....OUR FAMILY'S JOURNEY....

+ 7 วันในเมียนมาร์ (4) .... มัณฑะเลย์ +








เกริ่น...การเดินทางของเราแบบ 7 วันในพม่าก็มาถึงตอนที่ 4 แล้วนะครับ โดยคราวที่แล้วเราบินจากย่างกุ้งมาที่ยองอู แล้วเที่ยวยองอู พุกาม กันจนจบบล๊อก (คลิ๊กอ่าน) เขียนใส่ไว้แบบรวบรัดเพื่อให้ท่านผู้อ่านตามสาระได้แบบไม่ต้องเยิ่นเย้อ ... ตอนเย็นเราค้างแรมที่ Sky View Hotel ใกล้ๆบริเวณเมืองพุกามเก่านั่นแหละครับ ตอนเช้าเราต้องขึ้นไปชั้นบนสุด ประมาณชั้น 3 หรือ 4 นี่แหละครับ แต่เมื่อขึ้นไปถึงก็ต้องตะลึง เมื่อเจอภาพบอลลูนเป็นร้อยๆลูกกำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อชมบรรยากาศของทะเลเจดีย์พุกาม .... เมื่อผู้เขียนพยามเข้าไปตรวจสอบดูจากเวป ก็ต้องทำใจครับ ค่าขึ้นชมแพงมากคือประมาณ 300 USD. 

เสร็จจากอาหารเช้า เราต้องเดินทางไปขึ้นเครื่องที่สนามบินเมืองยองอู เพื่อเดินทางสู่มัณฑะเลย์ เมืองหลวงเก่าและเมืองใหญ่อันดับ 2 ของพม่าหรือเมียนมา รองลงมาจากย่างกุ้ง เครื่องบินแบบใบพัดจากยองอู-มัณฑะเลย์จะใช้เวลาบิน 30 นาทีครับ




บนชั้นดาดฟ้าที่ทานอาหารเช้าในโรงแรม Sky View เมืองพุกาม





ก๊วนกอล์ฟ...เก็บภาพไว้หน่อย



เจ้าหน้าที่สนามบินยองอู



ภายในสนามบินยองอู



บนเครื่องแบบใบพัดของ KBZ (สังเกตุป้ายวงกลมที่หน้าอก...แทนบัตรโดยสาร)

คนในเครื่องเกือบเต็มลำนะครับ แต่ที่นั่งก็เลือกเอาแบบรถสองแถวหรือรถเมล์นั่นแหละ ขึ้นก่อนก็เลือกหาที่นั่งเหมาะๆเอาเอง ไม่มีหมายเลขที่นั่งแบบเครื่องบินในบ้านเรานะครับ แต่รับรองได้ว่าไม่ได้ยืนแน่ .... สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ทำใหม่ดูโอ่อ่ามากกว่าทุกแห่งที่ผ่านมา ยกเว้นย่างกุ้งจะคึกคักกว่า ภายในตัวอาคารสะอาดสะอ้านดี มีร้านดิวตี้ฟรีขายของด้วย สายการบินที่บินตรงถึงไทยก็มีหลายสาย ปลายทางกรุงเทพฯและเชียงใหม่ ถ้าท่านอยากไปเที่ยวโซนนั้น ไม่ว่าจะ พุกาม มัณฑะเลย์ หรือแม้แต่อินเล ก็บินตรงไปลงที่มัณฑะเลย์ได้นะครับ



เส้นทางบินของเรา 1. ย่างกุ้ง-ยองอู 2. ยองอู-มัณฑะเลย์ 3. มัณฑะเลย์-เฮโฮ 4.เฮโฮ-ย่างกุ้ง


ลงเครื่องที่สนามบินเสร็จรถก็มารับเดินทางต่อไปที่เมืองสะกายน์ (Sagaing) โดยข้ามสะพานแม่น้ำอิระวดีไป เมืองสะกายน์อยู่ห่างจากมัณฑะเลย์ประมาณ 23 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที .... เมืองสะกายน์เคยเป็นเมืองหลวงของพม่าระหว่างปี ค.ศ. 1760 ถึง 1763 ในรัชสมัยของพระเจ้ามังลอก และเคยเป็นเมืองที่ได้จัดให้ชาวอยุธยา ซึ่งกวาดต้อนมาหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 มาลงหลักปักฐาน

