น ในปี ค.ศ. 1939 กัปตันอีเลียตจึงตัดสินใจยกพลขึ้นบกที่ท่าเรือกลิ่นหอม และประกาศให้ดินแดนแถบนั้นเป็นของอังกฤษ ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1841

ว่ากันว่ามีเหตุการณ์ที่น่าขัน และสร้างความขายหน้าให้กับพระราชินีวิคตอเรียยิ่งนัก ที่กองทหารอังกฤษเข้ายึดเกาะที่มีแต่หินโสโครก หาประโยชน์ไม่ได้เลย กัปตันอีเลียตจึงถูกลงโทษด้วยการส่งไปเป็นกงสุลอังกฤษประจำเท็กซัสแทน

ตั้งแต่นั้น จีนและอังกฤษกระทบกระทั่งกันเรื่องการค้าฝิ่นเรื่อยมา เกิดสงครามฝิ่นถึงสองครั้ง หลังสงครามฝิ่นครั้งที่สองนี่เอง อังกฤษได้บีบบังคับให้จีนทำสัญญา โดยให้อังกฤษเช่าฮ่องกงทั้งหมด เป็นเวลา 99 ปี โดยกำหนดวันหมดสัญญาไว้วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1997 ด้วยภูมิประเทศของฮ่องกงเอง ที่เป็นเมืองท่าน้ำลึก เหมาะแก่การจอดเรือสินค้าขนาดใหญ่ จึงทำให้ฮ่องกงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโลก

ผู้สำเร็จราชการคนแรกที่มาประจำยังเกาะฮ่องกง ท่านลอร์ด Palmerston เคยขนานนามเกาะแห่งนี้ไว้ว่า "หินไร้ค่า" แต่อังกฤษได้ช่วยวางรากฐานการศึกษา การปกครอง และผังเมืองให้ฮ่องกงเป็นอย่างดี เพียง ชั่วพริบตาเดียว ฮ่องกงได้กลับกลายเป็นศูนย์กลางพาณิชย์และยังเป็นประตูเปิดสู่ประเทศจีน ปลายศตวรรษที่ 19 ดินแดงตอนปลายคราบสมุทรเกาลูนก็ตกเป็นอาณานิคม และอังกฤษยังได้สิทธิเช่าเขตนิวเทอริทอรี่ส์ เป็นเวลา 99 ปี ซึ่งอังกฤษได้ทำพิธีส่งคืนเกาะฮ่องกง ให้แก่จีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 ไปเรียบร้อย ทั้งนี้เคยมีการเจรจาระหว่างอังกฤษโดย นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับ นายเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำฝ่ายจีน เพื่อเจรจาขอเช่าเกาะฮ่องกงต่อ แต่ได้รับการปฏิเสธ และในปีเดียวกันนั้น วันที่ 26 กันยายน ผู้นำทั้งสองจึงเปิดเจรจาอีกครั้งและลงนามในสัญญา โดยมีสาระสำคัญว่า อังกฤษจะยอมส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีน และจีนได้ให้สัญญาว่าจะยอมให้ฮ่องกง อยู่ในฐานะ "เขตปกครองตนเอง" ภายใน 50 ปี












ปัจจุบันจีนได้มอบหมายให้ นายตงจิ้นหวา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการฮ่องกง และจีนได้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้รัฐบาลปักกิ่งรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศ การทหาร และความมั่งคงเท่านั้น ส่วนการบริหารยังคงให้อิสระแก่ชาวฮ่องกงเหมือนเดิม

อย่างไรก็ตามด้วยทำเลอันเหมาะสม เกาะฮ่องกงก็ยังมีบทบาทสำคัญยิ่งในศตวรรษที่ 21 ในฐานะเมืองท่าการค้าระหว่างประเทศ ฐานที่ตั้งสำคัญของผู้ผลิต และศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก












รูปแบบการปกครอง

ฮ่องกงเป็นเขตบริหารพิเศษที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางของสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลจีนได้ใช้นโยบาย ‘หนึ่งประเทศสองระบบ’ ในการปกครองฮ่องกง ตามกฎหมายพื้นฐานที่ใช้ในการปกครองและบริหารฮ่องกง ที่สภาประชาชนจีนได้อนุมัติและประกาศใช้เป็นกฎหมาย เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2533 โดยให้สิทธิฮ่องกงในการปกครองตนเองอย่างอิสระ สามารถดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การพาณิชย์ ฯลฯ ได้ตามระบบเสรี รัฐบาลจีนได้กำหนดให้ฮ่องกงสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรีต่อไปได้อีกเป็นเวลา 50 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลจีนได้รับฮ่องกงกลับคืนจากรัฐบาลอังกฤษ






