....OUR FAMILY'S JOURNEY....

+ 7 วันในเมียนมา (3) .... พุกาม +







เกริ่น...บล๊อกนี้เป็นบล๊อกที่ 3 และวันที่ 3 ในจำนวน 7 วันในเมียนมาแล้วนะครับ สำหรับคราวที่แล้วเราพาคุณๆเที่ยวในย่างกุ้งมานะครับ (คลิ๊กอ่าน)

สำหรับวันนี้เราจะเดินทางขึ้นไปเมืองพุกาม เมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของประเทศเมียนมา โดยเฉพาะเรื่องทะเลเจดีย์ การเดินทางจากย่างกุ้งไปพุกามของเราในวันนี้เลือกที่จะไปโดยทางเครื่องบิน โดยให้บริษัทจัดเที่ยวของ Dr. Zin ในพม่าเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด โดยคณะเรา (ส่วนมากเป็นก๊วนกอล์ฟและคนในครอบครัว) 10 คนจะเป็นผู้กำหนดว่าจะเดินทางแบบไหน แต่โดยทั่วไปแล้วใช้เครื่องบินในประเทศจะสะดวกกว่า เราเลยเลือกแบบนั้น ... ทีนี้มาดูเครื่องบินในประเทศเมียนมาเขา เท่าที่เห็นจะเป็นแบบใบพัด เครื่องเล็กๆ (นึกภาพเครื่องที่นกแอร์เอามาบินเข้าไว้ครับ) แต่สนามบินในต่างจังหวัดของเมียนมาไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก ลองหลับตานึกถึงสนามบินที่เราเห็นในหนังสงครามโบราณละกันครับ ..... สำหรับเครื่องบินที่จะพาเราไปพุกามในเช้านี้เป็นของ Air KBZ ครับ



รอขึ้นเครื่องที่สนามบินย่างกุ้ง


เรามาถึงสนามบินนานาชาติย่างกุ้งตั้งแต่เช้าเพื่อทำการเช็คอิน .... สนามบินย่างกุ้งเปลี่ยนโฉมไปเยอะ เมื่อเทียบกับผู้เขียนเคยเดินทางมาเมื่อปี 2014 (ตอนนี้คือตุลาคม 2017) ... เมื่อเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่เขาจะเอาป้ายสายการบินมาแปะที่อกเสื้อเรา เขาไม่ออกตั๋วที่นั่งหรือ Boarding Pass ให้เหมือนบ้านเรานะครับ เมื่อถึงเวลาก็ออกเดินไปขึ้นเครื่องแล้วเลือกที่นั่งเอาตามใจชอบ (เวลาเช็คอินเขาคงนับคนกับที่นั่งว่าจะต้องพอดีกันไว้แล้ว) ก็เป็นประสพการแปลกๆในการนั่งเครื่องบินโดยสารของผู้เขียนนะครับ.



บินด้วยเครื่องแบบนี้ (ขอบคุณภาพจากเวบ)

สายการบิน Air kbz หรือที่เรียกกันว่า แอร์กานบาวซา เป็นสายการบินเอกชนของประเทศพม่า ก่อตั้งในปี 2010 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในย่างกุ้ง เจ้าของสายการบินคือ ธนาคารกานบาวซา และเริ่มให้บริการเที่ยวบินหลากหลายเส้นทาง เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2011 ซึ่งให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปพม่าและเข้าสู่เมืองต่างๆด้วยเครื่องบิน สายการนี้ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เพราะมีเส้นทางที่หลากหลายและราคาแบบโลว์คอสต์




ภายในเครื่อง

เที่ยวบินภายในประเทศ .... สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ ครอบคลุมทั้งหมด 14 แห่ง ได้แก่ พุกาม / พะโม / เฮโห / กาเล / เกาะสอง /  เชียงตุง / ล่าเสี้ยว / มัณฑะเลย์ / มะริด / มิตจีนา / ปูตาโอ / ซิตตเว / ทวาย / ท่าขี้เหล็ก / ตั่ตแว และ ย่างกุ้ง ใครที่ต้องการเดินทางไปยังเมืองอื่นๆของพม่า ก็สามารถใช้บริการจากสายการบินนี้ได้ การติดต่อค่อนข้างสะดวกหรือจะซื้อผ่านทางตัวแทนจำหน่ายก็ได้ 

เครื่องใบพัดเวลาขึ้นก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่มีเสียงดังเวลาบิน (เสียงใบพัด) แต่ตอนลงจะแกว่งนิดๆ ยิ่งตอนจะเข้าร่องเพื่อลงจอด ... ก็ได้หวาดเสียวกันไปครับ ... จากย่างกุ้งสู่ยองอู (Nyaung U) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที พอลงเครื่องก็เดินเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร และรอกระเป๋า กระเป๋าเดินทางเราเขาใช้ขนใส่รถปิกอัพเอามาลงทางเข้าที่เราเดินมาเมือตอนลง ผู้โดยสารก็ไปสังเกตุและคอยเลือกเอา กระเป๋าเขามีบัตรให้มานะครับ เราให้ไกด์เป็นคนถือไว้



อาคารผู้โดยสารขาเข้าสนามบิน Nyaung U (ยองอู)