ปัจจุบันเมืองสะกายน์มีประชากรประมาณ 70,000 คน มีเขตติดต่อใกล้กับเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งมีประชากรมากกว่า 1,022,000 คน ทำให้เมืองสะกายน์มีสถาบันการการศึกษาหลายแห่งที่รองรับประชากรจากมัณฑะเลย์




บนสะพานข้ามแม่น้ำอิระวดีไปเมืองสะกายน์ (Sagaing)



เข้าสู่เขตเมืองสะกายน์ (Sagaing)




เจดีย์กองมูดอว์ ((Kaung Hmu Daw Pagoda) ... หรือคนไทยเรียกว่าเจดีย์นมสาว


เมื่อเข้าสู่เมืองสะกายน์ ถ้ามองออกไปทางเนินเขาขวามือจะเห็นเหมือนทะเลเจดีย์มากมาย ทั้งอยู่ในหุบเขาและบนเขา แต่ทะเลเจดีย์ที่นี่จะมีสีสรรสวยงามตามอายุของการก่อสร้าง (คือใหม่กว่าที่พุกาม)

วัดเจดีย์กองมูดอว์ (KaungHmuDaw Pagoda) หรือ วัดเจดีย์นมสาว เนื่องจากรูปทรงเจดีย์ค่อนข้างแปลกตา คล้ายกับนมของหญิงสาว บ้างก็ว่าวัดซาลาเปา ก็คล้ายเหมือนกัน วัดแห่งนี้สร้างโดยพระเจ้าต้าหลู่ เมื่อปี ค.ศ. 1636 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุที่ได้มาจากลังกา เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ทรงโอคว่ำแบบสิงหล หรือเจดีย์ทรงลังกา มีตำนานเล่าว่าองค์ระฆังทรงกลมผ่าครึ่งซีกนี้ ได้ต้นแบบมาจากถัน พระชายาคนโปรดของพระเจ้าต้าหลู่ องค์เจดีย์มีความสูง 46 เมตร เส้นรอบวงวัดได้ 274 เมตร ทรงของเจดีย์คล้ายทรงครึ่งวงกลมคว่ำ เป็นศิลปะในแบบของชาวสิงหล ปัจจุบันตัวเจดีย์มีการบูรณะใหม่ ถูกทาให้เป็นสีทองทั้งหมดเพื่อความสวยงาม










ถ่ายภาพร่วมกันไว้เป็นที่ระลึก



บรรยากาศที่ร้านอาหารสะกายน์ฮิลล์



ขาออกมาจากเมืองสะกายน์เจอขบวนแห่กองกฐินแบบพม่า



จากเมืองสะกายน์ หลังมื้อเที่ยงเรากลับไปที่มัณฑะเลย์ เพื่อเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆในเมืองต่อครับ


มัณฑะเลย์ เป็นอดีตเมืองหลวง และเมืองใหญ่อันดับที่สองของพม่ารองจากนครย่างกุ้ง ตั้งอยู่ในภูมิภาคมัณฑะเลย์ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิรวดี ห่างจากย่างกุ้งไปทางทิศเหนือ 716 กิโลเมตร ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1857 โดยพระเจ้ามินดง โดยตั้งชื่อตามภูเขามัณฑะเลย์ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งมีความสูง 775 ฟุต

วงเวียนของเมืองมัณฑะเลย์ ... มัณฑะเลย์เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าทางตอนเหนือของพม่า และถือเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองจากย่างกุ้ง นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญบนเส้นทางการค้าระหว่างอินเดียกับจีน และรัฐบาลพม่ายังให้ความสำคัญโดยตั้งนิคมอุตสาหกรรมขึ้นในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเข้ามาดำเนินการประมาณ 1,000 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงงานถลุงเหล็ก และโรงงานผลิตอุปกรณ์เครื่องจักรกล มัณฑะเลย์ยังเป็นเมืองศูนย์กลางคมนาคม มีทั้งท่าเรือและท่าอากาศยานนานาชาติมัณฑะเลย์