ประวัติ

ฮ่องกง เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอซินอัน เมืองเซินเจิ้น หลังจากจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น เกาะฮ่องกงและเกาลูนจึงถูกครอบครองโดยอังกฤษในปี พ.ศ. 2385 (ค.ศ. 1842) และ พ.ศ. 2403 (ค.ศ. 1860) ตามลำดับ ต่อมาภายหลัง ในปี พ.ศ. 2441 (ค.ศ. 1898) อังกฤษได้ทำสัญญา ‘เช่าซื้อ’ พื้นที่ทางตอนใต้ของลำน้ำเซินเจิ้น ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ‘เขตดินแดนใหม่’ รวมทั้งเกาะรอบข้าง ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กว่าเมื่อครั้งอังกฤษเข้ายึดครองในสมัยสงครามฝิ่นเกือบสิบเท่า


ภูมิประเทศ
ฮ่องกงมีพื้นที่รวม 1,096.63 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย เกาะฮ่องกง (80.30 ตร.กม.) เกาลูน (46.71 ตร.กม.) เขตดินแดนใหม่ (New Territories) และเกาะอื่น ๆ (969.62 ตร.กม.) หรือขนาดประมาณ 1 ใน 6 ของพื้นที่เมืองเซี่ยงไฮ้

ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเกาะฮ่องกง เกาลูนและเขตดินแดนใหม่ จะเป็นแนวเขาทอดตัวยาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือลงสู่ทิศใต้ เป็นแนวเขาที่ต่อเนื่องมาจากมณฑลฝูเจี้ยนและกว่างตงที่อยู่ทางตอนใต้ของจีน แต่เนื่องจากเขตเทือกเขาแต่ครั้งโบราณนั้น ปัจจุบันจมอยู่ใต้น้ำ จึงเกิดเป็นทัศนียภาพเกาะแก่งเล็ก ๆ ที่มีลักษณะลาดชันผุดโพล่ขึ้นมากมาย



ภูมิอากาศ
ฤดูร้อนอากาศร้อนชื้น มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 26-30 องศาเซลเซียส ฤดูหนาวอากาศเย็นสบายและแห้ง น้อยครั้งที่จะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนฝนตกชุกและมีลมแรง ฤดูร้อนมักเกิดลมมรสุม ควรติดต่อสอบถามสภาพอากาศก่อนการเดินทาง



ประชากร
ฮ่องกงมีจำนวนประชากรกว่า 6.99 ล้านคน ในปี 2549 ความหนาแน่นของประชากร 6,300 คนต่อตารางกิโลเมตร ประชากรส่วนมากป็นชาวจีน มีร้อยละ 3 เป็นชาวต่างชาติ อาทิ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และอเมริกัน ฯลฯ ภาษากวางตุ้งซึ่งเป็นภาษาที่มีถิ่นพูนตั้งแต่มณฑลกวางตุ้งของจีนเรื่อยมาจนถึงฮ่องกงได้กลายมาเป็นภาษาราชการของฮ่องกง ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นของภาษาของเจ้าอาณานิคมก็ยังคงเป็นภาษาราชการร่วมซึ่งถูกใช้พูดมากกว่า 38 เปอร์เซ็นของประชากร ก็เป็นภาษาที่ใช้แพร่หลาย ส่วนภาษาจีนท้องถิ่นอื่นเช่นแต้จิ๋ว หรือจีนแคะฯลฯ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน และตั้งแต่ฮ่องกงกลับสู่ใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ การใช้ภาษาจีนกลางในการติดต่อก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเข้ามาของชาวจีนแผ่นดินใหญ่และการติดต่อค้าขายระหว่างกัน ถึงแม้ว่าการใช้อักษรจีนนั้นยังนิยมใช้อักษรจีนตัวเต็มอยู่ก็ตาม นอกจากนั้นทางรัฐบาลฮ่องกงได้มีโครงการ "สองแบบอักษร สามภาษา" เพื่อสนับสนุนให้ชาวฮ่องกงใช้ภาษาทั้ง 3 ภาษาร่วมกัน คือภาษากวางตุ้ง จีนกลาง และอังกฤษ