เข้าสู่ตลาดยองอู

มาพม่าทั้งทีก็ขอดูวิถีชีวิตแบบชาวบ้านๆ ของชาวเมียนมาในต่างจังหวัดกันหน่อย เราเลือกมาเดินชมตลาดยองอูนี่แหละ ซึ่งเขาว่าตลาดแห่งใหญ่ที่สุดในเมืองยองอูแล้ว แต่ถ้าจะให้ผู้เขียนเทียบก็ประมาณตลาดสดทั่วไปในอำเภอนอกๆบ้านเรา ผิดกันเพียงแต่ว่าที่นี่เดิมๆมากๆ เหมือนบ้านเราเมื่อซัก 30 ปีที่แล้ว ... ของขายก็มีมากมายทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า รองเท้าแตะ แต่ที่ขาดไม่ได้คือไม้ท่อนทาคานา ส่วนราคานั้นถือว่าเหมาะกับสภาพของชาวบ้านที่นี่ครับ









ตลาดยองอู



ไม้ทาคาน่า



บ้านเมืองที่ยองอู


SmileySmileySmiley


จากการเป็นพญาน้อยชมตลาดพอหอมปากหอมคอแล้วเราก็เดินทางไปที่เจดีย์ชเวซีโกน (Shwezigon Pagoda) ซึ่งอยู่ห่างจากตลาดประมาณ 5 นาที ... เจดีย์แห่งนี้นับว่าเป็นต้นแบบของเจดีย์ในพม่าในเวลาต่อมาครับ ส่วนเรื่องราวและประวัติตามไปอ่านจากด้านล่างนี้เลยครับ



ทางเข้า







เจดีย์ชเวซีโกน

เจดีย์ชเวซีโกน (พม่า: ရွှေစည်းခုံ စေတီတော်) เป็นวัดในเมืองนยองอู อยู่ใกล้พุกามในพม่า เป็นต้นแบบเจดีย์แบบพม่า การก่อสร้างเจดีย์ชเวซีโกน เริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอโนรธามังช่อ (พ.ศ. 1587-พ.ศ. 1620) ซึ่งเป็นผู้สถาปนาอาณาจักรพุกามในปี พ.ศ. 1602-1603 และเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. 1645 ในรัชสมัยของพระเจ้าจั่นซิตา ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาพระเจดีย์ได้รับความเสียหายจากการเกิดแผ่นดินไหวและภัยพิบัติทางธรรมชาติจำนวนมากและได้รับการบูรณะใหม่หลายครั้ง ในการบูรณะเมื่อเร็ว ๆ นี้มีการบูรณะโดยใช้แผ่นทองแดงกว่า 30,000 แผ่น อย่างไรก็ตามฐานระเบียงเจดีย์ระดับล่างยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม

เชื่อกันว่าเจดีย์ชเวซีโกนเป็นที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุและพระทันตธาตุของพระโคตมพุทธเจ้า พระเจดีย์มีรูปทรงระฆังคว่ำมีการปิดประดับทองคำเปลว ฐานเจดีย์มีหลายชั้น เจดีย์เป็นทรงตัน ฐานระเบียงเจดีย์มีแผ่นภาพเคลือบปูนปั้นเล่าเรื่องในนิทานชาดก ที่ทางเข้าของเจดีย์มีรูปปั้นขนาดใหญ่ของผู้ปกป้องศาสนสถาน บริเวณโดยรอบล้อมด้วยวิหารและศาลเจ้าขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์สี่องค์ของพระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ทั้งสี่ทิศ ที่ด้านนอกเขตเจดีย์มีวิหารนะ 37 ตน โดยมีท้าวสักกะ หรือพระอินทร์เป็นหัวหน้านะเป็นไม้แกะสลักอย่างประณีตตามแบบศิลปะพม่า บริเวณเจดีย์ชเวซีโกนยังมีเสาหินที่จารึกเป็นภาษามอญในสมัยพระเจ้าจั่นซิตา








พระพุทธรูปองค์ขวามือเวลาจะเข้าไปนมัสการจะต้องลอกอุโมงค์เข้าไป

ประวัติ

พงศาวดารพม่าบันทึกว่าพระเจ้าอโนรธามังช่อ (พ.ศ. 1587-พ.ศ. 1620) ได้รับพระพุทธศาสนาเถรวาทจากพระสงฆ์ชาวมอญสมัยอาณาจักรสุธรรมวดี ได้ริเริ่มการก่อสร้างพระเจดีย์ระหว่างปี พ.ศ. 1602-1603 จนกระทั่งพระองค์สวรรคตด้วยอุบัติเหตุระหว่างออกล่าสัตว์ เนื่องจากถูกกระบือเผือกขวิด ในปี พ.ศ. 1620 โดยอ้างอิงตามพงศาวดารของพระองค์ จุดที่สร้างพระเจดีย์เกิดจากช้างเผือกเสี่ยงทายของพระองค์อัญเชิญพระอุณหิสธาตุ (กระดูกหน้าผาก) ของพระพุทธเจ้า และพระองค์ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ถ้าช้างเผือกหยุดเดินลงที่ใดจะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น ช้างเผือกของพระองค์เดินมาหยุดอยู่ ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี พระองค์จึงดำริให้สร้างพระเจดีย์ ณ ที่ตรงนั้น ดังนั้นชื่อเจดีย์ชเวซีโกน จึงหมายถึง "เจดีย์ทองบนพื้นทราย" ในภาษาพม่า