ดอกไม้ถวายพระในพม่า (เป็นใบๆคือต้นชัยชนะ)



ที่แรกที่เราจะไปชมและไหว้พระด้วยคือ พระมหามัยมุนี หรือ มหาเมียะมุนี


พระมหามัยมุนี 
(Mahamuni Buddha Image)
เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่า และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า "ผู้รู้อันประเสริฐ" (The Great Sage) เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่าในยุคราชวงศ์คองบอง เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ .... มีตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาลโดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์หนัก 6.5 ตัน มีการสร้างบนฐานสูง 1.84 เมตร (6.0 ฟุต) รวมองค์พระมีความสูงทั้งหมดกว่า 3.82 เมตร (12.5 ฟุต) ไหล่กว้าง 1.84 เมตร (6.0 ฟุต) และรอบเอวกว้าง 2.9 เมตร (9.5 ฟุต)






พระมหามัยมุนี

ตำนาน...

ก่อนสร้างกษัตริย์ผู้สร้างทรงพระสุบินว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสืบพระพุทธศาสนาไปในภายภาคหน้า โดยในอดีตแม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นที่ทรงแสนยานุภาพอย่างไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ ต้องมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบองสามารถตียะไข่ได้ และได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ในปี พ.ศ. 2327 โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีมายังเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนีจึงได้มาประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ด้วยความเชื่อว่าพระพุทธมหามัยมุนีนี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต ด้วยเหตุที่ได้รับประทานพร หรือบางตำนานก็กล่าวว่าได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวายโดยทุกเช้าในเวลาประมาณ 04.00 น. พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธาจะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคาอย่างดี พร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนที่ถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท แล้วนำกลับคืนแก่สาธุชนผู้นั้นไปบูชาต่อ พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดี เสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนมชีพอยู่

อนึ่ง องค์พระมหามัยมุนีมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทัวทั้งองค์ ซึ่งหากเอานิ้วกดลงไปจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันนับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ชั้น ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานหลายศตวรรษ ทำให้พระมหามัยมุนีมีอีกพระนามหนึ่งว่า "พระเนื้อนิ่ม" แต่น่าแปลกที่ว่าแม้จะมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนองค์พระใหญ่ขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามองค์พระอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ไม่ได้มีการปิดทองที่องค์พระพักตร์เลยแม้แต่น้อย

สำหรับในประเทศไทย ที่วัดหัวเวียง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ได้มีองค์พระจำลองของพระมหามัยมุนีนี้เป็นพระประธานของวัด และอีกองค์หนึ่งคือพระมหามัยมุนีสายสัมพันธ์ 2 แผ่นดิน ที่ ประดิษฐานพลับพลาชั่วคราว ณ วัดพระธาตุดอยแต ตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมืองลำพูน ซึ่งมีขนาดเท่าองค์จริง และได้ทำพิธีในวัดพระมหามัยมุนีองค์จริงโดยพระสังฆนายกแห่งประเทศพม่า และได้มอบให้พระสงฆ์เมืองมัณฑะเลย์ จำนวน 108 รูป ทำพิธีตลอด 3 วัน (14-16 มีนาคม 2557) และได้อัญเชิญมาประเทศไทยเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่าง 2 ประเทศ และทุกเช้าวันพระจะมีพิธีสรงพระพักตรโดยพระสงฆ์ผู้ได้รับมอบหมายจากประเทศพม่




พลังศรัทธา



รูปปั้นเครื่องสัมฤทธิ์ ไกด์บอกว่าเขาเอามาจากอยุธยา (กำลังสร้างห้องเก็บ)



วิหารชเวนันดอร์  (Shwenandaw)


จุดต่อมาก็มาที่นี่ครับ .... วิหารชเวนันดอร์ ในอดีตนั้นเคยเป็นวัดชเวนันดอร์มาก่อน ซึ่งปัจจุบันตั้งในเขตพระราชวังมัณฑะเลย์ เป็นสิ่งปลูกสร้างยุคสมัยของพระเจ้ามินดงเพียงหลังเดียวที่ยังเหลือรอด