ด้านศาสนา
นับถือศาสนาพุทธแบบมหายาน 74% ศาสนาคริสต์ 10%

การท่องเที่ยว
ฮ่องกงเป็นเมื่องที่มีความหลากหลายทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตึกสูงระฟ้า อาคารทันสมัย ตลาดขายของพื้นเมือง ตลาดขายของเก่า วัดวาอาราม หรือแม้แต่แปลงปลูกผัก จากความหลากหลายเหล่านี้ จึงทำให้ฮ่องกงมีมนต์เสน่ห์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถพบกับสิ่งที่น่าสนใจและหลากหลาย โดยเราสามารถแบ่งเขตท่องเที่ยวสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลักๆ ออกเป็น 3 เขต คือ เกาะฮ่องกง ฝั่งเกาลูน เขตนิวเทอร์ริทอรี่ส์ และหมู่เกาะต่างๆ


ย่านเซ็นทรัล (Central)
เขตเซ็นทรัลเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของฮ่องกง เป็นที่ตั้งของบริษัทธุรกิจชั้นนำของเอเชีย ธนาคารนานาชาติ สำนักงานใหญ่ของรัฐบาล และอาคารศาลสูงสุด พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยตึกสูงระฟ้า ที่เป็นอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าอันทันสมัย ตลอดจนโรงแรมระดับ 5 ดาว อาคารที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่ในย่านเซ็นทรัลนี้ ได้แก่ อาคาร Bank of China Tower ออกแบบโดย I.M. Pei และ อาคาร HongKong Bank ออกแบบโดย Sir Norman Foster ท่ามกลางความทันสมันเหล่านี้ยังมีถนนแบบขั้นบันไดอันเก่าแก่ ซึ่งได้รับการบันทึกว่าเป็นทางเลื่อนต่อเนื่องที่ยาวที่ดในโลก และนอกจากนี้เรายังสามารถพบเห็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่นเขียวขจีแทรกตัวอยู่ทั่วไป

นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายังเขตเซ็นทรัลได้โดยรถไฟใต้ดิน ลงสถานี Central หรือ สถานี Hongkong

ฮ่องกงมีชื่อเสียงในด้านการเป็นแหล่งชอปปิ้ง โดยย่านที่มีชื่อเสียง เช่น ถนนนาธาน (จิมซาโจ่ย) ย่านเซ็นทรัล เป็นต้น แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น สวนสนุก ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท สวนสนุกโอเชียนปาร์ค วิคตอเรียพีค พระใหญ่วัดโปลิน วัดหวังต้าเซียน อ่าวน้ำตื้น Repulse Bay นอกจากนั้นยังมีการแสดง Symphony of lights ซึ่งเป็นมัลติมีเดียโชว์ที่ติดตั้งถาวรใหญ่ที่สุดในโลก
(ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)


เราถึงสนามบินนาๆชาติ Check Lap Kok ซึ่งตั้งอยู่เกาะ Lantau ตอน 17.35 น. หลังจากลงเครื่องแล้วก็เดินเพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินจาก Theminal 1 เพื่อไปรับกระเป๋าที่ Therminal 2 ก่อนที่จะไปขึ้นรถบัส เพื่อที่จะเดินทางเข้ามาเก๊า ตามโปรแกรม









เตรียมผ่านแดนไปมาเก๊า






บนเรือเฟอรี






ไกด์ไทยประจำที่ฮ่องกง (เขาได้ใบประกอบวิชาชีพไกด์ที่นั่นด้วย) ชื่อแจ๊คมานำเราขึ้นรถเพื่อไปส่งที่ฝั่งเกาลูน เพื่อนั่งเรือข้ามน้ำอีก 1 ชั่วโมง ซึ่งถ้าดูจากแผนที่แล้ว การนั่ง Ferry น่าจะใกล้ที่สุด

การออกจากฮ่องกง เพื่อไปมาเก๊าก็ต้องทำการยื่นเอกสารเหมือนการเข้าออกประเทศทั่วไป แต่ไม่ต้องใช้วิซ่าสำหรับคนไทย.....