พระเจดีย์สร้างเสร็จสมบูรณ์ในรัชสมัยของพระเจ้าจั่นซิตา (พ.ศ. 1627-พ.ศ. 1655) ขณะที่ฐานระเบียงเจดีย์ด้านล่างถูกสร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ส่วนโครงสร้างที่เหลือถูกสร้างในสมัยพระเจ้าจั่นซิตา ปีสุดท้ายของการเสร็จสิ้นการก่อสร้างคือปี พ.ศ. 1629 และพระพุทธรูปสี่องค์ในระดับพื้นดินรอบพระเจดีย์เชื่อว่าถูกสร้างในช่วงเวลาเดียวกัน พระเจดีย์เป็นแบบจำลองของพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในประเทศอินเดีย

พระเจดีย์ได้รับความเสียหายจากการเกิดแผ่นดินไหวและภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ได้รับการบูรณะใหม่เป็นครั้งคราว และได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง (พ.ศ. 2094-พ.ศ. 2124) ช่วงพุทธศตวรรษที่ 26 ในปี พ.ศ. 2518 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในพุกาม ยอดฉัตรและองค์เจดีย์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากจำเป็นต้องบูรณะครั้งใหญ่ ปัจจุบันการบริจาคเพื่อบูรณะเจดีย์ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีแผ่นทองแดงมากกว่า 30,000 แผ่นซึ่งได้รับบริจาคจากผู้ศรัทธาทั้งในประเทศและต่างประเทศ การปิดทองขององค์เจดีย์เสร็จสิ้นในช่วงปี พ.ศ. 2526-พ.ศ. 2527 และอีกครั้งในช่วงเวลาเมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ตามฐานระเบียงเจดีย์ระดับล่างยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม



มหาเจดีย์ชเวซิโกน (Shwezigon Pagoda)


เจดีย์ชเวซีโกน เป็นต้นแบบของเจดีย์แบบพม่า เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ โดยดัดแปลงมาจากทรงเจดีย์ของชาวมอญ ซึ่งกลายเป็นคุณลักษณะทางสถาปัตยกรรมต้นแบบของเจดีย์หลายแห่งที่สร้างขึ้นในพม่า มีบันได, ประตู, และยอดฉัตรขนาดใหญ่ประดับอัญมณี พระสารีริกธาตุ ที่เชื่อว่าประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์คือพระรากขวัญ (ไหปลาร้า) พระอุณหิสธาตุ (กระดูกหน้าผาก) จากแปร และพระทันตธาตุ จากประเทศศรีลังกา ด้านนอกเขตเจดีย์มีวิหารนะ 37 ตน โดยมีท้าวสักกะ เป็นหัวหน้านะเป็นไม้แกะสลักอย่างประณีตตามแบบศิลปะพม่า ซึ่งเชื่อว่าเก่าแก่กว่า 900 ปี เป็นเทพเจ้าของอินเดียรู้จักกันในชื่อ พระอินทร์ มีอาวุธเป็นสายฟ้าศาลนะ 37 ตนได้รับการสร้างขึ้นเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพระสารีริกธาตุ

พระเจดีย์มีฐานระเบียงเจดีย์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทรงตัน ความสูงถูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากฐานถึงยอดฉัตร สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจากฐานถึงปลายยอดมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวย ฐานระเบียงเจดีย์ทั้งสี่ทิศมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่เพื่อให้ผู้ศรัทธานมัสการ ฐานระเบียงเจดีย์เหล่านี้มีการประดับเล่าเหตุการณ์ชีวประวัติของพระพุทธเจ้าและเรื่องราวในพุทธศาสนา การตกแต่งภายในแม้ว่าจะเป็นเจดีย์ทรงตันแต่มีทางขึ้นที่เชื่อมต่อกัน รอบพระเจดีย์มีทางเดินแคบ ๆ ที่ปูด้วยแผ่นกระเบื้องซึ่งได้จากผู้ศรัทธาในการบริจาคเงินและอธิษฐานขอพร



เครื่องตกแต่งภายนอก
ที่ทางเข้าพระเจดีย์มีรูปปั้นขนาดใหญ่ของผู้ปกป้องศาสนสถานที่เรียกว่า ชินเต ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายสิงโตขนาดใหญ่ ทางเข้าสู่พระเจดีย์ทั้งสี่ทางมีทางใต้และทางตะวันตกเท่านั้นที่มีการเปิดใช้งาน มีแผ่นภาพเคลือบปูนปั้น 550 แผ่นซึ่งเล่าเรื่องในนิทานชาดกประดับบนฐานระเบียงสามชั้นของเจดีย์ โดยก่อนหน้านี้มีทั้งหมด 584 แผ่นซึ่งบางส่วนได้สูญหาย ฐานเจดีย์มีสี่ชั้นบนสุดเป็นชั้นแปดเหลี่ยมรองรับองค์เจดีย์ ที่มุมระเบียงฐานเจดีย์บนสุดทั้งสี่ด้านมีการจำลององค์เจดีย์ขนาดเล็กเอาไว้ตามมุม ด้านล่างของฐานเจดีย์มีบาตรจำลอง แจกันสัมฤทธิ์ปิดทองคำเปลวและมีดอกไม้สัมฤทธิ์ประดับโดยรอบ บริเวณรอบนอกของพระเจดีย์มีวิหารและศาลาไม้ตกแต่งตามแบบศิลปะพม่า






ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกว่ามาถึงที่นี่แล้ว..ส่วนซ้ายมือสาวสวยน่าจะมาจากญี่ปุ่น



ในศาลาจะมีชาร์ทอธิบายขนาด และเรื่องราวของเจดีย์


SmileySmileySmiley


ออกจาก Shwezigon Pagoda เราเดินเดินทางลงใต้อีกไม่กี่นาทีก็ถึงวิหารกุปยอว์ยี (Gubyaukgyi Temple or Wetkyilnn) เพื่อเข้าไปดูภาพวาดในฝาผนังของวิหาร ซึ่งค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวเยอรมัน (ขออภัยถ้าจำผิด) ซึ่งมีบางส่วนของผนังที่พยามลอกเอาภาพออกไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ (น่าจะของผู้ค้นพบ) แต่ปัจจุบันได้รับการคุ้มครองแล้ว



เข้าไปในวิหารกูปยอว์ยี



ชมภาพเขียนในวิหารแห่งนี้


SmileySmileySmiley


ไปต่อครับที่วิหารติโลมินโล วิหารแห่งนี้ภายในมีเรื่องราวอะไรมากมายให้ได้ชมกันครับ ... ที่มาของเจดีย์นี้น่าสนใจมาก เพราะเกิดจากการเสี่ยงทายราชบุตรเพื่อสืบราชบัลลังค์แทนพระเจ้านรปติซีตู ซึ่งก็คือพระราชบิดาของพระเจ้าติโลมิโลนั่นเอง เหตุที่พระองค์มีพระชายาเยอะ ราชบุตรก็เยอะ จึงไม่รู้จะให้ใครสืบราชบัลลังค์ แถมตอนทรงประชวรหนัก พระองค์ยังได้รับปากพระชายาองค์หนึ่งที่คอยดูแลพระองค์อย่างดีตอนประชวรว่าจะพิจารณาราชบุตรของพระนางให้ขึ้นครองราชย์ด้วย 

สุดท้ายพระองค์หาทางออกด้วยการให้ราชบุตรทั้ง 5 พระองค์มานั่งล้อมวงกัน แล้วตั้งฉัตรประจำพระองค์ไว้ตรงกลาง หากฉัตรล้มลงแล้วปลายชี้ไปทางราชบุตรองค์ไหน องค์นั้นจะเป็นกษัตริย์สืบไป ปรากฏว่าปลายฉัตรชี้ไปที่ราชบุตรซึ่งป็นลูกของพระชายาองค์นั้นนั่นเอง
เมื่อพระเจ้าติโลมิโลขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงสร้างเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ ณ บริเวณที่พระราชบิดาเอาฉัตรเสี่ยงทายและเรียกว่า "เจดีย์ติโลมินโล"



ทางเข้าวิหารติโลมินโลติโลมินโล



หน้าวิหารมีร้านขายของที่ระลึกมากมาย รวมทั้งภาพวาด..ส่วนยอดวิหารกำลังบูรณะ

วิหารติโลมินโล (Htilominlo Temple)

สร้างโดยพระเจ้าติโลมินโล เมื่อปี พ.ศ 1761 ซึ่งได้รับการยกย่องว่ามีความ สวยงามมากทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะปูนปั้นบริเวณฐานด้านนอก วิหารนันปยะ ( Nanpaya ) ตามตำนานกล่าวว่าเป็นที่ประทับของพระเจ้ามนูหะ ซึ่งพระเจ้า อโนรถา ทรงจับเป็นเชลยมาจากเมือง สะเทิน สร้างด้วยอิฐและสอดินแต่พื้นปูด้วยหิน มี แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีมุขยื่นยาวออกไปทางทิศตะวันออก ใกล้กับแท่นบูชา ภายในอาคารมีเสาหิน 4 เสา และบนแต่ละด้านของเสาก็สลักลายดอกไม้รูปสามเหลี่ยมและ เทวรูปพระพรหมทรงถือดอกบัวอยู่ในแต่ละหัตถ์ งานตกแต่งภายนอกอาคารที่น่าสนใจยิ่ง คือ บานหน้าต่างเป็นช่องปรุทำจากศิลา อันเป็นแบบอย่างและกรรมวิธีของงานงางพุกามใน ส่วนที่เชื่อว่ารับวัฒนธรรมมอญ ทั้งนี้รวมถึงลวดลายที่ประดับกรอบของหน้าต่างและส่วน อื่นของผนังด้วยพระเจดีย์ธรรมยาจี สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้านรถุ (พ.ศ. 1710 – 1713) เจดีย์อานันทะ (ชื่อดังเดิมคือ อนันตปัญญา) เป็นวิหารทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสมีมุขเด็จ ออกไปเท่ากันทั้ง 4 ด้านแต่ละด้านมีซุ้มคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปทรงสูง 10 เมตร ใหญ่โตสูงสง่าและเป็นศิลปะพระพุทธรูปต้นแบบสมัยพุกามดั้งเดิม เจดีย์สัพพัญญู (THATBYINYU) เป็นวิหารสูงที่สุดในพุกามทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีความสูง 201 ฟุต เป็นวัดประจำรัชกาลพระเจ้าอลองสินธสร้างเลียนแบบวัดในประเทศอินเดีย สูงห้า ชั้นโดยชั้นที่สี่เป็นที่ปดิษฐานพระไตรปิฎกฉบับต้นแบบและชั้นที่ห้าเป็นองค์พระสถูปอัน ศักดิ์สิทธิ์ พระเจดีย์กูบยางคยี (GUPYAUKKYI PAGODA) ที่สร้างโดยพระโอรสของพระเจ้าจันสิธะในราวปี พ.ศ. 1656 พระเจดีย์แห่งนี้สร้างแบบศิลปะของพยูหรือพุกามตอนต้น ภายใน พระเจดีย์ท่านจะได้ชมจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามที่สุดของเมืองพุกามที่ยังคง หลงเหลืออยู่ พระเจดีย์มิงกาลา