หลังจากที่พระเจ้ามินดง สิ้นพระชนม์ลงที่อารามแห่งนี้ พระเจ้าตี่ป่อ (คนไทยเรียกว่าพระเจ้าสีป่อ) ก็โปรด ให้ย้ายวัดชเวนันดอร์ออกมาไว้ยังที่ตั้งในปัจจุบันซึ่งอยู่ในเขตของพระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งนับว่าเป็นการดี เพราะต่อมาพระราชวังมัณฑะเลย์ก็ถูกทำลายลงในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่วิหารชเวนันดอร์ไม่ถูกทำลายและยังหลงเหลือความงดงาม วิจิตรการตาให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม ... เดิมพระเจ้าตี่ป่อทรงใช้อารามนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมส่วนพระองค์ ภายหลังจึงได้ถวายให้เป้นเสนาสนะสงฆ์ และได้จัดงานฉลองครบรอบ 100 ปี ไปเมื่อปี ค.ศ. 1979 




เมื่อก่อนเป็นที่ประทับพระเจ้ามินดง



วังที่ไม้สักที่แกะสลักสวยงาม (เมื่อก่อนทาสีทอง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Golden Palace)


ใกล้ๆกับวัดชเวนันดอร์มา จะเป็นวัดอทูมาชิ (Atumashi Kyaung) ... เดินเข้าไปชมได้ แต่วันที่เราไปเหมือนว่าประตูจะปิดเลยได้ยืนชมอยู่แต่ด้านนอกครับ

วัดอทูมาชิ (Atumashi Kyaung) อยู่ติดกับวัดชเวนันดอร์ เป็นวัดที่มีความสวยงาม รูปทรงแปลกแตกต่างจากวัดทั่วๆ ไปในมัณดาเลย์ คำว่า “อทูมาชิ” ในภาษาพม่า หมายถึง ความสวยงามอย่างหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ ซึ่งวัดนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นอาคารที่งดงามโอ่อ่าที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มแรกสร้างในปี พ.ศ. 2400 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มสร้างราชธานีใหม่ของพระเจ้ามินดง ตัวอาคารเป็นสี่เหลี่ยมโดยสร้างครั้งแรกใช้โครงสร้างไม้และก่อปูนฉาบทับ สูงขึ้นไปเป็นส่วนหลังคาทรงสี่เหลี่ยมลดหลั่นกันไป มีระเบียงรอบๆ ทั้ง 5 ชั้น แต่เดิมภายในเป็นที่เก็บต้นฉบับของพระไตรปิฎก       4 เล่ม บรรจุในกล่องไม้สัก และมีพระประธานองค์สูงใหญ่ถึง 9 เมตร ห่มด้วยผ้าไหมแท้อย่างดีแบบกษัตริย์ เชื่อกันว่าภายในองค์พระประธานมีสมบัติมีค่าอยู่ พระเจ้ามินดงได้ถวายเพชรเม็ดใหญ่ประดับ  ไว้ที่หน้าผาก แต่ได้ถูกขโมยไปในระหว่างอังกฤษเข้ามายึดเมือง ที่น่าเสียดายมาก คือในปี พ.ศ. 2433 ได้เกิดเพลิงไหม้เผาผลาญตัวอาคารและภายในจนหมดสิ้น หลังจากนั้น ปีพ.ศ. 2539 ได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่จากนักโบราณคดีชาวพม่า โดยใช้แรงงานนักโทษ จนเสร็จสมบูรณ์สวยงามอย่างในปัจจุบัน เมื่อเดินเข้าไปภายในบริเวณวัดต้องยอมรับฝีมือและความประณีตของช่างชาวพม่าที่บรรจงแกะสลักปูนปั้นที่ละเอียดอ่อนช้อยตามซุ้มประตูและหัวเสา ภายในเด่นที่เพดานไม้สูงลดหลั่นกันไปเป็นชั้นสวยงาม




วัดอทูมาชิ (Atumashi Kyaung)



ตุ๊กตาแบบพม่ามีขายที่ข้างวัง






วัดกุโสดอร์ : เป็นวัดที่พระเจ้ามินดง สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 และพระองค์ทรงให้จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี และได้นำมาประดิษฐานในมณฑป อยู่รอบพระเจดีย์มหาโลกมารชิน สูง 30 เมตร ซึ่งจำลองรูปแบบมาจากพระมหาเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม

เจดีย์ของพระเจ้ามินดงก็ตั้งอยู่ด้านหน้าเจดีย์ของเจดีย์กุสุดอว์นี่เหมือนกัน




มหาเจดีย์กุโสดอร์ มัณฑะเลย์



เจดีย์ที่เก็บแผ่นจารึกพระไตรปิฏกหินอ่อน



แผ่นหินอ่อนจารึกพระไตรปิฎก


พระราชวังมัณฑะเลย์ (อังกฤษ: Mandalay Palace) เป็นพระราชวังในประเทศพม่า และเป็นพระราชวังสุดท้ายแห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพม่า ก่อนที่จะถูกทำลายโดยทหารอังกฤษ ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง


ประวัติ
พระราชวังมัณฑะเลย์ ถูกก่อสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้ามินดง ระหว่างปี ค.ศ. 1857-ค.ศ. 1859 หลังการย้ายเมืองหลวงจากอมระปุระมายังมัณฑะเลย์ เพื่อหนีทหารของจักรวรรดิอังกฤษ ระหว่างสงครามพม่า-อังกฤษ ตามความเชื่อ ... โดยมีชื่อเรียกในภาษาพม่าว่า မြနန်းစံကျော် (Mya Nan San Kyaw) อันหมายความว่า "พระบรมมหาราชวังมรกตลือเลื่อง" แต่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ရွှေနန်းတော်ကြီး อันหมายถึง "พระราชวังทองคำ"

เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย มีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ และเป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่า เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังเสียด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1945 พระราชวังตกอยู่ในความเสียหายมาโดยตลอด จนปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยรัฐบาลพม่า โดยการลอกแบบโครงสร้างเดิม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของมัณฑะเลย์

ไกด์บอกเราว่าปัจจุบันด้านในพระราชวังที่ที่ตั้งของกองทัพพม่าไปแล้ว




กำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์






เมืองมัณฑะเลย์



เด็กๆนักเรียนชาวมัณฑะเลย์






จากเมืองมัณฑะเลย์เราเดินทางไปเมืองอมรปุระเพื่อชมทัศนียภาพสะพานไม้อูเบ็งในยามเย็น แต่เราจะแวะเข้าวัดมหากันดายนก่อน .... วัดมหากันดายน ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบตองตะมาน ใกล้สะพานอูเบ็ง และเป็นวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดของพม่า มีภิกษุและสามเณรมาศึกษาเล่าเรียนทางธรรมกว่า 1,200 คน และมีพระภิกษุจาก ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ มาบวชเรียนด้วย วิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้เป็นสถานที่ศึกษาพระธรรมและรักษาพระธรรมวินัยมากที่สุด ด้วยวัตรปฎิบัติอันงดงามของภิกษุสงฆ์ในวัดมหากันดายน ทำให้มีชาวพม่าจำนวนมากส่งบุตรหลานมาศึกษาพุทธศาสนากันที่นี่ และทำให้มีผู้มีจิตศรัทธาจองคิวกันนำภัตตาหารมาถวายพระทั้ง 1,200 รูปไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้วิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ดำรงค์อยู่ได้แม้จะได้รับงบประมาณจากรัฐบาลพม่าไม่มากนัก .... ถ้าจะไปใส่บาตรพระเณรจะออกบิณฑะบาตรก่อนเพล หรือประมาณ 11.00 น. ครับ




ในบริเวณวัดมหากันดายน


จากวัมหากันดายน ยังมีเวลาเหลือเราแวะไปชมโรงงานทอผ้าแบบพม่า ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก อุปกรณ์ที่เห็นเป็นกี่กระตุ๊กรุ่นเก่าแบบใช้คน ส่วนที่ปั่นด้ายก็เป็นแบบของเราในสมัยโบราณ แต่ผ้าที่ได้ออกมาสวยงามมากๆ