ที่มาของชื่อ “มาเก๊า”

“มาเก๊า” ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งการพนันและคาสิโนนามระบือ แต่…..จะมีสักกี่คนที่รู้จักมาเก๊าในด้านอื่นๆ “มาเก๊า” มีภาพความงามแห่งศิลปะวัฒนธรรมของโลกตะวันออกและตะวันตกให้ได้ชื่นชม และยังมีมนต์เสน่ห์แห่งความเชื่อและศรัทธาทางศาสนา ตลอดจนวิถีชีวิตที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน กว่าจะเป็นชื่อ “มาเก๊า” มีที่มาจาก “อาม่า” องค์เทพธิดาแห่งท้องทะเลผู้ศักดิ์สิทธิ์

ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า “อาม่า” มีพระนามเดิมว่า “หลิงม่า” หญิงสาวชาวฟูเจี้ยนที่วันหนึ่งเธอต้องการข้ามฝั่งมายังคาบสมุทรดอกลิลลี่ขาว หรือ “เอ้าเหมิน” ตามชื่อในภาษาจีน จึงขอโดยสารมากับเรือของชาวประมงชราคนหนึ่งซึ่งเป็นเพียงเรือลำเล็กๆ ที่ยอมให้หลิงม่า โดยสารมาด้วย ในระหว่างที่เรือล่องอยู่กลางทะเล เกิดมีพายุขึ้นอย่างรุนแรงทำให้เรือหลายลำต้องอับปาง แต่ด้วยปาฏิหาริย์ในคำสั่งฟ้าของหลิงม่าทำให้เรือที่เธอโดยสารมา เข้าถึงฝั่งได้อย่างปลอดภัย ทันทีที่หลิงม่า ก้าวเท้าขึ้นสู่ฝั่ง เธอก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าและหายลับไป ชาวประมงทั้งหลายต่างเชื่อกันว่าเธอ คือ องค์เทพธิดาแห่งท้องทะเล นับตั้งแต่นั้นดินแดนแห่งนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า “อ่าวของ อาม่า” หรือ “อา-หม่า-เกา” ที่เพี้ยนเสียงมาเป็น “มาเก๊า” ในปัจจุบัน












มาเก๊าตั้งอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง บนชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของสามเหลี่ยม ปากแม่น้ำเพิร์ล ทิศเหนือติดกับเมือง จูไห่ของมณฑลกวางตุ้ง มาเก๊าประกอบด้วยดินแดน 4 ส่วน คือ คาบสมุทรมาเก๊า, เกาะไทปา, เกาะโคโลอาน และพื้นที่ถมทะเลขึ้นมาใหม่ เรียกว่า โคไท ซึ่งจะเชื่อมต่อเกาะไทปาและเกาะโคโลอาน เข้าเป็นพื้นที่เดียวกัน

ด้วยมาเก๊าเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียง 27.3 ตร.กม. (คาบสมุทรมาเก๊า 8.7 ตร.กม., ไทปา 6.3 ตร.กม., โคโลอาน 7.6 ตร.กม. และโคไท 4.7 ตร.กม.) ระหว่างมาเก๊าและไทปา เชื่อมถึงกันด้วย สะพาน 2 สะพาน คือ สะพานมาเก๊า-ไทปา ระยะทาง 2.5 ก.ม. และสะพานมิตรภาพ ระยะทาง 4.5 ก.ม. ซึ่งใช้เดินทางเข้าไปยังสนามบินมาเก๊าได้








ราตรีที่มาเก๊า






ประวัติศาสตร์

ในอดีตกาล มาเก๊า เป็นเพียงหมู่บ้านเกษตรกรรมและประมงเล็กๆ ชนชาติดั้งเดิม ที่เข้ามาตั้งรกรากคือ ชาวจีนกวางตุ้งและฟูเจี้ยน จนกระทั่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 พ่อค้าชาวโปรตุเกสหลายคน ได้เข้ามาบุกเบิกในแถบทวีปเอเชีย อาทิ วาสโก ดา กามา ซึ่งได้เดินทางบุกเบิกมาถึงช่องแคบมะละกา และต่อมาในปี ค.ศ. 1513 จอร์จ อัลวาเรส เป็นชาวโปรตุเกสคนแรกที่ได้เดินเรือมาถึงดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล และได้ติดต่อทำการค้ากับจีน ความสัมพันธ์อันดีระหว่างจีนและโปรตุเกสจึงได้เริ่มต้นขึ้น