เดินชมรอบๆด้านในวิหารติโลมินโล



ในวิหารเล็กๆนี้มีภาพเขียนสวยงามอยู่ด้านใน สามารถเดินเข้าไปชมได้


กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เที่ยงมื้อนี้เราแวะร้านอาหารร้านนี้กัน สภาพบรรยากาศร่มรื่น อาหารก็พอไปได้ แม้จะไม่ถูกปากคนไทยมากนัก



อาหารเที่ยงที่ร้านนี้



รถม้าที่พุกาม


ช่วงบ่าย เราจะเข้าไปเที่ยวเขตเมืองพุกามเก่ากัน โดยที่พุกามเก่านี้จะอยู่ทางใต้ของเมืองยองอู (Nyaung-U) ลงไปทางใต้ ตามแนวของแม่น้ำอิระวดี ประมาณ 18 กม.  จากที่เมื่อเช้าเราเที่ยวเรื่อยลงมาจากทางตอนเหนือ ... ส่วนพุกามใหม่จะอยู่ใต้เมืองพุกามเก่าลงไปเล็กน้อย


พุกาม (อังกฤษ: Bagan, พม่า: ပုဂံ) เมืองในประเทศพม่า เคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรพุกาม (พ.ศ. 1587 - พ.ศ. 1830) อาณาจักรแห่งแรกของชาวพม่า พุกามเป็นเมืองที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เนื่องด้วยความกังวลจากการบูรณะที่อาจผิดวิธี แต่ได้มีอยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้นเพื่อพิจารณาเป็นมรดกโลกในอนาคต ปัจจุบันรัฐบาลทหารพม่ากำลังพยายามเร่งเสนอชื่อและเตรียมความพร้อมให้เป็นมรดกโลกทางศิลปวัฒนธรรมแห่งต่อไป

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ทางตอนกลางของพม่า สร้างความเสียหายครั้งใหญ่แก่พุกาม วัดเกือบ 400 แห่งได้รับความเสียหาย กรมโบราณคดีแห่งพุกามได้เริ่มต้นการสำรวจและบูรณะ โดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญยูเนสโก นักท่องเที่ยวและผู้เข้าชมไม่สามารถเข้าชมวัดได้ 33 แห่ง

ปัจจุบันพุกามตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ อยู่ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 90 ไมล์ หรือ 145 กิโลเมตร พุกามแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เขตเมืองเก่า (เขตที่ตั้งอาณาจักรพุกาม) เขตเมืองใหม่ (เขตที่อยู่อาศัยปัจจุบัน) และยองอู (เขตพาณิชยกรรมและเศรษฐกิจ) มีสนามบินชื่อ สนามบินยองอู เป็นสนามบินประจำเมือง รายได้หลักของเมืองคือการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนที่นี่เสมอทุกช่วงปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากแถบเอเชียด้วยกัน

พุกามได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์ เจดีย์แห่งแรกของพุกามคือ เจดีย์ชเวซีโกน สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม โดยธรรมเนียมการสร้างเจดีย์ เจดีย์องค์ใหญ่สุดจะเป็นเจดีย์ที่กษัตริย์ทรงสร้าง และองค์ที่มีขนาดเล็กถัดมาเป็นการสร้างโดยเหล่าขุนนาง อำมาตย์ ลดหลั่นลงมาตามบรรดาศักดิ์ นอกจากเจดีย์ชเวซีโกนแล้ว ยังมีเจดีย์สำคัญ ๆ อีกหลายองค์และวัดสำคัญ ๆ อีกเช่น เจดีย์ชเวซันดอ, อานันทวิหาร, เจดีย์ตะเบียงนิว, วัดพะยาตองซู เป็นต้น




