รัฐควรสนับสนุนให้เกิดการจัดการป่าไม้ตามแนวปฏิบัติตามธรรมรัฐ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของป่าภายใต้การบริหารงานที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน มีความโปร่งใสและมีความยุติธรรม ซึ่งองค์ประกอบของธรรมรัฐก็สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทยอยู่แล้ว แนวปฏิบัติของธรรมรัฐที่จะนำไปสู่การจัดการป่าไม้ให้ยั่งยืน จะเน้นอยู่ 2 ประการ คือ
1.ป่าไม้ต้องได้รับการจัดการโดยได้รับความร่วมมือจากภาคสังคมต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน (Partnership with Community)
2.ระบบและโครงสร้างของการจัดการป่าไม้ต้องมีความโปร่งใส ทุกองค์กรที่ทำงานร่วมกันต้องมีความจริงใจ คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ มีวิสัยทัศน์มองไปถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไป และพร้อมที่จะให้มีการตรวจสอบซึ่งกันและกันได้ (Transparency & accountability)
การรับรองทางป่าไม้ (Forest Certification) เป็นเครื่องมือหรือวิธีการใหม่ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อวงการป่าไม้ทั่วโลก โดยการใช้การตลาดเป็นข้อกำหนดในการจูงใจให้ปรับปรุงวิธีการจัดการป่าไม้ โดยวิธีการที่ได้รับการยอมรับแพร่หลายและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการชักจูงให้กระทำตามโดยมิใช่บังคับโดยกฎหมายหรือกฎระเบียบต่างๆอย่างที่เคยปฏิบัติมาในอดีต และประการสำคัญวิธีการนี้สามารถช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ (Stake holders) หันหน้าเข้าหากันเพื่อที่จะเดินไปตามหลักการของการพัฒนาแบบยั่งยืน
คงไม่มีคนไทยคนไหนอยากให้ป่าไม้ของประเทศที่เหลืออยู่น้อยนิดอยู่แล้ว ต้องมีสภาพย่ำแย่ไปมากกว่านี้อีก ดังนั้น ไม่ว่าพระราชบัญญัติป่าชุมชนที่ออกมา จะอนุญาตให้คนอยู่ร่วมกับป่าในรูปแบบใดหรือหน่วยงานต่าง ๆ จะปลูกป่าเพิ่มขึ้นได้มาก-น้อยเพียงใดก็ตาม ต่อไปนี้ กรมป่าไม้เพียงหน่วยงานเดียวคงไม่สามารถดูแลป่าไม้ของประเทศได้ทั้งหมด ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนทุกคนและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังให้เกิดการจัดการทรัพยากรป่าไม้ให้ตอบสนองความต้องการของคนในยุคปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ โดยไม่สร้างความลำบากให้แก่คนรุ่นต่อ ๆ ไปซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาป่าไม้อย่างยั่งยืนต่อไป (ที่มา : รวบรวมจากข้อมูลนาย ชัยรัตน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง ในวารสารสิ่งแวดล้อม)
หมายเหตุ:ในความเป็นจริง การเมืองก็คือ การแก่งแย่งผลประโยชน์ และเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจต่อรองมากกว่า ก็จะผลักดันกฎหมายที่จะทำให้ตนอยู่ในฐานะได้เปรียบอย่างแน่นอน