ตลอดระยะเวลากว่า 400 ปี แห่งการครอบครอง ผู้คนมักพูดถึงมาเก๊าในฐานะ อาณานิคมของโปรตุเกส แต่ในความเป็นจริงแล้ว โปรตุเกสปฏิบัติต่อมาเก๊าในฐานะ เป็นจังหวัดหนึ่งของโปรตุเกส แม้ว่าจะมีการแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่เข้ามาปกครอง แต่ชาวมาเก๊าก็ได้รับสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ มาเก๊าได้รับเอาความเจริญรุ่งเรืองทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเข้ามาอย่างมากมาย สังเกตได้จาก ตึกรามบ้านช่อง, โบสถ์, ถนนสายคดเคี้ยวที่ปูด้วยกระเบื้องและหิน และสถาปัตยกรรมอื่นๆ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมแบบจีน นี่เองที่ทำให้มาเก๊า เป็นเมืองที่มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกได้อย่างลงตัวที่สุด “มาเก๊า” จึงนับว่าเป็นเมืองยุโรปใจกลางเอเชียอย่างแท้จริง








ตึกทอง แหล่งกาสิโน






สภาพภูมิอากาศและการแต่งกาย
มาเก๊า มีภูมิอากาศค่อนข้างอบอุ่น โดยเฉลี่ยอยู่ราว 20 องศาเซลเซียส (68 ฟาเรนไฮด์) มีความชื้นสัมพัทธ์สูงเฉลี่ย 75%-90% โดยแบ่งเป็นฤดูกาลต่างๆ ได้ดังนี้
ฤดูใบไม้ร่วง (ต.ค.-ธ.ค.)
ถือเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุด เหมาะแก่การท่องเที่ยว
ฤดูหนาว (ม.ค.-มี.ค.)
แม้ว่าจะมีอากาศค่อนข้างหนาว แต่ก็มีแสงแดด ให้พออบอุ่น เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปสัมผัสอากาศ
ฤดูร้อนและฝน (เม.ย.-ก.ย.)
ในช่วงนี้อากาศจะเริ่มร้อนอบอ้าว และมีความชื้น สัมพัทธ์สูงในบางช่วงจะมีฝนตกและมักเกิดพายใต้ฝุ่น ราวเดือน มิ.ย.-ส.ค.นกรณีที่เกิดพายุไต้ฝุ่นถึงระดับ8 สะพานเชื่อมไทปา, โคโลอาน จะถูกปิดลงชั่วคราว ขณะเดียวกันการเดินเรือ โดยสารและเที่ยวบินต่างๆ ระหว่าง ฮ่องกง-มาเก๊า จะถูกยกเลิกชั่วคราว จนกว่าจะปลอดภัย









สะพานเชื่อมเกาะ จะเห็นอยู่มากมาย






ข้อแนะนำในการแต่งกาย

ในช่วงฤดูร้อน ควรสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบางเบาคล้ายบ้านเรา ในฤดูหนาว ควรสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนา ๆ หรือโอเวอร์โค้ต และควรพกเสื้อกันลมติดตัวไปด้วย


การปกครอง
หลังจากโปรตุเกสได้ทำพิธีส่งมอบมาเก๊าคืนแก่จีน เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1999 มาเก๊าก็ได้รับการขนานนามใหม่ว่า “เขตปกครองพิเศษมาเก๊า” หรือ Macau, The Special Administrative Region of the People’s Republic of China ซึ่งหมายถึง มาเก๊ามี ระบอบการปกครองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ กล่าวคือ มาเก๊าสามารถมีรัฐบาลและ ปกครองตนเอง ต่อไปได้เป็นระยะเวลา 50 ปี ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีน

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ มิได้สร้างความหวาดวิตกกังวล แก่ชาวมาเก๊าแต่อย่างใด แต่เป็นไปด้วยความยินดีปรีดายิ่ง เนื่องจากในขณะที่มาเก๊ายังเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างโปรตุเกส, มาเก๊า และจีน เป็นไปอย่างสมานฉันท์