อานันทพญา 

อานันทพญา (Ananda Temple)  คือมหาวิหารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองพุกาม ประเทศพม่า เริ่มสร้างขึ้นใน พ.ศ. 1633 แล้วเสร็จในปีต่อมา ในรัชกาลพระเจ้าจานสิตา มีความสำคัญในฐานะได้รับการยกย่องว่าเป็น "เพชรน้ำเอกของพุทธศิลป์สกุลช่างพุกาม" เมื่อก่อนยอดพระเจดีย์ยังเป็นสีขาวเหมือนกับพระเจดีย์องค์อื่นๆ ของพุกาม แต่รัฐบาลพม่าได้มาทาสีทองทับเมื่อปี พ.ศ. 2533 เพื่อสมโภชการสร้างอานันทพญาครบรอบ 900 ปี

อานันทพญาเป็นพระเจดีย์ที่สามารถเดินเข้าไปข้างในได้ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสมีมุขยื่น 4 ทิศ ประตูทางเข้าเป็นประตูโค้ง (arch) ที่มักพบเห็นในสถาปัตยกรรมตะวันตกมากกว่าตะวันออก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนไม้ปิดทอง สี่ทิศ สี่องค์ สูง 9.5 เมตร ประกอบด้วย

พระกกุสันธพุทธเจ้า ประจำทิศเหนือ (องค์เดิม แท้จริงแล้วประจำทิศตะวันออก)
พระโกนาคมนพุทธเจ้า ประจำทิศตะวันออก (สร้างใหม่)
พระกัสสปพุทธเจ้า ประจำทิศใต้ (องค์เดิม)
พระโคตมพุทธเจ้า ประจำทิศตะวันตก (สร้างใหม่)
พุทธศิลป์แบบนี้ยังสมารถพบเห็นได้ตามวัดสถาปัตยกรรมล้านนา เช่นวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน เป็นต้น





SmileySmileySmiley


มาต่อกันที่นนี่ครับ เจดีย์วิหารทัตบินยู (That Byin Nyu) หรือเจดีย์สัพพัญญู ซึ่งหมายถึง ผู้ตรัสรู้ ผู้รู้ทุกสิ่ง เป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในเมืองพุกาม มีความสูงประมาณ 61 เมตร สร้างขึ้นตามศิลปะแบบปาละของอินเดีย ก่อสร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 1687 โดยพระเจ้าอลองสิทธู (King Alaungsithu) ... เสียดายว่ากำลังซ่อมแซมอยู่ เขาเลยไม่อนุญาตให้นักท่องเทียวได้เข้าไปยลโฉมภายใน ซึ่งมีการสร้างพระพุทธรูปไว้รอบๆ .... ได้แต่เมียงมอง ชมความยิ่งใหญ่รอบนอก

ข้อสังเกตุหนึ่งที่เห็น ต้นไม้รอบๆวิหารแห่งนี้เป็นพวกใบเล็กๆ ที่เคยเห็นในประเทศแถบทะเลทราย จึงไปค้นว้าดูจึงรู้ว่าบริเวณที่เป็นเมืองเก่าของพุกามนี้ ในอดีตเป็นแผ่นดินกึ่งทะเลทรายมาก่อน









SmileySmileySmiley


จากเจดีย์วิหารทัตบินยู เราไปต่อที่โรงงานทำเครื่องเครื่องเขินของพุกาม กรรมวิธีการผลิตที่นี่ ก็ใช้วิธีการทำขึ้นทีละชิ้น (ไม่ใช่แบบ Mass Product) แล้วนำไปทำต่อเป็นกระบวนการจนจบ ... กว่าจะได้ก็ต้องใช้เวลาพอควร และราคาก็สูงพอควร ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาแล้ว สวยครับ ถ้าจะซื้อหามาไว้ใช้ก็ต้องเตรียมเงินหลายๆดอลล่าร์ไว้ด้วยนะครับ



ดูโรงงานทำเครื่องเขิน


SmileySmileySmiley



จากโรงงานทำเครื่องเขินพุกาม เราไปต่อที่วัดพระอึดอัด หรือวิหารมนูหะ (Manuha Tample)  .... ชื่อแปลกไหมล่ะ ที่ชื่อแปลกๆแบบนี้ มันมีที่ไปที่มาครับ.


วิหารมนูหะ (Manuha Tample) ตั้งอยู่ติดกับวัดนันพญา จัดเป็นประเภท “เจดีย์วิหาร” วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้ามนูหะ (King Manuha) กษัตริย์มอญที่ถูกจับตัวมาเป็นเชลยศักดิ์อยู่ที่พุกามพร้อมมเหสี และพลเมืองมอญอีกกว่า 30,000 คน ที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งที่พระเจ้าอโนรธาตีเมืองสะเทิมได้ในปีพ.ศ. 1600 แล้วยึดพระไตรปิฏก 30 ชุดมาไว้ที่พุกาม การที่พระเจ้ามนูหะทรงสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นก็เพื่อเป็นการถ่ายทอด และระบายให้รู้ถึงความอึดอัดใจ และความไม่สบายใจที่พระองค์ มีต่อการตกเป็นเชลยเช่นนี้

ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่คับวิหาร ขนาบข้างด้วยพุทธสาวก ทั้งนี้เพื่อแสดงความอึดอัดคับข้องพระตาชหฤทัยที่ต้องถูกจองจำในฐานะเฉลยศึก นอกจากนี้พระเจ้มนูหะยังทรงสร้างพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่มากอีกองค์หนึ่งไว้ด้านหลัง แต่พระหัตถ์ขวาของพระอง์นี้วางราบกับพื้น จึงเรียกพระไสยาสน์ปางปรินิพพาน ที่ว่าพระโอษฐ์มีรอยยิ้ม จึงตีความว่า เพระเจ้ามนูหะอาจมีพระประสงค์สะสื่อความว่า มีเพียงความตายเท่านั้นที่ทำให้ดวงพระวิญญาณของพระองค์มีอิสรภาพ

ทั้งนี้ด้านข้างของวิหารวัดมนูหะมีอาคารประดิษฐานพระตาชานุสาวรีย์พระเจ้ามนูหะและพระอัครมเหสีที่ถูกจับมาจองจำไว้ด้วยกัน




วิหารมนูหะ (Manuha Tample)



พระนอนในวิหาร


SmileySmileySmiley


ไปต่อกันที่วัดหรือวิหารที่ว่าแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้นกันครับ ที่ว่ายิ่งใหญ่คืองานช่างก่อสร้างวัดที่มีการวางอิฐอย่างแนบบสนิทจนมองไม่เห็นแสงสว่าลอดได้ประมาณนั้น




ประตูเข้าวัดธรรมยางจี (Dhamayangyi Thample)


วัดธรรมยางจี (Dhamayangyi Thample) ลักษณะเจดีย์มีความสวยงามมาก และได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่และแข็งแรงที่สุดในพุกาม เพราะสร้างขึ้นด้วยอิฐสีแดงเป็นเอกลักษณ์ วัดนี้มีเจดีย์ที่สร้างขึ้นคล้ายเจดีย์อนันดา คือมีลักษณะอาคารทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีมุขยื่นออกมาสี่ด้าน สร้างขึ้นโดยกษัตริย์นรายุ (King Narathu) วิหารนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า กาลักยามิน (Kalagya Min) หมายถึง วิหารของกษัตริย์ที่ถูกฆ่าโดยพวกกาลา ทหารของกษัตริย์ปาเทกคายา (Pateikkaya) แห่งอินเดีย เพื่อเป็นการแก้แค้นให้พระราชธิดาของกษัตริย์อินเดีย ซึ่งถูกฆ่าโดยกษัตริย์นราธุพระสวามีของพระนางเอง




วิหารในวัดธรรมยางจี (Dhamayangyi Thample)


ตำนาน

เรื่องราวเริ่มมาตั้งแต่สมัยนานมาแล้ว โหรของพุกามเคยทำนายไว้ว่า "ถ้าใครสร้างเจดีย์องค์ใหญ่เกินไป กษัตริย์แห่งพุกามองค์นั้นก็จะพบกับหายนะ" ยาวนานจนกระทั่งมาถึงยุคสมัยของกษัตริย์นรปติสิธู กษัตริย์องค์นี้โคตรโหด เพราะพระองค์ได้สังหารบิดาและพี่ชายของตน และผลักดันตัวเองจนได้เป็นกษัตริย์แทน ทีนี้แกเลยต้องการทำบุญล้างบาปขนานใหญ่ด้วยการสร้างเจดีย์ขนาดใหญ่ ซึ่งเจดีย์นี้นอกจากความใหญ่โตแล้วยังโคตรเนี๊ยบอีกด้วย อิฐกว่าล้านก้อนที่เอามาเรียงต่อกันต้องแนบกันสนิทชิดเชื้อกันแบบมากๆ ในระดับที่พระเจ้านรปติสิธูสามารถเอาเข็มมาจิ้มลอดระหว่างรูอิฐสองก้อนได้ นายช่างผู้นั้นก็จะถูกตัดมือและประหารชีวิตในที่สุด

ระหว่างเจดีย์นี้กำลังสร้างในปีที่สาม นอกจากเชือดช่างฝีมือแล้ว พักหลังๆ พระเจ้านรปติสิธูยังเจี๋ยนผู้คนไม่เลือกหน้า เรียกว่า แกไม่ชอบหน้าใครนี่เรียกมาเจี๋ยนหมด แต่เคราะห์กรรมของแกที่ดันไปสั่งประหารชีวิตพระมเหสีองค์นึงที่เป็นธิดาของกษัตริย์อินเดีย ทีนี้พอรู้ถึงหูคุณพ่อแกก็เลยโกรธแค้น ว่าจ้างกองทัพอินเดียและนักลอบสังหารมาสังหารพระเจ้านรปติสิธู และเจดีย์แห่งนี้เลยสร้างไม่เสร็จซักที มีแค่อิฐเปลือยๆ ไม่มีปูนฉาบ ไม่มีจิตรกรรมฝาผนังอย่างที่อื่นๆครับ

ขอบคุณตำนานเรื่องเล่า จาก tongkatsu.com






แท่นหินบูชายันต์ หรือไว้ทำลายมือช่าง?