ไปเยี่ยมชมโรงทอผ้า..เห็นแบบสวยน่ารักเลยถ่ายมาฝาก


เมืองอมรปุระ เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ออกไป 12 กิโลเมตร นับเป็นอีกหนึ่งเมืองของพม่าที่ยังคงมนต์ขลังมาจนปัจจุบัน ซึ่งสามารถสัมผัสได้จากวิถีชีวิตความเป็นอยู่ รวมไปถึงอารยธรรมอันเก่าแก่ของเมืองที่สามารถพบเห็นได้จากเหล่าวัดอารามและเจดีย์ที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบๆตัวเมือง โดยเฉพาะชื่อเสียงเกี่ยวกับการค้นพบสถูปบรรจุอัฐิสถูปบรรจุอัฐิพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) ที่เชื่อกันว่าน่าจะอยู่ที่สุสานลินซินกองในเมืองอมรปุระนั่นเอง....แต่ที่นักท่องเที่ยวอยากมาเห็นที่สุดคือบรรยากาศยามเย็นที่ทะเลสาบตองตะมานทางตอนใต้ของเมืองนั่นเอง




สะพานไม้อูเบ็ง



ได้เวลาใกล้เย็น เรามาที่บริเวณสะพานไม้อูเบ็ง พอมาถึงก็เจอนักท่องเที่ยวทั้งพม่า ไทย และฝรั่งมากมายเกือบเต็มสะพาน นักท่องเที่ยวหลายคนนั่งดื่มรอเวลาพระอาทิตย์จะอัสดง บางกลุ่มก็เช่าเรือพายเพื่อออกไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกโดยใช้สะพานเป็นฉากขั้นกลาง


สะพานอูเบ็ง (U-Bein Bridge) เป็นสะพานไม้สักทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน มุ่งตรงไปยังเจดีย์เจ๊าตอว์กยี ซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ตั้งอยู่ที่อมรปุระ ก่อนจะเข้าถึงตัวเมืองมัณฑะเลย์ มีความยาว 1.2 กิโลเมตร (0.75 ไมล์) สร้างขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ. 1850 และเชื่อว่าเป็นสะพานไม้สักที่เก่าแก่และยาวที่สุดในโลก สะพานสร้างจากไม้สักที่เหลือจากการรื้อพระราชวังเก่ากรุงอังวะ เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากอังวะ มายังอมรปุระ จำนวน 1,086 ต้น ชื่ออูเบ็งนั้นเป็นชื่อของขุนนางที่มีนามว่า "อูเบียน" ซึ่งพระเจ้าปดุงโปรดฯให้มาทำหน้าที่เป็นแม่กองงานสร้าง สะพานถูกใช้เป็นทางผ่านสำคัญสำหรับคนในท้องถิ่นและเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นช่วงที่น้ำในทะเลสาบมีระดับสูงสุด

บริเวณตีนสะพานอูเบ็ง มีจิตรกรพื้นที่มานั่งวาดรูปและผู้เสนอขายผลงานของตัวเอง ราคาก็ไม่แพง และในตอนเย็นๆ ชาวต่างชาตินิยมมานั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกในทะเลสาบ หรือนั่งเล่นที่เก้าอี้หวายของร้านขายเครื่องดื่มริมทะเลสาบ นอกจากมีบริการเครื่องดื่มแล้ว ยังมีปลาและกุ้งสดๆจากทะเลสาบทอดขายอีกด้วย