ประชากร
ปัจจุบันมาเก๊า มีประชากรรวมทั้งสิ้นประมาณ 450,000 คน เป็นชนเชื้อสายจีน 95% อีก 5% เป็นชาวโปรตุเกส และชนชาติอื่นๆ

ภาษา
ภาษาจีนและโปรตุเกส เป็นภาษาราชการ แต่ภาษาจีนกวางตุ้ง เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง ส่วนภาษาอังกฤษจะใช้กันทั่วไปตามร้านค้าและโรงแรม


ศาสนา
ชาวมาเก๊านับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือ ศาสนาคริสต์ เห็นได้จากมาเก๊า มีวัดและโบสถ์อยู่มากมาย

หน่วยเงินตรา
มาเก๊ามีสกุลเงิน ที่เรียกว่า “ปาตากาส์” หรือ MOP$ มีหน่วยสตางค์เรียกว่า อาโวส (Avos) สกุลเงินปาตากาส์ มีค่าผูกพันกับสกุลดอลล่าร์ฮ่องกง โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 103.20 MOP$ = 100 HK$ เงินดอลล่าร์ฮ่องกง เป็นที่ใช้กันแพร่หลายในมาเก๊า โดยมักจะใช้แลกเปลี่ยนในอัตรา 1 ต่อ 1 คือ หากมูลค่าสินค้าเท่ากับ 5 MOP$ ก็สามารถชำระเป็น 5 HK$ ก็ได้

ระบบไฟฟ้า

โดยทั่วไปจะใช้กระแสไฟฟ้า 220 โวลท์ แบบปลั๊ก 3 ตาขาเหลี่ยม











ถึงฝั่งมาเก๊าก็ เกือบ 3 ทุ่มแล้วหิวก็หิว เราขึ้นรถบัสอีกคัน เพื่อไปทานมื้อเย็นที่ย่านมาเก๊าเดิมโดยมีไกด์ชาวจีนเป็นหญิงวัยประมาณสี่สิบเศษเป็นคนนำทางเข้าสู่ใจกลางแหล่งกาสิโนเลยทีเดียว ไกด์ก็เจื้อยแจ้ว บอกตรงโน้นที่ ตรงนั้นที แต่ก็ได้แต่เหลือบดูความอลังการ์ ของแต่ละโรงแรม ซึ่งก็มีบ่อนอยู่ในนั้น และแล้วเราก็มาถึงร้านอาหารเมื่อ 3 ทุ่มเกือบครึ่ง.....

สิ่งที่เห็นสำหรับร้านอาหารที่นี่ คือ ไม่มีน้ำเย็นให้ แต่จะเสริฟเป็นน้ำชาร้อนแทน.......ถ้าอยากทาน ต้องหาซื้อเอา และไม่มีกระดาษเช็ดมือให้เหมือนบ้านเรา เกือบทุกร้านจะเป็นแบบนี้หมดในมาเก๊า..... สำหรับน้ำเปล่าถ้าซื้อจากข้างนอก ก็ 2.5 - 4 HKD วันที่ไปอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 4.3 บาทต่อ 1 ดอลล่าฮ่องกง.... สำหรับเงินที่ใช้ใน มาเก๊าเราสามารถใช้เงินฮ่องกงได้ แต่ไม่สามารถนำเงินมาเก๊าไปใช้ในฮ่องกง....ถ้าไม่อยากเสียเปรียบ ก็จงใช้ให้หมดในมาเก๊า เพราะอัตราแลกเปลี่ยนจะถูกกว่า คือ 0.86 ฮ่องกงดอลล่า ต่อ 1 มาเก๊า $ MOP เท่านั้น









ขาเข้าเมืองมาเก๊า







ทานมื้อเย็นเสร็จ รถก็พาเราข้าสะพานไปที่เกาะ Taipa ซึ่งเมื่อก่อนก็คือหมู่บ้านประมงเล็กๆ เราเข้าพักที่ Taipa Hotel ซึ่งก็พอใช้ได้ แต่เหม็นกลิ่นบุหรี่.... แต่ราตรียังเยาวัย เราจึงเดินหาเบียร์ ชินเตา มานั่งดื่มแก้เมื่อยที่โรงแรม โดยเดินออกไปหาซื้อที่ ร้าน 7/11 เพราะเป็นที่เดียวที่ยังเปิดอยู่..... ราคาก็ 5 เหรียญต่อกระป๋อง เป็นอันว่าเบียร์จีนหมดไป 3 กระป๋องก็ง่วงพอดี....