ด้านหน้าวัดธรรมยางจี (Dhamayangyi Thample)


SmileySmileySmiley


ชมวัดธรรมยางจีจบ ก็ได้เวลาประมาณ 1700 น ใกล้พระอาทิตย์จะอัสดงแล้วสิ กิจกรรมท้ายวันในการเที่ยวชมเจดีย์ (ชมจนเหนื่อยล้า) ก็คือนี่เลย การไปชมพระอาทิตย์ตกดินบนเจดีย์ สถานที่ๆเขาไปปีนชม (ที่อนุญาต) หลักๆคือ Shwesandaw Pagoda แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ นักท่องเที่ยวมาที่นี่กันเยอะมาก ตอนเย็นๆก็จะมารวมกันที่นี่ด้วย เจดีย์ชเวซานดอว์ ถ้าเราไปเมียนมาไม่เจอชาวตะวันตกล่ะก็ มาดูที่นี่เลย พุกาม .... เนื่องจากคนเยอะและต้องปีนสูง เราเลยเลือกไปที่ Shwe Gu Gyi Pagoda



Shwe Gu Gyi Pagoda

















@ Shwe Gu Gyi Pagoda, Bagan.



มื้อเย็นที่ร้านดัง มีแสดงเชิดหุ่นของเมียนมาด้วย



วันนี้พักที่โรงแรม Sky View Hotel


วันนี้เหนื่อยล้าทั้งวัน แต่แม้จะเหนื่อยแค่ไหน ก็อิ่มเอิบด้วยการได้ย้อนรอยสู่ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เมื่อ 1000 ปีที่แล้ว ดีใจที่ได้มาเห็น และก็ตะลึงงันว่ามนุษย์นี้ช่างสร้างสรรอะไรได้ใหญ่ยิ่งเช่นนี้ เจดีย์กว่า 4 พันองค์แม้จะหลือรอดจากภัยภิบัติมาแต่ 2 พันองค์ก็ตาม แต่นี่คือความยิ่งใญ่ ศรัทธาอันแรงกล้า ต่อสิ่งที่มวลมนุษยชาติเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ เมื่อมีศรัทธาผลของการสร้างสรรมักจะออกมาดีและยิ่งใหญ่เสมอ.... มานั่งนับกาลเวลาในอุษาคเนย์ดู จากขอมยุคนครวัด นครธม แล้วก็มานี่แหละพุกาม จากพุกามถึงเลื่อนลงไปทางสุโขทัย อยุธยา และกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน ... 

Smiley พรุ่งนี้มิโปรแกรมบินไปต่อกันที่มัณฑะเลย์ แล้วเจอกันนะครับ Smiley





อาหารเช้าบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม พร้อมวิวแบบนี้








 

Create Date : 24 กันยายน 2561
3 comments
Last Update : 24 กันยายน 2561 11:14:26 น.
Counter : 1573 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณJinnyTent, คุณKavanich96, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ

 

เครื่องบินเล็ก แต่แอร์สวยนะครับ 555

ตอนไปเฮโห.. กว่าจะลงได้นานมาก รอเครื่องอื่นลง ตกหลุมอากาศทำเอาเหงื่อซึม

ที่บากัน.. น่าเที่ยวจริง ๆ ผมเห็นภาพข้างบน เท่ากับผมยังไปไม่หมด แหง..เนาะเจดีย์
เยอะมาก ไงก็ไม่หมด 55 ได้ขึ้นบอลลูนหรือเปล่าครับ.. ผมไม่ขึ้น มันแพงมาก

v

 

โดย: ไวน์กับสายน้ำ 24 กันยายน 2561 14:06:48 น.  

 

นั่งเครื่องบินแล้วมีหวาดเสียวนิ ไม่อยากเจอค่า
ใจมันจะขาดรอน ๆ ตอนที่ลุ้นระทึก 555

พม่านี่อุดมสมบูรณ์มาก ๆ เลยนะคะ
ผลหมากรากไม้ ลูกเป้ง ๆ น่ากินทั้งนั้น
จินเคยได้ยินมาว่า ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
อีกมากมายที่ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไป สวย ๆ งาม ๆ ทั้งนั้น
ทราบมาจากคนงานพม่า ที่เข้ามาทำงานในเมืองไทยน่ะค่ะ
ไม่รู้ข้อเท็จจริงจะเป็นยังไง แต่จินต่อนข้างเชื่อนะคะ
ว่าพม่ามีของดีอีกเยอะ

อยากไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินที่ทุ่งเจดีย์สักครั้งค่ะ
ไม่รู้จะได้ไปมะไหร่ แฮร่
แต่จินเห็นอย่างหนึ่งว่า พลังศรัทธาในพระพุทธศาสนาบ้านเค้า
บ้านเราเทียบไม่ติดเลยค่ะศรัทธาเค้าแรงกล้าจริง ๆ

 

โดย: JinnyTent 26 กันยายน 2561 16:45:31 น.  

 

ขอบคุณที่แบ่งปัน

 

โดย: Kavanich96 29 กันยายน 2561 2:31:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wicsir
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]











...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......


อยากจะบอกว่า

@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว

@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.

@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...


ด้วยจริงใจ
นาย wicsir.




Rec. 11.06.08
New Comments
Group Blog
 
 
กันยายน 2561
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
24 กันยายน 2561
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wicsir's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.