เรือเช่าเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกดินในทะเลสาบ














บนสะพานอูเบ็ง












แม่ชีชาวพม่า







ชาวประมงออกหาปลา



เรือออกไปลอยลำเพื่อชมภาพพระอาทิตย์ตก ผ่านสะพานอูเบ็ง









พระอาทิตย์อัสดงจากสะพานอูเบ็ง


มื้อเย็นที่ร้านอาหาร Golden Duck เมืองมัณฑะเลย์


คืนนี้เราพักที่ Nova Hotel เมืองมัณทะเลย์ ซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมประมาณ 3 ดาวที่ใช้ได้เลยทีเดียว .... กลิ่นอายขอมัณฑะเลย์และเรื่องราวของที่นี่ที่ได้รับรู้มาจากไกด์ยังคงวนเวียนให้เราคิดไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะเรื่อราวก่อนที่มัณฑะเลย์และกษัตริย์ธีบอที่ถูกทหารอังกฤษเข้ายึดครองและพระองค์ถูกจับใส่เกวียนไปลงเรือเพื่อให้ไปประทับที่รัตนคีรีในบริติชราช ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลอาหรับ จนสิ้นพระชนม์ .... หลายเรื่องหลายราวกล่าวไว้ต่างๆกัน แต่สรุปแล้วคือในช่วงปลายสมัยของพระองค์ๆทรงลุ่มหลงในพระราชอำนาจ จนขาดความศรัทธาจากประปรชาชน อาจจะเป็นเพราะข้าราชบริพารในพระองค์ หรือ พระนางศุภยาลัต พระมเหสี ที่ได้ประหารเจ้านายฝ่ายหน้าฝ่ายในที่คุมขังไว้ตั้งแต่พระเจ้ามินดงประชวรระหว่างวันที่ 13 - 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2421 จนหมดสิ้น .... อังกฤษได้ประท้วงการสังหารหมู่ครั้งนี้ โดย R. B. Shaw ผู้แทนอังกฤษประจำราชสำนักมัณฑะเลย์ ได้ยื่นประท้วงและเสนอจะนำนักโทษการเมืองไปไว้ในพม่าที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ แต่ไม่เป็นผล อย่างไรก็ตาม อังกฤษได้ช่วยให้เจ้าฟ้านยองจันลี้ภัยไปอยู่ในพม่าตอนล่างตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2421 (อ่านเพิ่มเติม)  ... และเมื่อกองทัพอังกฤษบุกเข้ามาถึงมัณฑะเลย์ ประชาชนก็เฉยเสีย โดยนึกว่าทหารอังกฤษไม่ใช่ศรัตรูของพวกตน ทหารอังกฤษจึงเข้ายึดเมืองโดยง่ายจนพระเจ้าธีบอและเจ้านายชั้นสูงถูกส่งไปประทับที่รัตนคีรีในบริติชราช ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลอาหรับ ดังกล่าว....จึงเป็นอันว่าสิ้นสุดระบบกษัตริย์ในพม่าตั้งแต่นั้นมา

พักผ่อนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้ต้องมีการเดินทางสู่ทะเลสาบอันสวยงามนาม "อินเล"  ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามได้นะครับ .... Smiley สำหรับบล๊อกนี้ขอบคุณที่ติดตามครับ Smiley




ลาด้วยภาพตะวันตกที่ทะเลสาบตองตะมาน...จากสะพานอูเบ็ง









 

Create Date : 30 กันยายน 2561
5 comments
Last Update : 30 กันยายน 2561 11:57:47 น.
Counter : 2244 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณtuk-tuk@korat, คุณnewyorknurse, คุณSweet_pills, คุณKavanich96

 

ตามมาเที่ยวค่ะ สวยจัง

 

โดย: tuk-tuk@korat 30 กันยายน 2561 11:03:02 น.  

 

ภาพสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกก

 

โดย: อุ้มสี 30 กันยายน 2561 23:52:51 น.  

 


มาชมบรรยากาศเมียม่าอีกครั้ง
เคยไปเมื่อสามปีมานี้
ภาพสวยยย มากค่ะ

 

โดย: newyorknurse 3 ตุลาคม 2561 4:37:46 น.  

 

ภาพสวยมากค่ะคุณวิค
วัดและเจดีย์แต่ละองค์สวยจริงๆนะคะ
แห่กองกฐินแบบพม่ามีรูปแบบที่แปลกตา
ขอบคุณคุณวิคสำหรับภาพและข้อมูลค่ะ

 

โดย: Sweet_pills 5 ตุลาคม 2561 0:34:43 น.  

 

ขอบคุณที่แบ่งปัน

 

โดย: Kavanich96 7 ตุลาคม 2561 2:46:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wicsir
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]











...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......


อยากจะบอกว่า

@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว

@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.

@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...


ด้วยจริงใจ
นาย wicsir.




Rec. 11.06.08
New Comments
Group Blog
 
 
กันยายน 2561
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
30 กันยายน 2561
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wicsir's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.