18 กรกฎาคม 2008
วัดอาม่า ประตูโบถส์เซ็นจอน เซ็นนาโด้สแคว์ และเวเนเชี่ยน





หน้าโรงแรมไทปา






นักเรียนที่ไทปา







คนมาเก๊าก็อยู่บนตึกสูงๆเหมือนที่ฮ่องกง เพราะหาพื้นราบยาก






มาเก๊าทาวเวอร์
มีความสูงถึง 338 เมตร ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาปนามวาน นักท่องเที่ยวที่ต้องการดื่มด่ำบรรยากาศแบบพาโนราม่าของมาเก๊าเคล้าอาหารรสเลิศ ที่นี่ก็มีไว้คอยบริการทั้ง ภัตตาคาร และคอฟฟี่ชอป ภายในทาวเวอร์ยังมีห้องจัดสัมมนา และนิทรรศการขนาดต่างๆ หรือผู้ที่ชื่นชอบท้าทายความสูง ก็มีกิจกรรมมากมายให้ท่านได้เลือกเล่น อาทิ การเดินรอบนอกของหอคอยบนความสูง 216 เมตร และ 233 เมตร (Skywalk และ Skywalk X) หรือเลือกปีนขึ้นบนจุดสูงสุดของหอคอย (Mast Climb) และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.macautower.com.mo












รถพาเราย้อกลับไปทางมาเก๊าเดิมอีกครั้งในตอนเช้า เพื่อไปชมวัดอาม่า รถขับข้ามสะพานไปฝั่งมาเก๊าเดิม ผ่านวิวหอคอยมาเก๊า และจวนผู้ว่า ตามต่อด้วยบ้านเจ้าพ่อ Casino และวนลงไปสู่ที่จอดรถริมทะเล หน้าทางเข้าวัดอาม่า


วัดอาม่า ( A-Ma Temple )
วัดอาม่า คือวัดที่เก่าแก่ที่สุดและเก็บรักษาศิลปะวัตถุเก่าแก่ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลไว้มากมาย เป็นอาคารสถาปัตยกรรมที่คงอยู่มาได้ยาวนานที่สุดของมาเก๊า ในบริเวณวัดมีศาลาซุ้มประตู หอเมตตาธรรม ศาลเจ้าแม่กวนอิม และศาลพระพุทธ เปิดให้เข้าชม 07.00-18.00 น.


















วัดอาม่า







บางท่านอาจเรียกว่า ศาลเจ้าแม่ทับทิม ตั้งอยู่บริเวณเขาบาร์ร่า ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายให้กับองค์เทพธิดาแห่งท้องทะเล ภายในมีศาลเจ้าและก้อนหินขนาดใหญ่ แกะสลักรูปเรือสำเภาโบราณ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าจุดนี้เป็นจุดแรกที่เจ้าแม่ก้าวขึ้นจากท้องทะเล.....

















ที่ศาลาหน้าวัดอาม่าจะมี เรือจีนโบราณ และรถลากตั้งอยู่ในศาลา ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพ สำหรับรถลากเราสามารถไปนั่งถ่ายภาพได้เลย...
















ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล ( Ruins of St.Paul's )

ก่อตั้งขึ้นในปี 1594 และปิดในปี ค.ศ.1762 เป็นมหาวิทยาลัยตามแบบตะวันตกแห่งแรกของเอเชียตะวันออก หลังจากที่เกิดเพลิงไหม้ในปี 1853 ทั้งวิทยาลัยและโบสถ์ถูกทำลายจนเหลือแต่ด้านหน้าของตึก ฐานโบสถ์และบันไดด้านหน้า ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก และมีที่มาเ๊ก๊าเพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น เปิดให้เข้าชม 09.00-18.00 น.



















โบสถ์เซนต์ ดอมินิค ( St.Dominic's Church )

เป็นโบสถ์ที่ได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ A Abelha da China เป็นภาษาโปรตุเกสแห่งแรกในจีน ในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ.1822 ส่วนหอระฆังด้านหลังอาคารได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กแสดงงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนามากถึง 300 ชิ้น เปิดให้เข้าชม 10.00-18.00 น.














ตึก ลีอัล เซนาโด (Leal Senado Building)

สร้างขึ้นในปีค.ศ.1784 ให้เป็นสำนักงานเทศบาลของมาเก๊า และผ่านการปรับปรุงมาหลายครั้ง ตึกที่ท่านเห็นในปัจจุบันสร้างและปรับปรุงในปีค.ศ.1874.......เป็นที่รวบรวมหนังสือโบราณ รวมทั้งเอกสารสำคัญจากต่างประเทศตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึงทศวรรษ 1950 โดยเฉพาะเอกสารที่บันทึกบทบาทของโปรตุเกสในทวีปแอฟริกาและกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออก ห้องสมุดยังมีสำเนาของ "อา อาเบล่า ดะ ชีนา" ( A Abelha da China ) ภาษาโปรตุเกส ฉบับแรกในประเทศจีนด้วย เปิดให้เข้าชม 09.00-21.00 น. ปิดวันจันทร์
























เซนาโด้สแควร์

ย่านการค้าเซนาโด้สแควร์ โดดเด่นด้วยพื้นถนนที่ปูลาดด้วยกระเบื้อง เป็นลอนคลื่น เปรียบเสมือนท้องทะเลอันอุดมสมบูรณ์ ล้อมรอบไปด้วยอาคารสไตล์ยุโรปหลากสีสัน ที่นี่จัดว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่รวมไว้ซึ่งร้านค้าต่างๆ มากมาย ทั้งแฟชั่น แบรนด์เนม ร้านแผงลอย เฟอร์นิเจอร์โบราณ อัญมณี เครื่องประดับ ของที่ระลึก ฯลฯ เรียกว่าจะหาซื้ออะไรในมาเก๊า มาที่นี่ที่เดียวก็ได้ครบ













สำนักงานเทศบาลมาเก๊า :
ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซนาโด้สแควร์ เป็นอาคารสไตล์นีโอคลาสสิค ภายในเป็นที่ตั้งแกลอรี่ และมีการตกแต่งอาคารและสวนอย่างสวยงามสไตล์ยุโรป



ตอนแรกต้องขอจบแค่นี้ก่อนละกัน เพราะ web เริ่มอืดแล้ว เอาเป็นว่าไปต่อกันที่ The Venetian Resort ในตอนหน้านะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน




ตอนต่อไป ll


_________ จบตอนที่1ครับ_________








Create Date : 26 กรกฎาคม 2551
Last Update : 13 สิงหาคม 2555 12:13:15 น. 4 comments
Counter : 5771 Pageviews.

 
ไปวันเดียวกันเลยค่ะ :) แต่เราไปเองค่ะ เดินกันเหนื่อยแฮ่กๆ


โดย: galatea IP: 58.8.34.245 วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:47:28 น.  

 
ขอบคุณ galatea ที่เข้ามาเยี่ยมครับ ....ร้านขายเสื้อผ้า อย่าง bossini มีแต่คนไทยกับ ปินส์ส่วนมากที่เข้าไปขนกัน...... อากาศวันนั้นที่แถวๆ เซนาโด้สแควร์ร้อนมากครับ....


โดย: wicsir วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:49:41 น.  

 
ตามมาเที่ยวค่ะ ชอบภาพมาเก๊าทาวเวอร์ มันดูสูงสะใจดี
เสียดายไม่มีภาพเรือโบาณ ลำสั้นๆ ใบเรือป้อมๆ


โดย: นีลา IP: 202.91.19.204 วันที่: 9 กันยายน 2551 เวลา:10:22:06 น.  

 
ถ่ายหอมาเก๊าตอนรถวิ่งอะครับ...รีบกลัวไม่ทัน เลยออกมาแบบที่เห็นนั่น..... ส่วนเรือใบป้อมๆเห็นแต่ที่ก้อนหิน ..... ขอบคุณคุณนีลาที่ตามที่มาเก๊าครับ


โดย: wicsir วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:10:27:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wicsir
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]











...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......


อยากจะบอกว่า

@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว

@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.

@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...


ด้วยจริงใจ
นาย wicsir.




Rec. 11.06.08
New Comments
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
26 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wicsir's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.